Saturday, 16 May 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 68


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 68

“ท่านบอกว่าไงนะ ว่าท่านเป็นพระราชาหรือ” ชองยายงตกใจไม่น้อย
“ขอโทษด้วยนะ ความจริงข้าไม่ตั้งใจปิดบัง แต่ไม่นึกว่าเราจะอยู่ในสภาพนี้”
“ฝ่าบาท ทรงอภัยด้วย หม่อมฉัน มีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินเบื้องสูง”
“ไม่เป็นไร ข้าปลอมตัวมาแบบนี้ ไม่มีใครจำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ว่าแต่ ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเจ้าเป็นใคร”
“แหะ ฝ่าบาท ทรงจำหม่อมฉันไม่ได้แล้วหรือ”
พระเจ้าจองโจทรงแปลกพระทัย “หือ”
“ก็หม่อมฉันไงเล่า มหาเสนาบดีของฝ่าบาทไง”
“อะไรนะ”
“เฮ่อๆๆ ท่านอ้างตัวเป็นพระราชาได้ ข้าก็อ้างเป็นเสนาบดีได้เหมือนกัน เฮ่อๆๆ”
“อะไรกันนี่ เห็นคำพูดข้าเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไง”
พวกนักเลงตามมา “หาดูซิ อยู่ไหนน่ะ”
ชอง ยายงรีบบอก “เดี๋ยวก่อน ต้องหาที่ซ่อนอีกแล้ว ตามมาเร็ว เร็วเข้า นี่ ไม่มีเวลาจะมาเล่นพระราชากับขุนนางอีกแล้ว ท่านเดินตรงไปข้างหน้า ข้ามสะพานแล้ววิ่งไปเรื่อยๆ อย่ามาอยู่ที่อันตรายแบบนี้อีกเข้าใจมั้ย หึ”
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป เฮ่ย”
ชอง ยายองแยกไปพลางบ่นพระเจ้าจองโจ “เฮอะ พระราชาน่ะหรือ เพ้อเจ้อล่ะไม่ว่า ข้านึกว่าตัวเองเก่งเรื่องดูโหงวเฮ้งซะอีก สงสัยต้องไปพลิกตำราใหม่ซะแล้ว เฮ่ย แย่จริง”
ทางด้านพวกเทซูช่วยกันออกตามหาพระเจ้าจองโจ คังซกกีกลับมาบอกว่า
“หึ ดูเหมือนไม่ได้ถูกพวกนั้นจับไป เท่าที่ดู พวกมันคงตกใจเสียงระเบิดเลยออกมาวิ่งพล่าน”
“แล้วฝ่าบาททรงไปอยู่ไหนกันแน่” ซอจังบูเป็นห่วง
“เฮ่ย หึ ข้าจะไปหาที่ด้านหลังอีกครั้ง พี่คังกลับไปพาทหารมาช่วย ส่วนพี่ซออยู่แถวนี้คอยสังเกตการณ์ไว้ให้ดี”
“ให้ข้าอยู่แถวนี้หรือ”
“ใช่ ถ้าไม่มีใครอยู่นี่ซักคน เกิดฝ่าบาทเสด็จกลับมารอที่นี่ก็จะไม่เจอใครเลย”
“อ้อ” ซอจังบูเข้าใจ
“หึ ไม่มีเวลาอีกแล้ว แยกย้ายไปเร็วเข้า”
“งั้นข้าไปเดี๋ยวนี้”
“ถ้าจะหาข้าละก้อ ไม่ต้องห่วงนะ” พระเจ้าจองโจเสด็จมา
“หา ฝ่าบาท หึ”
“หึ ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ เสด็จไปไหนมา”
“ขอโทษด้วย ที่อยู่ดีๆ หายไปไม่บอกกล่าว พอดีว่า ต้องไปทำธุระนิดหน่อย”
“หา ทำธุระหรือ หมายความว่า เสียงระเบิดเมื่อกี้”
