Thursday 7 May 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 64



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 64

พระมเหสีโยอึยทรงย้ำถามองค์ชายวานพง
“พระมเหสี”
“หึ ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าหรอกนะ ไม่ต้องกลัว รีบบอกมาเร็วเข้า”
“ท่านลุงเป็นคนบอกหม่อมฉันพะยะค่ะ”
“ท่านลุงของเจ้า
“พะยะค่ะ วันข้างหน้าหม่อมฉัน จะได้ครองบัลลังก์ต่อจากฝ่าบาท จึงต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ท่านลุงมักจะพูดแบบนี้บ่อยๆ พะยะค่ะ”
“พระมเหสี หม่อมฉันคิมซังกุงเพคะ”
“เข้ามา”
“หึ
“เกิดเรื่องอะไร ไหนว่ามาซิ”
“เมื่อกี้ที่ตำหนักใหญ่ เจ้ากรมแชทูลเสนอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์ชายวานพงเป็นรัชทายาทแน่ะเพคะ หึ”
“หา
ด้านพระพันปีเฮคยองทรงทราบก็ถอนพระทัย
“เฮ่ย นึกแล้วเรื่องต้องออกมารูปนี้ นับแต่ซงยอนเข้าวังมา พวกขุนนางต้องเอาเรื่องทายาทของฝ่าบาทมาเป็นประเด็นแน่”
“พระพันปี”
” ตำแหน่งรัชทายาทว่างมาหลายปี ไม่เห็นมีใครเอ่ยถึง พอฝ่าบาทรับไพร่คนหนึ่งมาเป็นสนมเท่านั้น ขุนนางก็รีบเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างทันที เฮ่อ ฝ่าบาทก็ช่างรนหาเรื่อง อยู่ดีๆ ยอมรับเด็กนั่นมาเป็นลูก สุดท้ายก็กลายเป็นห่วงรัดคอตัวเอง เฮ่อ เฮ่ย เฮ่อ”
ขณะที่พระเจ้าจองโจทรงตรัสถามฮงกุกยองว่า
“เรื่องที่เจ้ากรมแชเสนอในที่ประชุม ท่านรู้ก่อนแล้วใช่ไหม”
“เอ่อ รับสั่งอะไรน่ะพะยะค่ะ หม่อมฉัน ไม่ทราบเรื่องมาก่อน”
“งั้นก็แปลก ทำไมเขาเอาเรื่องนี้มาพูดได้ หรือท่านเห็นว่าไง คิดว่าองค์ชายวานพงเหมาะจะเป็นรัชทายาทหรือเปล่า”
” ฝ่าบาท จริงอยู่ที่ว่าหากไม่มีรัชทายาท บ้านเมืองจะไร้เสถียรภาพก็ถูก แต่ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่น ถ้าเอาเรื่องนี้มาพูดตอนนี้ หม่อมฉันเห็นว่าเร็วเกินไปพะยะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว ท่านออกไปก่อน”
“พะยะค่ะ”


พอออกมาแชจีคยอมกล่าวขึ้นว่า
” ขุนนางต่างก็เห็นชอบด้วย แสดงว่าพระหมื่นปีคงทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะมีวันนี้ สมัยก่อนเจ้าจึงเสนอให้คืนยศให้พระนาง จากนั้นก็วางแผน ให้ฝ่าบาททรงรับองค์ชายวานพงเป็นโอรส”
ฮงกุกยองตอบว่า “ขออภัย ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับใต้เท้า เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร ท่านก็คงไม่เชื่อ และคิดว่าข้าโกหกอยู่ดี”
“นี่ ใต้เท้าฮง ทำไมเสียมรรยาทต่อใต้เท้าแชแบบนี้ล่ะ” นัมซาโชว่า
” ท่านทั้งสอง ต่างก็ไม่พอใจข้ามานานแล้วนี่ จนถึงวันนี้ ยังกลัวว่าเพราะความทะเยอทะยานของข้า จะทำให้ฝ่าบาทเดือดร้อนใช่ไหม ข้ายังมีธุระ ไม่มีเวลาจะคุยกับพวกท่าน แล้วค่อยพบกันใหม่” ฮงกุกยองเดินไปเลย
แชจีคยอมกับนัมซาโชต่างไม่พอใจฮงกุกยอง
ฮงกุกยองมาเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจองซุน กับแชซกจู
” นับแต่นี้จะมีฎีกาถวายขึ้นไปตลอด นอกจากขุนนางบางคนที่ติดตามใต้เท้าชางแล้ว ที่เหลือก็คือคนของเรา แล้วไม่นานฝ่าบาท ก็จะทรงเห็นชอบด้วย”
“แล้วทำไมสีหน้าเจ้าดูเครียดนัก” พระหมื่นปีจองซุนทักฮงกุกยอง
” กำลังคิดว่าเราเร่งรัดเกินไปหรือเปล่า เพิ่งรับองค์ชายวานพงไม่นาน เราก็ทูลเรื่องรัชทายาทแล้ว หม่อมฉันกลัวว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัยเจตนาของหม่อมฉันผิดไป”


“ไม่ งั้นจะให้ทำยังไง ถ้าจะให้เรื่องนี้สำเร็จ นี่คือเวลาที่เหมาะแล้ว อีกอย่างสิ่งที่เจ้าทำ เพราะเห็นแก่อนาคตของฝ่าบาทไม่ใช่หรือ ยังไงก็ตาม ฝ่าบาทต้องเข้าพระทัยความหวังดีของเจ้า ไม่ต้องห่วงหรอก”
แชจีคยอมเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
” ไม่ว่ายังไง อย่าทรงเห็นชอบกับเรื่องนี้นะพะยะค่ะ การจะให้องค์ชายวานพงเป็นรัชทายาทถือว่าผิดทำนองคลองธรรม หม่อมฉันเชื่อว่าสามกรมใหญ่ ต้องออกหน้าคัดค้านแทนฝ่าบาทแน่นอน”
“ไม่หรอก พวกเขาไม่ทำอย่างงั้น”
แชจีคยอมตกใจ “หา”
” จนป่านนี้สามกรมใหญ่ยังเงียบอยู่ เพราะคนในนั้นส่วนใหญ่ เข้ารับราชการโดยผ่านทางใต้เท้าฮงทั้งนั้น สมัยก่อน ข้าให้เขามีอำนาจเต็มที่ ในการเลือกขุนนางใหม่ เดิมทีนึกว่าด้วยปัญญาของเขา ถ้าทำงานเพื่อบ้านเมือง จะสามารถทำประโยชน์ได้มาก แต่ตอนนี้เห็นทีจะยาก เขายังต้องบ่มเพาะอีกนาน”
เวลานั้นฮงกุกยองคุยกับขุนนางว่าเรื่องไปถึงไหนแล้ว
” ทำตามที่ท่านสั่ง คนของสามกรมใหญ่มารออยู่ที่ห้องประชุมแล้ว เกี่ยวกับเรื่องรัชทายาท พวกเราตกลงแล้วว่า จะไม่ออกความเห็นคัดค้านอย่างแน่นอน”
“เราต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ถึงจะเดินหน้านโยบายของท่านได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ”
” แต่ว่า เราก็อย่าแสดงจุดยืนให้เด่นชัดนัก เพราะเรื่องนี้สำคัญที่พระดำริของฝ่าบาทมากกว่า ฉะนั้น อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อเกินไป เข้าใจที่พูดหรือเปล่า” ฮงกุกยองกล่าว
พระมเหสีโยอึยเสด็จมาหาซองซงยอน
“เห็นว่าวันนี้ยังไปตำหนักของเสด็จแม่อีกหรือ”
“เพคะ”
“ยอมให้เข้าเฝ้าหรือเปล่า ซักวันคงจะเห็นใจเจ้าและยอมให้เข้าเฝ้า ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ”
“เพราะหม่อมฉันไม่ดี ทำให้ทุกคนวุ่นวาย รู้สึกละอายใจมากกว่าเพคะ”
” อย่าพูดอย่างงั้นสิ ใครจะว่าไงก็ช่าง เจ้าเข้าวังมาอย่างถูกต้อง เป็นสนมที่ฝ่าบาทโปรดปราน ฉะนั้น คำพูดคนอื่นไม่ต้องไปสนใจ คิมซังกุง พาผู้หญิงคนนั้นเข้ามาหน่อยซิ”