“ใช่ ฝีมือข้าเอง ไม่ใช่ เป็นฝีมือมหาเสนาบดี ที่ช่วยข้าอีกแรง”
เทซูงง “มหาเสนาบดี”
“เอ่อ ฝ่าบาท หมายความว่าไงหรือพะยะค่ะ มีใครมาช่วยอีก”
“หึๆ เรื่องนี้ไว้พูดวันหลัง เรากลับกันเถอะ ตอนนี้รู้แหล่งของพวกปล่อยกู้แล้ว จะได้วางแผนอีกที”
พระเจ้าจองโจเสด็จกลับมา ก็บอกพวกเชกาว่า
“เดือนหน้าจะมีเรือมาจากต้าชิงหรือ”
” พะยะค่ะฝ่าบาท เราได้ไปสืบอย่างชัดเจน คนกลุ่มนี้มักจะเอาเรือสินค้าของต้าชิงบังหน้า จากนั้นก็นำลูกหนี้ที่ไม่มีปัญญาจ่ายเงินไปขายต่อที่ต้าชิงอีกที”
“เรือสินค้าที่ว่าจะมาเทียบท่าที่ท่าเรือซอกัง เราได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้วพะยะค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น เราอย่าเพิ่งไปยุ่งกับแหล่งกบดานของพวกมัน”
“ความหมายก็คือ จะทรงรอให้ถึงเวลาที่มีการซื้อขายหรือพะยะค่ะ”
” ใช่ ถึงตอนนั้น เราจะจับพ่อค้าต้าชิงที่รู้เห็นในการค้ามนุษย์มาสอบปากคำด้วย จะได้รู้ร่องรอยชาวบ้านที่ถูกขายว่าไปอยู่ไหนบ้าง จะได้ช่วยกลับมา หัวหน้าองครักษ์”
“พะยะค่ะ”
“เราจะรอให้ถึงเดือนหน้า ค่อยกวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ ทั้งที่เป็นชาวโชซอนและต้าชิง แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ให้จับตาดูคนกลุ่มนั้นให้ดี เข้าใจมั้ย”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะทำตามพระบัญชา”
แชจีคยอมถามนัมซาโชว่า “ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทเสด็จออกไปข้างนอก ได้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นความจริงหรือเปล่า”
“จริงครับใต้เท้า เห็นคนที่ติดตามบอกว่า แม้จะเกิดเรื่องก็จริง แต่ได้รับความช่วยเหลือจากบัณฑิตคนหนึ่ง จึงได้ปลอดภัยกลับมาน่ะครับ”
“อะไรนะ บัณฑิตน่ะหรือ”
“ใช่ครับท่าน”
แชจีคยอมขอเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ และทูลว่า
“แต่ว่า ในเมื่อหนุ่มคนนี้เป็นบัณฑิต แล้วทำไมไปอยู่ที่นั่นได้ ไม่น่าแปลกหรือพะยะค่ะ”
” เรื่องนี้ข้าก็สงสัย เพราะเขาก็รู้ว่าที่นั่นเป็นที่ไหน ยังจะไปเสี่ยงอันตรายทำไมอีก ข้าเลยสั่งให้เทซู ไปสืบประวัติคนๆ นี้ให้ชัด ดูเหมือนเขาจะชำนาญเรื่องการทำนาย แถมยังศึกษาตำราเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ โดยเฉพาะความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ข้าแทบไม่เคยเห็นในตำรา แม้แต่ของต้าชิงด้วยซ้ำ”