“ทราบแล้วเพคะ”
“วันนี้ที่ให้เจ้ามาพบเพื่อจะให้รู้จักคนๆ หนึ่ง เข้ามาเร็วเข้า”
โชบีเข้ามา ซองซงยอนดีใจมาก “พี่โชบี เอ่อ ทรงอภัยด้วยเพคะ”
“ไม่เป็นไร นั่งลงเร็วเข้า”
“หม่อมฉันคือซังกุงคนสนิทของซองซังกุง ชื่อยางโชบีเพคะ”
” ได้ยินว่าตอนอยู่ศูนย์ศิลปะ เจ้าสนิทกับนางมาก ด้วยเหตุนี้ ข้าเลยให้นางมาเป็นคนสนิทของเจ้า แม้ว่าตอนนี้จะได้เป็นซังกุง แต่ยังต้องผ่านการอบรม อีกซักพักค่อยให้ไปอยู่ที่ตำหนักของเจ้า”
“พระมเหสี” ซองซงยอนซาบซึ้งใจพระมเหสีโยอึยมาก
“ข้าน้อย จะขอรับใช้นายหญิงตลอดไปเจ้าค่ะ” โชบีกล่าว
“อยู่ในวังมีแต่ความเงียบเหงา จะหาเพื่อนคุยก็ไม่มี แต่ว่า ถ้ามีใครซักคนพอให้ปรับทุกข์ได้ อีกหน่อยเจ้าก็จะชินเอง”
“หม่อมฉัน ไม่รู้จะตอบแทนพระเมตตาใหญ่หลวงของพระมเหสียังไงแล้วเพคะ”
“เมตตาอะไรกัน อย่าเกรงใจเลย ถ้าคิดว่าอยากตอบแทนข้าจริงๆ ก็ขอให้มีโอรสให้ฝ่าบาทเร็วๆ จากนั้น ก็ถวายการปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดีก็พอ”
“ขอบพระทัยยิ่งแล้วเพคะ”
หลังพระมเหสีโยอึยเสด็จไปแล้ว ซองซงยอนถามโชบีว่า
“หึ ท่านเข้าวังมาได้ไงน่ะ หึๆ เอ่อ เข้ามาได้ไงนี่”
“เอ่อ คือว่า ซังกุงคนสนิทของพระมเหสีไปที่ศูนย์ศิลปะ เลือกข้าน้อยมาน่ะค่ะ”
” หึๆ เห็นนางมาร้องห่มร้องไห้ ไม่รู้ว่าท่านอยู่ในวัง มีความสุขดีหรือเปล่า แถมยังว่าเมื่อก่อนสนิทกับท่านมากจริงหรือเปล่าคะ” คิมซังกุงว่า
“ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วงข้า”
“เอ่อ
“นี่ ต้องพูดว่าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ สอนไม่รู้จักจำนี่”
“หา
“ว่าแต่เจ้ารู้จักคนในวังใช่ไหม เพราะปกติประตูซินมู เข้าออกได้เฉพาะนางใน แล้วทำไมเจ้าไปรออยู่แถวนั้น”
“เอ่อ
“ทำไมวันนั้นจู่ๆ ได้เห็นเจ้า แล้วเจ้าก็บังเอิญโผล่มา อะไรจะเหมาะเหม็งขนาดนี้”
” อ้อ ข้า ไปอยู่แถวนั้นเพราะคิดถึงซองซังกุงนะค่ะ จริงนะคะ เป็นความบังเอิญต่างหาก เอ่อ นายหญิงเจ้าคะ เห็นบอกว่า วันนี้ท่านต้องไปพบซังกุงอบรม นี่ก็สายมากแล้วยังไม่ไปอีกคะ”
“ว้าย จริงด้วย ลืมสนิทเลย เจ้าก็เหมือนกัน ตามข้ามาเร็ว”
“ได้เจ้าค่ะ นายหญิง ข้าน้อยขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
“หึ
“สืบบัลลังก์ต่อจากฝ่าบาทหรือ คำพูดนี้ใครเป็นคนบอกเจ้าน่ะ องค์ชายวานพง” หมายถึงใต้เท้าฮงน่ะหรือ” พระมเหสี เกิดเรื่องแล้วเพคะ” อะไรนะ” ไม่เป็นไรหรอกค่ะนายหญิง” เจ้าค่ะ” ท่าน หมายความว่าไงหรือคะ” ไปเถอะ”



พระเจ้าจองโจซานตรัสในที่ประชุมว่า
“นี่คือกำหนดการเสวนากับเหล่าพ่อค้าหรือ”
เชกาทูล “พะยะค่ะ ทำตามที่รับสั่ง อีก 5 วันในช่วงบ่าย จัดที่ถนนวุนจองพะยะค่ะ”
“พ่อค้าใหญ่ 30 รายจะมางานนี้หมดหรือเปล่า”
“มาหมดพะยะค่ะ หัวหน้ากลุ่มคือคิมซอนวา ตอบมาอย่างงั้น”
“งั้นเราก็เตรียมการ นอกจากเจ้ากรมการค้าแล้ว ที่อยู่ฝ่ายเศรษฐกิจก็ให้ไปด้วยกัน”
“พะยะค่ะ”
” แล้วนี่มันอะไร ทำไมไม่มีรายชื่อใต้เท้าชางแทวูด้วยล่ะ เขาไม่เคยขาดเกี่ยวกับงานใหญ่ของบ้านเมือง แล้วทำไมคราวนี้ไม่มีชื่อเขารวมอยู่ด้วย เกิดอะไรหรือเปล่า”
เชกาทูล “เอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ตอนนี้ท่านเสนาซ้าย ถูกคุมตัวอยู่ที่กรมอาญา หม่อมฉันนึกว่าฝ่าบาท ทรงทราบเรื่องนี้เลยไม่ได้ทูลอีก”
“ท่านบอกว่าไงนะ ใต้เท้าชางถูกจับไปกรมอาญางั้นหรือ”
ขุนนางจะขอเข้าเฝ้าทูลพระเจ้าจองโจเรื่องของชางแทวู แต่ซอจังบูไม่ยอมให้เข้า บอกว่าฮงกุกยองสั่ง เทซูกับคังซกกีจึงเข้าไปหาฮงกุกยอง


“ต้องการเหตุผลจากข้าหรือ เรื่องอะไรน่ะ”
” เอ่อ อภัยที่พูดตรงๆ ตอนนี้มีหลายคน ที่ไม่ชอบหน่วยทหารพิเศษอย่างเรา ขนาดขุนนางที่ผ่านการค้นตัวยังไม่ให้เข้าตำหนักใหญ่ ทำแบบนี้ กลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายน่ะครับ”
“นั่นสิครับ พวกเราก็เหมือนกัน นับวันจะทำงานลำบาก เลยอยากรู้ว่ามีเหตุผลอะไรน่ะครับ”
“แล้วนี่แปลว่าอะไร พวกเจ้าจะขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาหรือไง”
“ใต้เท้า เราไม่ได้หมายความอย่างงั้นน่ะครับ เพียงแต่ รู้สึกว่าคำสั่งท่านออกจะเกินไปหน่อย” เทซูว่า
“เกินไปหรือ? ข้าว่าพวกเจ้าสำคัญตนผิดไปซะแล้ว”
“ใต้เท้า”
” พวกเจ้าเป็นแค่คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา มีสิทธิ์อะไรมาถามเหตุผลในการสั่งงานของข้า ถึงข้าจะเห็นพวกเจ้าเป็นเพื่อน แต่ถ้ายังกล้าขัดคำสั่งอีก ก็อย่าหาว่าใจร้าย ข้าจะไม่เห็นแก่เรื่องส่วนตัว ปล่อยให้ใครมาลามปามหรือแข็งข้อ เข้าใจหรือเปล่า”
ด้านพระหมื่นปีจองซุนก็ทรงตรัสกับฮงกุกยองว่า
” พ่อค้าเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่กุมเศรษฐกิจของบ้านเมือง ซึ่งมันจะหมายถึงอะไรบ้าง นั่นก็แปลว่า พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้าถึงคราวจำเป็นจริงๆ อาจถึงขั้นสั่งเปลี่ยนพระราชาด้วยซ้ำ”
“เปลี่ยนพระราชาองค์ใหม่หรือ ทรงหมายความว่า”
” ได้ยินว่า เจ้ากำลังไต่สวนคดีปลงพระชนม์และเบื้องหลังการตายของล่ามคนหนึ่ง ไม่บอกก็รู้ว่า คงเอาเรื่องนี้มาพัวพันกับขุนนางเก่าไม่คนใดก็คนหนึ่ง จริงหรือเปล่า”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง หรือว่า เบื้องหลังการปลงพระชนม์ฝ่าบาท เกี่ยวข้องกับพ่อค้าบางรายหรือพะยะค่ะ”
“มันก็ไม่แน่นัก เพราะว่าก่อนหน้านี้ ข้ารู้มาว่าพวกเขามีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ”
ฮงกุกยองสั่งให้คนไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับพ่อค้าคิมแทซกอย่างละเอียด
เทซูฝึกซ้อมจนเหนื่อยก็มานั่งคิดเรื่องของฮงกุกยอง พระเจ้าจองโจทรงเข้ามาทัก
“นั่งคิดอะไรอยู่ตั้งนาน”
“เอ่อ
“มีเรื่องกลุ้มใจหรือไง”
“เอ่อ
“ไม่มีก็ดีแล้ว เราไม่ได้ฝึกการต่อสู้นานแล้วใช่ไหม”
“หา”
“ตั้งแต่ข้าครองราชย์ แทบไม่เคยฝึกวิชากับเจ้าอีก”
“เอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวว่าถ้าล่วงเกินพระวรกาย”
“อย่าห่วงเลยน่า ถึงตอนนี้ ข้ายังปราบเจ้าได้สบาย”
พระเจ้าจองโจต่อสู่กับเทซู แล้วก็ทรงขอยอมแพ้เอง
“หึ
“เทซู”
“พะยะค่ะ”
“บอกมาเร็วเข้า แค่เห็นแววตาเจ้าก็รู้ ปิดข้าไม่มิดหรอก เรายังเป็นเพื่อนหรือเปล่า”
“ฝ่าบาท”
“ว่ามา ใครทำให้เจ้าไม่สบายใจ
“ใต้เท้าฮงพะยะค่ะ” พระเจ้าจองโจทรงแปลกพระทัย
” สมัยก่อน ถ้าหม่อมฉันไม่ได้เจอใต้เท้าฮง ไม่แน่ว่าป่านนี้ ยังคงเป็นคนหลักลอยหาแก่นสารไม่ได้ เพราะได้รับการชี้แนะจากเขา ทำให้หม่อมฉันได้สำนึกและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเขาให้ทำอะไรก็ตาม หม่อมฉันจะทำโดยไม่รีรอซักนิด แต่หลังๆ มานี้เริ่มจะลำบาก”


“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ข้าก็เหมือนกัน ยิ่งนานวัน ยิ่งไม่เข้าใจการกระทำของเขามากขึ้น แต่ว่า เหมือนที่เจ้าเชื่อเขา ข้าก็เชื่อเขาเหมือนกัน เลยจะรอดู คำพูดนี้ เจ้าเข้าใจความหมายหรือเปล่า”
“เข้าใจพะยะค่ะ”
ชางแทวูถูกปล่อยตัวออกมา เพราะพระบัญชาของพระเจ้าจองโจ สร้างความไม่พอใจให้กับฮงกุกยองมาก ยิ่งชางแทวูมาบอกฮงกุกยองว่า
” นี่ก็คืออิทธิพลที่เจ้าจะแสดงให้ข้าดูใช่ไหม ใช้ลูกเล่นเด็กๆ จับข้าไปขังไว้ ปิดบังพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท ความทะเยอทะยานของเจ้า ข้ารู้นานแล้ว จะค่อยๆ ขยายอิทธิพลจนสามารถเอื้อมถึงราชบัลลังก์”
“หา ท่านอย่าพูดส่งเดชนะ นี่เป็นการลบหลู่ข้าอย่างแรงรู้หรือเปล่า”
“อะไรนะ”
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรฝ่าบาทถึงทรงปล่อยท่าน แต่อย่าเพิ่งหลงดีใจ การจะเล่นงานท่าน ยังมีอีกหลายช่องทางนัก”
” หึ มีปัญญาก็เชิญมาเล่นให้พอเถอะ เพราะรังแต่ทำให้เจ้าถึงที่ตายเร็วขึ้น ถึงจะปกปิดแค่ไหน สิ่งที่เจ้าทำไว้กำลังจะโชยกลิ่นออกมาแล้ว หึ”
ฮงกุกยองทูลพระเจ้าจองโจว่า
“ใต้เท้าชางแทวู ปกป้องมินจูซีซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี และหม่อมฉันก็ตรวจพบว่าในบ้านเขามีจดหมายของมินจูซี ถือว่าพยานหลักฐานพร้อม”
“เรื่องนี้ด่วนสรุปเกินไป” พระเจ้าจองโจตรัส
“ฝ่าบาท”
“จดหมายที่ท่านว่า ข้าได้อ่านแล้ว เพียงแค่นี้จะสรุปว่าใต้เท้าชางปกป้องมินจูซียังไม่ได้หรอกนะ”
“แต่ว่าฝ่าบาท”
” จดหมายประเภทนี้ ถ้าใครคิดปรักปรำใต้เท้าชาง ไปซ่อนในบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ หึ เสียทีท่านเป็นคนฉลาด ทำไมเรื่องแค่นี้กลับไม่เฉลียวใจ รีบไปค้นบ้านเขาอย่างบุ่มบ่าม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ อาศัยหลักฐานแค่นี้ก็บุกรุกบ้านคนอื่น แถมยังจับไปขังอีก เป็นความสะเพร่าของท่าน ฉะนั้นเรื่องนี้ ทำตามที่ข้าสั่งดีกว่า”