“เท่าที่ฟัง แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงชื่นชมเขามากนะพะยะค่ะ”
“ใช่ ตอนเห็นเขาหนีออกจากสำนักบัณฑิตยังนึกว่าเป็นพวกไม่เอาไหน ถ้าได้เขามาช่วยงาน เชื่อว่าต้องมีประโยชน์แน่”
แชจีคยอมเข้าใจ “อึม”
“ที่สำคัญ แววตาเขาบ่งบอกเป็นคนฉลาด เหมือนตอนข้ารู้จักฮงกุกยอง สมัยที่ยังเป็นองค์ชายอยู่ คล้ายคลึงกันไม่มีผิด”
แชจีคยอมหนักใจทันที “ฝ่าบาท”
ดึกคืนนั้นนัมซาโชเห็นพระเจ้าจองโจยังไม่ทรงบรรทม จึงเข้าเฝ้า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมาขอเฝ้า ฝ่าบาท นี่ก็ดึกมากแล้ว เสด็จไปบรรทมเถอะพะยะค่ะ”
” ข้าอยากอยู่อีกซักพัก รู้สึกว่าวันนี้ มีเรื่องให้ต้องคิดหลายอย่าง ถ้าตอนนี้ใต้เท้าฮงยังอยู่ ไม่รู้เขาจะพูดอะไรบ้าง ถ้าเป็นเขาละก้อ คงรีบไปเรียกประชุมบัณฑิตทั้งหมด แล้วหาหนุ่มคนนั้นมาพบข้าให้ได้ ด้วยนิสัยอย่างเขา คงจะทำแบบนี้ ท่านว่าจริงมั้ย”
“ฝ่าบาท”
“ใช่ หมู่นี้ไม่รู้ทำไม ชอบคิดแบบนี้อยู่เรื่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับข้า ถ้าเป็นใต้เท้าฮง เขาจะมีความคิดยังไง ให้คำแนะนำอะไรได้บ้าง เป็นสิ่งที่ข้าอยากรู้ และชอบที่จะฟังเขาอธิบาย”
“ฝ่าบาท ความรู้สึกที่โปรดปรานใต้เท้าฮง หม่อมฉันเข้าใจดี แต่ยังไงเขาก็เป็นนักโทษที่มีความผิดมหันต์ ถ้าฝ่าบาททรงเอนเอียง จะทำให้บดบังวิจารณญาณ ในการแยกแยะผิดชอบชั่วดี”


” ข้าได้ยินว่าเขา สุขภาพไม่สู้ดีนัก บางทีข้าก็อยากจะ อภัยโทษให้เขาทั้งหมด แต่ก็รู้ดีว่า เรื่องนี้ไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน แต่ว่า เขาไม่เพียงเป็นขุนนางเท่านั้น ยังเป็นเพื่อนที่สนิทของข้า ข้าเป็นห่วงว่าเขา ไปอยู่ที่กันดารจะทนไหวหรือเปล่า เกิดล้มป่วยไม่สบาย แล้วใครจะดูแลได้”
“ฝ่าบาท” นัมซาโชหนักใจมาก
ทางด้านฮงกุกยองตื่น ขึ้นมาไม่พบทหารที่เฝ้ายาม จึงออกไปข้างนอก เมื่อคืนเข้าฝันว่าพระเจ้าจองโจทรงมาเรียกเขา ทำให้เขานึกถึงพระเจ้าจองโจ
” จนวันนี้ ข้ายังไม่ตาสว่างอีกหรือนี่ ถึงขนาดคาดหวังให้ฝ่าบาททรงยกโทษ รอให้พระองค์เรียกไปหารือราชกิจ แสดงว่าถึงวันนี้ ข้ายังไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรผิดไป ฮือ ยังทรงจำได้ไหมพะยะค่ะ วันที่ฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมหม่อมฉันที่เรือนจำ รับสั่งว่าพระองค์ไม่เคยลืม วันแรกที่เราได้รู้จักกัน หม่อมฉันเอง ก็ไม่เคยลืมเช่นกัน เรายังมีงานต้องทำอีกมาก ก่อนที่ฝ่าบาท จะสามารถขับเคลื่อนทุกอย่างให้เป็นจริงได้ หม่อมฉันแทบอยากถวายชีวิต รับใช้พระองค์อย่างเต็มความสามารถ เพื่อช่วยทำงาน ตามที่มีพระดำริให้เป็นจริง เกิดชาติหน้าฉันใด หม่อมฉัน หวังว่าจะได้พบฝ่าบาทอีก ถึงตอนนั้น ฝ่าบาท ฮือ จะทรงให้อภัยหม่อมฉันได้ไหม ถึงตอนนั้น ฮือ จะยอมรับคนเลวอย่างหม่อมฉัน เป็นเพื่อน ได้อีกหรือเปล่า” ฮงกุกยองไอ
ฮงกุกยองกลับมาที่บ้าน ทหารรีบบอก “อย่าทำอย่างงี้อีกนะ ข้าไม่อยากเดือดร้อนเพราะท่าน”
” หึ ขอโทษด้วย เมื่อเช้าข้ารู้สึกร่างกายสดชื่น เลยไปเดินเล่นในหมู่บ้านหน่อย แต่เดินซักพักก็หาเจ้าไม่เจอแล้ว สงสัยเมื่อคืน คงไปเล่นไพ่มาล่ะสิ”
“นี่ ท่าน รู้ได้ไงน่ะ”
“ระวังให้ดี เกิดข้าหนีไป เจ้าต้องถูกตัดหัวแน่”
“อะไรนะ”
“หึๆๆ มีลางสังหรณ์ว่า วันนี้น่าจะเกิดเรื่องดีๆ บางอย่าง เมื่อคืนข้ายังฝันดีด้วยนะ”
“เฮ่ย เกิดท่านฝันร้าย หัวข้าคงจะหลุดจากบ่าแล้วมั้ง”
“หึ เดี๋ยวก่อนน้องชาย วันก่อน มีทหารมาหาข้าคนหนึ่ง จำได้ไหม”
“คนที่อยู่หน่วยพิเศษน่ะหรือ”
“ใช่ วันหน้าวันหลัง เกิดเขามาหาข้าอีก ช่วยฝากของห่อนี้ให้เขาที”
“แล้วทำไมต้องฝากข้าด้วย ท่านก็มอบให้เขาตรงๆ สิ”


” หึ ใช่ ข้าให้เขาเองก็ได้ เอ่อ แต่ว่า กลัวถึงตอนนั้น ข้าจะหลงลืมไปซะก่อน เลยขอฝากเจ้าเพื่อความมั่นใจ อีกอย่าง มีคำพูดหนึ่ง ข้ากลัวจะลืมพูดกับเขา ช่วยบอกเขาว่า ข้ารู้สึกผิดต่อเขา และขอบใจเขามาก ช่วยบอกตามนี้ก็พอ”
พระเจ้าจองโจเรียกเทซูมาคุยตัวต่อตัว พอเทซูรู้เรื่องก็ตกใจ
“เอ่อ คือ ฝ่าบาท ที่รับสั่งเมื่อกี้จริงหรือพะยะค่ะ”
“ใช่ พูดจริง”
“เอ่อ แต่ แต่ว่าฝ่าบาท เรื่องนี้ถ้าให้ใครรู้เข้า”
” ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ ถึงได้บอกเจ้าว่า ให้ทำอย่างเงียบๆ ไง ข้าไม่ได้หวังอะไรหรอก เพียงแต่ มีเรื่องบางอย่างอยากพูดกับเขาซึ่งหน้า จริงอยู่ถ้ามีธุระ เขียนจดหมายให้เจ้าไปส่งก็ค่าเท่ากัน แต่คำพูดนี้ ข้าจำเป็นต้องพูดกับเขาตรงๆ ถึงจะได้ ฉะนั้น จึงให้เจ้าไปพาเขามาอยู่ใกล้เมืองหลวงหน่อย ว่าไง ตกลงจะทำได้ไหม”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
เท ซูไปบอกเจ้าหน้าที่ให้พานักโทษฮงกุกยองมาเมืองหลวง อ้างว่ามีเรื่องจะไต่สวน แต่พอจะเข้าไปทำตัวฮงกุกยองออกมา ทหารคนนั้นก็นำของมาให้เทซู ทำให้เทซูรีบเข้าไปหาฮงกุกยองแต่ไม่พบ เขาร้องเรียกจนเห็นฮงกุกยองนอนหมดสติอยู่ จึงสั่งให้คนตามหมอมาด่วน