ฮงกุก ยองโกรธจึงสั่งให้พวกเทซูไปจับบรรดาพ่อค้าหัวโจกมาให้หมด แต่เทซูกับคังซกกีค้านเพราะกลัวจะซ้ำรอยเดิมชางแทวู ยิ่งทำให้ฮงกุกยองโกรธสั่งพวกเทซูไปให้จับโดยอ้างว่าทำเพื่อพระเจ้าจองโจ
พวก เทซูจับมา ฮงกุกยองก็จัดการคาดคั้นว่ามีแผนอะไร ถึงให้พระเจ้าจองโจเสด็จไปรับฟังการเสวนา พระหมื่นปีจองซุนทรงรู้ก็ให้แชซกจูไปเตือน เกรงว่าพระเจ้าจองโจจะทรงรู้แผนของพระนาง
แชซกจูมาเตือนฮงกุกยอง แต่ฮงกุกยองบอกว่าเขาหยุดไม่ได้แล้ว และไม่ฟังคำเตือนจากแชซกจู แล้วฮงกุกยองก็คาดคั้นพวกพ่อค้าว่าใครเป็นผู้บงการ และยังสั่งให้ไปจับพ่อค้าที่เหลือมาทรมาน จนพวกเทซู ซอจังบู และคังซกกีพากันเหนื่อยใจ
ซองซงยอนออกมาเดินเล่นและพบกับดัลโฮ เธอดีใจมาก ดัลโฮยังแนะนำให้ไปที่ตำแหนัก นักซอนแจ ที่กำลังจะมีการซ่อมแซม คนของศูนย์ศิลปะอยู่กันเพียบ ซองซงยอนรีบไป แต่โชบีค้านว่าอีกสักพักซังกุงอบรมจะมาแล้ว เธอจึงบอกให้โชบีไปตามพวกนั้นมาพบแทน
“นายหญิง ทุกคนมาแล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ
“เอ่อ ซง ซง เอ๊ย ข้าน้อย ขอคำนับ ซองซังกุงน่ะครับ ไม่ทราบว่า ท่านสบายดีหรือเปล่า แหะ”
“ท่านยอมให้เรามาพบ รู้สึกดีใจ เอ๊ย ไม่ใช่ ช่างเป็นการให้เกียรติ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก หึ เข้าไปข้างในเร็ว ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” ซองซงยอนชวนทุกคน
โชบีรีบไปเตรียมของว่างมาให้ทุกคน ทุกคนเกร็งเรื่องการพูดคุยกับซองซงยอนมาก
“ข้าบอกแล้วไง เรายังเป็นเพื่อนเหมือนเดิม ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“แต่ว่า ถ้าใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี ยิ่งอยู่ในวังด้วยแล้ว” ช่างเขียนตั๊กว่า
โชบีก็เห็นด้วย “นั่นสิเจ้าคะ คงไม่เหมาะนัก ถ้าท่านจะวางตัวเสมอกับพวกเรา”
มีซูด้วย “แค่เราได้มาพบท่านก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ หึๆ”
“งั้นก็ได้ ทุกคนสบายดีหรือเปล่า ทำงานมีปัญหามั้ย ข้ามีเรื่องอยากรู้ตั้งเยอะ แล้วใต้เท้าปาร์คล่ะเป็นไงบ้าง”
“สบายดีครับ ปกติขอแค่ช่างเขียนลีไม่ก่อเรื่อง เราจะอยู่อย่างสงบ แถมสบายใจอีกต่างหาก ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
“ไหงพูดงี้ล่ะ ข้าไปก่อเรื่องเมื่อไหร่”
” หรือไม่จริง เมื่อสามวันก่อนเจ้าเขียนภาพไม่เสร็จ เลยขโมยของข้าไปส่งแทน” ทุกคนหัวเราะ “จนใครๆ นึกว่ามีขโมยเข้ามา ตามหากันจ้าละหวั่นเชียว”
ทุกคนพากันหัวเราะ ลีชองรีบแก้ “จะบ้าหรือ เอาเรื่องนี้มาพูดกับซองซังกุงได้ไงน่ะ”
ทุกคนหัวเราะใหญ่ คิมซังกุงร้องบอกว่าพระมเหสีโยอึยเสด็จมา ทุกคนตกใจมาก
“พระมเหสี”
“นึกว่าเจ้าอยู่กับซังกุงอบรมซะอีก นี่มันอะไรกันน่ะ”
“เอ่อ ทรงอภัยด้วยเพคะ พอรู้ว่าคนของศูนย์ศิลปะมาทำงานในวัง หม่อมฉันเลยให้มาพูดคุยน่ะเพคะ”
“เอ่อ
พระ มเหสีโยอึยรีบตรัส “ไม่ต้องรีบไปหรอก เมื่อกี้อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงหัวเราะนึกว่าใครมา ที่แท้คนของศูนย์ศิลปะนี่เอง งั้นข้าจะบอกให้ซังกุงอบรมเปลี่ยนเป็นมาพรุ่งนี้แทน เชิญพวกเจ้าสังสรรค์ให้พอเถอะ”
“พระมเหสี”
“ทีหลังถ้ามาทำงานในวังอีก อยากเยี่ยมซงยอนก็มาได้ทุกเมื่อนะจ๊ะ”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ
หึ ฝ่าบาท” ไม่มีพะยะค่ะ” ไม่พะยะค่ะ หม่อมฉันมิบังอาจ” เทซู” มาแล้วหรือจ๊ะ หึๆ” ถ้าไง พวกเรา ทูลลาก่อนพะยะค่ะ” เพคะ”