เทซูสั่งสาส์นด่วนมาให้พระเจ้าจองโจ นัมซาโชนำขึ้นมาถวายพระเจ้าจองโจ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมาขอเฝ้า”
“เข้ามา มีเรื่องอะไร”
“ฝ่าบาท ได้รับสาส์นด่วนจากเทซู ซึ่งเดินทางไปคังนึงพะยะค่ะ”
“สาส์นด่วนจากเทซูหรือ”
“พะยะค่ะ”
“เอามาดูซิ หา”
พระเจ้าจองโจทรงตกพระทัยเมื่อทราบว่าฮงกุกยองไม่สบายมาก และทรงคิดจะเสด็จไปเยี่ยม แต่แชจีคยอมคัดค้าน
“ฝ่าบาท ฮงกุกยองเป็นนักโทษอาญา ไม่เหมาะจะเสด็จไปเยี่ยมด้วยพระองค์เอง”
“หลีกไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ได้จริงๆ พะยะค่ะ ถ้าฝ่าบาทเสด็จไป ต้องถูกเหล่าขุนนางคัดค้านแน่”
“จะเกิดอะไรก็ช่าง ข้าต้องไปพบใต้เท้าฮงให้ได้ เขากำลังจะตายแล้ว ข้าจำเป็นต้องไปพบเข้าใจหรือเปล่า”
“ฝ่าบาทๆๆ”

ฮงกุกยองนอนหอบ หมอตรวจอยู่ เทซูถามหมอว่าเป็นยังไงบ้าง
“เฮ่ย ช้าไปแล้วล่ะ”
“หา หึ ใต้เท้าๆ หึ ใต้เท้า”
พระเจ้าจองโจเสด็จมาถึงก็ทรงถามเจ้าหน้าที่ทันที แต่เจ้าหน้าที่มัวแต่ตะลึง พระเจ้าจองโจทรงเสด็จเข้าไปทันที
“ฮือ ฝ่าบาท”
” ใต้เท้าฮง ฮือ ใต้เท้าฮง ข้ามาแล้ว ได้ยินหรือเปล่า ข้าเอง ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว ฮือ ลืมตาขึ้นมาเร็วเข้า ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย ข้ามีเรื่องหลายอย่างจะพูดกับท่าน ใต้เท้าฮง”
“ฝ่าบาท” ฮงกุกยองลืมตาขึ้น
“หา”


เทซูรีบบอก “ใต้เท้า ท่านรู้สึกตัวแล้วหรือ ใต้เท้า”
“ใต้เท้าฮง ข้าเอง จำข้าได้หรือเปล่า” ฮงกุกยองได้ยินเสียงก็ร้องไห้
” ฮือ ใต้เท้าฮง ขอโทษด้วยนะ ที่ข้าไม่เคยมาเหลียวแล ต้องขอโทษจริงๆ และตั้งนานก็ไม่มาเยี่ยมท่าน อภัยให้ข้าด้วย ฮือ แต่ท่านรู้หรือเปล่า ข้าไม่เคย ถือโกรธโกรธเคืองท่านซักนิด ไม่เคยลืมท่าน ไม่เคยลืม ความดีที่ท่านมีต่อข้า”
“เฮ่อ ฝ่าบาทไม่ต้อง รับสั่ง อะไรทั้งสิ้น หม่อมฉันเข้าใจ ฮือ ฮือ”
“ใต้เท้าฮง”
“ฝ่าบาท ยอมเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉัน ฮือ”
“ใต้เท้าฮง”
” ได้โปรด อย่าทรงเสียพระทัย เพราะเรื่องของหม่อมฉันอีกเลย ฮือ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยคิดคด โอ๊ะ ความภักดีที่มีต่อฝ่าบาท แต่ไหนแต่ไร ไม่เคย ไม่เคยเปลี่ยนแม้แต่น้อย ฮือ”
“ฮือ ใต้เท้าฮง ข้ารู้ดี ข้ารู้ทุกอย่างที่ท่านพูด”
” ฮือ หม่อมฉันไม่เคยลืมสมัยก่อน ที่เคย ร่วมเป็นร่วมตายกับฝ่าบาท มาอย่างยากเย็น และสิ่งที่ฝ่าบาท ทรง คาดหวัง และทรงประทานให้หม่อมฉัน ได้มี อำนาจวาสนา หม่อมฉัน ไม่เคยลืมแม้แต่น้อย” ฮงกุกยองสิ้นใจตาย
“หา ใต้เท้าๆ” เทซูร้องไห้
พระ เจ้าจองโจทรงร้องไห้ “ฮือ ใต้เท้าฮง ลืมตาขึ้นมาหน่อยได้ไหม ใต้เท้าฮงๆ ได้โปรดลืมตาหน่อยเถอะ ฮือๆๆ ใต้เท้าฮงๆ ฮือ ใต้เท้าฮง ไม่นะ อย่าเพิ่งจากไปแบบนี้ ฮือๆๆ ได้ยินหรือเปล่า ข้าบอกให้ลืมตาขึ้นมา ฮือๆๆ ท่านเคยบอกว่า จะช่วยข้าทำงานอีกหลายอย่าง ท่านเคยบอกว่า จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้าไง แล้วทำไม ยังไม่ทันไร ท่านก็ทิ้งข้าไปซะแล้ว ทำไมถึงใจร้าย ทิ้งข้าไปได้ลงคอ ฮือๆๆ ฮือๆๆ”
พวกเทซูและนัมซาโชพากันร้องไห้กับการจากไปของฮงกุกยอง
พระมเหสีโยอึยตรัสกับซองซงยอนเมื่อนางมาเข้าเฝ้า
“พระมเหสี”
“สุดท้ายก็ต้องลงเอยแบบนี้ ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมที่แล้วมา ข้าถึงเกลียดชังคนๆ นี้นักหนา”
“พระมเหสี เฮ่อ”
ดัลโฮรู้เรื่องก็ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ จนมักซูที่แม้จะร้องไห้เสียใจกับการจากไปของฮงกุกยองแต่ก็รำคาญที่ดัลโฮร้องไห้มากไป
“โธ่เอ๊ย เลิกร้องซะทีได้ไหม ร้องให้ตาย เขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาซักหน่อย”
” แล้วทำไมข้าจะร้องไม่ได้ล่ะ ข้าน่ะ เสียใจเพราะการตายของใต้เท้าฮงมากเลย ฮือ เขาเคยช่วยข้าตั้งขนาดไหน แต่ตอนเขาถูกเนรเทศ ข้าทำอะไรบ้าง ฮือ เอาก้อนหินไปปาเขา ฮือๆๆ”


“เปล่าซักหน่อย ไม่ได้ปา ท่านเคยตามแห่ไปกับคนอื่นเท่านั้น”
“ก็เหมือนกันล่ะน่า มีเฉียดๆ บ้างเหมือนกัน ฮือๆๆ ใต้เท้า อโหสิให้ข้าเถอะนะ ข้ามันคนเนรคุณ ไม่รู้ดีชั่ว ฮือๆๆ”
“ฮือๆๆ บอกว่าอย่าร้องไง ฮือๆๆ” มักซูพลอยร้องไปด้วย
พระหมื่นปีจองซุนเองก็ทรงเศร้ากับการจากไปของฮงกุกยอง
“ไม่นึกว่าฮงกุกยอง สุดท้ายจะมีจุดจบที่น่าอนาถ”
แชซกจูกลับบอกว่า “แต่หม่อมฉันว่าการตายอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะคนที่สูญเสียอำนาจ อยู่ต่อก็ไร้ความหมาย เหมือนตกนรกก็ไม่ปาน”
“แต่ว่า บั้นปลายยังมีฝ่าบาทไปดูใจ เขาคงไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว ได้ยินว่าจะมีพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่ด้วยนี่”
“พะยะค่ะพระหมื่นปี”
เทซูทูลพระเจ้าจองโจถึงพิธีฝังศพฮงกุกยอง
“พรุ่งนี้ยามเช้า ภายใต้การนำของทหาร จะมีพิธีฝังศพใต้เท้าตามประเพณีพะยะค่ะ ฝ่าบาท”