พระเจ้าจองโจทรงคุยกับพวกเชกาเรื่องการเสวนาพ่อค้าในครั้งนี้
เชกาทูลว่า “การเสวนาคราวนี้ พ่อค้าใหญ่ต้องขอให้จำกัดสัดส่วนในการค้าขายของพ่อค้าย่อยแน่”
” ข้าก็คิดอย่างงั้น แต่ว่า ที่ตลาด ออบู และ ชอบู ส่งส่วยให้ทางการ แต่ไหนแต่ไรคือแบ่งมา 2 ส่วน จำได้ว่า ภาษีขายผ้าและเส้นด้าย,เราไม่เคยจัดเก็บ คงต้องบอกให้กรมการค้าตรวจสอบใหม่”
“แต่หม่อมฉันเห็นว่า สำคัญตอนนี้คือหาวิธีป้องกันการประท้วงของเหล่าพ่อค้า หลังจากยกเลิกนโยบายผูกขาดนะพะยะค่ะ”
” พวกเขาอาจจะขอให้พ่อค้ารายย่อยช่วยแบ่งเบาเรื่องภาษี งั้นพรุ่งนี้ เราจะดูว่าพวกเขายอมจ่ายให้ทางการเท่าไหร่ และให้พ่อค้ารายย่อยรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน”
ทุกคนน้อมรับ “ทราบแล้วพะยะค่ะ”
“ฝ่าบาท มหาดเล็กนัมพะยะค่ะ” นัมซาโชเข้ามา
“เป็นไง เรียบร้อยใช่ไหม”
“พะยะค่ะ ทำตามรับสั่ง การเสวนาในวันพรุ่งนี้ ได้จัดเวทีและโต๊ะเก้าอี้พร้อม ทรงวางพระทัยได้”
“ขอบคุณมาก”
ทางด้านฮงกุกยองก็สั่งการลูกน้องให้ตรวจตราอย่างเข้มงวด
แต่พอถึงเวลาเสวนาจริงๆ กลับไม่มีพ่อค้ามาสักคน พระเจ้าจองโจจึงสั่งให้ฮงกุกยองไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“รู้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” พระเจ้าจองโจตรัสถาม
นัมซาโชทูลว่า “ใต้เท้าฮงส่งทหารไปสืบหาสาเหตุแล้ว คงต้องรอซักครู่พะยะค่ะ”
แช จีคยอมทูลขึ้นว่า “ฝ่าบาท งานเสวนาคราวนี้ เหล่าพ่อค้าเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาก่อน ถึงเวลากลับไม่มาเฝ้า แสดงว่าหลอกลวงเบื้องสูงชัดๆ หม่อมฉันว่า น่าจะลงพระอาญานะพะยะค่ะ”
“ที่พวกเขาไม่มาคงมีเหตุผล สืบให้รู้ที่มาที่ไปก่อน ค่อยลงโทษก็ได้”
“ฝ่าบาท ท่านเสนาซ้ายมาขอเฝ้าเพคะ”
ชางแทวูเข้ามา
“มีธุระอะไร”
“หม่อมฉันมีเรื่องจะมาทูลให้ทราบ หม่อมฉันได้ตรวจสอบสาเหตุที่เหล่าพ่อค้าไม่มาเฝ้า จนพบสิ่งที่น่าตกใจ”
“น่าตกใจยังไง”
“ที่เรื่องราวกลับตาลปัตร เป็นเพราะใต้เท้าฮงพะยะค่ะ”
หลังจากพระเจ้าจองโจฟังความจากชางแทวูก็เสด็จไปพบฮงกุกยองด้วยพระองค์เอง
“ใต้เท้าฮง”
“พะยะค่ะ”
“เพราะท่านใช่ไหม” ฮงกุกยองทั้งอึ้งและตกใจ
“ข้าถามว่าท่านจับพวกพ่อค้าไปสอบปากคำใช่ไหม ใต้เท้าฮง”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ เป็นเพราะ”
“พวกเขาอยู่ไหน ข้าถามว่าคนที่ถูกจับมาอยู่ไหน”
ฮงกุกยองอึกอัก แต่ก็จำต้องบอก พอพระเจ้าจองโจเสด็จไปทอดพระเนตรก็ตกใจมากที่เหล่าพ่อค้าถูกทรมาน
“บอกเหตุผลมาหน่อยซิ ทำไมต้องใช้วิธีทารุณกับพวกเขาแบบนี้”
“เอ่อ พระอาญาไม่พ้นเกล้า เนื่องจากเหตุการณ์ปลงพระชนม์ ส่อแววว่าเกี่ยวข้องกับพวกเขา หม่อมฉันจึงต้องจับมาเพื่อคาดคั้นเอาความจริง”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ การลงโทษสุ่มสี่สุ่มห้า ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำแบบนี้ เหมือนลุแก่อำนาจชัดๆ”
“ฝ่าบาท”


” พวกเขาเสนอให้มีการเสวนา เพื่อหวังเจรจากับข้า แต่พอท่านมาทำแบบนี้ ไม่เพียงหมดหนทางพูดคุยเท่านั้น แม้แต่พ่อค้ารายย่อยก็จะมีผลกระทบตาม แล้วจะแก้ปัญหายังไง”
“หึ เอ่อ ฝ่าบาท เรื่องที่เกิด หม่อมฉันมีทางแก้ปัญหาเอง ขอให้ฝ่าบาท”
“พอที ไม่ต้องแก้แล้ว”
“หา” ฮงกุกยองอึ้ง
“ไม่ได้ยินหรือไง เรื่องนี้ท่านไม่ต้องยุ่งอีกแล้ว ใต้เท้าแช”
“พะยะค่ะ”
“ปัญหาต่อจากนี้ ท่านช่วยจัดการให้ที”
“พะยะค่ะ”
ฮงกุกยองทั้งอึ้งและตกใจ จากนั้นก็กลายเป็นอารมณ์โกรธ
แชจีคยอมต้องไปพูดกล่อมพ่อค้าว่าจะรับผิดชอบให้ และขอให้พ่อค้าใจเย็นๆ ก่อนจะกลับมาเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“ไปเจรจากับพวกเขาแล้วเป็นไงบ้าง”
“ทีแรกก็ลำบาก เพราะพวกเขาโกรธจนไม่ยอมเจรจากับทางการอีก แต่ว่า หม่อมฉันได้เสนอแนวคิดบางอย่าง สุดท้ายพวกเขาก็เห็นชอบด้วย”
“เสนอแนวคิดอะไรกัน”
“ฝ่าบาท แม้เราจะยกเลิกนโยบายผูกขาด ให้พ่อค้ารายย่อยมีสิทธิ์ได้ทำกิน แต่พ่อค้าใหญ่จะได้ขายสินค้าจำเป็น 6 ชนิด”
“หึ งั้นก็ได้ ข้าเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ไปจัดการเลย”
ชางแทวูปะหน้ากับฮงกุกยอง เขาจึงกล่าวกับฮงกุกยองว่า
” รู้แล้วใช่ไหม เรื่องวุ่นๆ ที่เจ้าก่อ ใต้เท้าแชตามเช็ดให้แล้ว ทีนี้จะทำไงต่อ ดูเหมือนฝ่าบาทจะหมดศรัทธาในตัวเจ้าเต็มที อนาคตจะเป็นไง ข้าชักดูไม่ออกซะแล้ว ทำไมไม่พูดซะล่ะ ก็น่าอยู่หรอก แน่จริงก็ประกาศท้าทายข้าหน่อยปะไร หึ หึๆๆ เฮ่อๆๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ”
ฮงกุกยองพูดไม่ออกได้แต่เจ็บใจ และไปเฝ้าพระหมื่นปีจองซุน พระนางก็ทรงว่า
“ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหม ทำอะไรอย่ารีบเร่ง อย่าหลงตัวเองเกินไปนัก”
แชซกจูร่วมว่าด้วย “ถ้าฟังคำเตือนของพระหมื่นปีหน่อย เรื่องคงไม่กลายเป็นแบบนี้”
“ว่ามา คราวนี้จะให้ข้าช่วยอะไรอีก”
“รีบสนับสนุนให้องค์ชายวานพงเป็นรัชทายาท”
“วันก่อนเจ้าบอกว่าเร็วไปไม่ใช่หรือ”
“นั่นเพราะหม่อมฉันคาดการณ์ผิดเอง ถ้าจะประสานรอยร้าวระหว่างหม่อมฉันและฝ่าบาท ก็ต้องให้เรื่องนี้สำเร็จโดยเร็ว”
“ข้ารู้แล้ว จะหาวิธีให้”
ฮงกุกยองออกไป พระหมื่นปีจองซุนมองตามแล้วถอนพระทัย
“ท่านเห็นหรือเปล่า สีหน้าของคนที่จนตรอกเต็มทีน่ะ”
“เสียทีเมื่อก่อนฉลาดนัก กลายเป็นคนขาดสติไปซะแล้ว”
“ถึงอย่างงั้นเราก็ไม่มีอะไรเสียหาย อย่างมากก็แค่ทำลายตัวเอง ถ้าเขายังรอดได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเราอีก”
คิม ซังกุงมาทูลพระมเหสีโยอึยว่าตอนนี้มีการเอ่ยถึงองค์ชายวานพงขึ้นเป็น รัชทายาทอีกแล้ว พระมเหสีโยอึยจึงเสด็จไปหาองค์ชายวานพงด้วยพระองค์เอง เพื่อบอกให้องค์ชายวานพงกลับไปอยู่บ้านเดิมชั่วคราว
องค์ชายวานพงเสด็จออกมาก็พบกับฮงกุกยอง
“หา
“ท่านลุง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ จะเสด็จออกนอกวังหรือไง”
“ข้าได้รับคำสั่งให้ไปอยู่บ้านเดิมชั่วคราว”
“ให้กลับไปอยู่บ้านเดิม ใครกล้าออกคำสั่งแบบนี้กับองค์ชายน่ะ”
“เอ่อ
“ข้าเป็นคนสั่งเอง ยังมัวรออะไรอีก ถ้าเก็บของเสร็จแล้ว รีบพาองค์ชายวานพงไปจากวังหลวงซะ”
พวกนางในรับคำ “เพคะ”
“พระมเหสี”
“องค์ชายวานพงยังเด็กมาก อยู่ในวังจะไม่สะดวกหลายอย่าง ข้าจึงให้เขาไปอยู่บ้านเดิมดีกว่า ถ้าอย่างงั้น เจ้าจงรีบไปเถอะนะ”
“หม่อมฉันขอทูลลาก่อน พระมเหสีทรงถนอมพระวรกายด้วย” องค์ชายวานพงเสด็จไป
” ไม่ว่าท่านจะหวังอะไรก็ตาม องค์ชายวานพงไม่มีทางได้เป็นรัชทายาทแน่ ตราบใดที่มีข้าอยู่ เรื่องนี้เลิกฝันได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านก็เลิกทำเรื่องไร้สาระ กลับไปห่วงใยบ้านเมืองยังดีกว่า”
“ทรงกริ้วที่หม่อมฉันสนับสนุนองค์ชายวานพงใช่ไหม ถ้าอย่างงั้น ทรงตำหนิหม่อมฉันคนเดียวก็ได้ ทำไมต้องโหดร้ายไปทำกับเด็กอย่างงั้น”


“ที่โหดร้ายคือท่านต่างหาก เอาเด็กไร้เดียงสามาเป็นหุ่นเชิด สนองความทะเยอทะยานของตัวเอง”
” ใครบอกว่าหม่อมฉัน ทำเพื่อความทะเยอทะยานของตัวเอง ที่หม่อมฉันทำไป เพราะเห็นแก่อนาคตของฝ่าบาท ไม่ให้ตำแหน่งรัชทายาทเว้นว่างต่างหาก”
“จะพูดยังไงก็ช่าง ฝ่าบาททรงมีซองซังกุงแล้ว ในเมื่อทรงมีพระสนม แม้จะห่วงเรื่องรัชทายาทที่ว่างอยู่ เราก็ต้องรอคอยข่าวดีไม่ใช่หรือ”
“ต่อให้ซองซังกุงมีโอรสให้ฝ่าบาทจริง ทรงนึกหรือว่าจะได้เป็นรัชทายาทง่ายๆ น่ะ”
“ใต้เท้าฮง”
” ทุกวันนี้ซองซังกุง ไม่เพียงไม่ได้รับหนังสือแต่งตั้ง แม้แต่พระพันปีก็ทรงรังเกียจ แม้อนาคต ต่อให้นางมีโอรสจริง ก็จะทำให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายมากกว่า”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ ท่านกำลังลบหลู่สนมที่ฝ่าบาทโปรดปราน รู้ตัวมั้ยว่ากำแหงขนาดไหนน่ะ”
“พระมเหสี”
“เอ่อ ฝ่าบาท” พระมเหสีโยอึยทรงตกพระทัยที่เห็นพระเจ้าจองโจเสด็จมา
ฮงกุกยองเองก็ตกใจ “หา
“มหาดเล็กนัม”
“พะยะค่ะ”
“ช่วยไปบอกเหล่าขุนนาง ให้เลื่อนการประชุมไปเป็นช่วงบ่าย”
“ทราบแล้วพะยะค่ะ”
“เจ้ากลับไปตำหนักก่อน ข้ามีเรื่องบางอย่างจะคุยกับใต้เท้าฮง”
“ทราบแล้วเพคะ งั้นหม่อมฉันขออนุญาตทูลลาก่อน”
“รีบไปเถอะ”
“ฝ่าบาท” องค์ชาย” คือ” ฝ่าบาท”

จบ ตอนที่ 64

1 comment:

  1. Anonymous10/5/09 15:03

    Many thanks for u posted this. But I need u to post other episode, could u post it next?

    Yooyee,

    ReplyDelete