” ข้า น่าจะไปหาเขาเร็วกว่านี้หน่อย เป็นความผิดของข้าเอง ข้าน่าจะบอกเขาว่า ให้อภัยเขานานแล้ว และให้กลับมาทำงานใหม่ หากคิดได้ก่อน เขาคงไม่ตรอมใจจนสุขภาพย่ำแย่ขนาดนั้น เขาทำเพื่อข้าจวบจนวันสุดท้าย แต่ข้ากลับไม่เหลียวแล ทอดทิ้งเขาไป เขาคงจะน้อยใจข้ามาก เสียใจที่มีนายอย่างข้า ช่างใจร้ายเหลือเกิน”
“ฝ่าบาท ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกพะยะค่ะ ทรงลืมแล้วหรือว่าใต้เท้าได้พูดอะไรบ้าง เหมือนที่ฝ่าบาทรงอภัยให้เขา เขาก็เหมือนกัน ที่ไม่เคยตำหนิฝ่าบาทเลยแม้แต่น้อย เขาเคยบอกว่า ชาตินี้ได้รู้จักฝ่าบาท ถวายการรับใช้ นั่นคือสิ่งที่ เป็นเกียรติสำหรับเขา และทำให้ภูมิใจมากที่สุด เพราะฉะนั้น หากฝ่าบาททรงเข้าพระทัย ก็ขอได้โปรด ทำตามคำพูดสุดท้ายของเขา อย่าทรงเสียพระทัยเพราะเรื่องนี้อีกเลยพะยะค่ะ”
“เทซู”
ซอ จังบูเสียใจมาก เขาระลึกถึงฮงกุกยอง “ใต้เท้า ฮือ ไปสู่สุขคติเถอะนะ ฮือๆ ชาติหน้าถ้าได้พบท่านอีก ข้าคงได้ตอบแทนบุญคุณ ฮือ ไปสู่สุขคติเถอะนะ”
พระ เจ้าจองโจทรงระลึกถึงฮงกุกยอง “ข้าจะไม่มีวันลืมท่าน รวมถึงอุดมการณ์ที่เราคิดไว้ ความภักดีที่ท่านมีต่อข้า และความซื่อสัตย์ ตราบใด ที่ข้ายังมีชีวิต จะไม่มีวันลืมแน่นอน”


ด้านลีชองถามปาร์คยองมุนเรื่องงานว่า
“ให้ไปส่งที่กรมพิธีการหรือครับใต้เท้า”
“ใช่ เพราะมีคำสั่งจากผู้ใหญ่ลงมา ให้ส่งรายชื่อช่างเขียน รวมถึงผลงานที่มี จึงให้เจ้ากับช่างเขียนตั๊กไปด้วยกัน”
“แต่ทำไมต้องส่งรายชื่อ รวมถึงผลงานไปให้พวกเขาดูด้วยล่ะครับ”
“อาจเพราะฝ่าบาท จะทรงใช้นโยบายใหม่ ปฏิรูปศูนย์ศิลปะก็เป็นได้”
“หา ปฏิรูปศูนย์ศิลปะหรือครับ หมายความว่า จะดูตามผลงาน ใครไม่เข้าตาก็จะถูกปลดอย่างงั้นหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อย่างงั้น แต่จะเลือกช่างเขียนบางคนไปอยู่ในวังมากกว่า” ปาร์คยองมุนว่า
“อะไรนะครับ เลือกช่างเขียน ไปอยู่ในวังหรือ เอ่อ”
ลี ชองรีบนำงานไปส่ง แต่ก็อดที่จะแอบดูไม่ได้ว่าตนเองมีผลงานแค่ไหน ด้านพวกมีซูก็ขอตามลีชองเข้าวังเพื่อหวังไปพบซองซงยอนแต่ลีชองไม่ยอมให้ไป ด้วย เขาหันไปหาช่างเขียนตั๊ก
“นี่ ช่างเขียนตั๊ก เรามีธุระต้องเข้าวัง ไปกันหรือยัง”
“เข้าวังอะไรเล่า ข้ากำลังยุ่งอยู่ วันนี้ไม่ว่าง ท่านไปคนเดียวเถอะ”
“เรามีงานสำคัญต้องทำนะ จะได้ทำความรู้จักกับคนของกรมพิธีการไว้ เจ้าไม่สนบ้างหรือ”
“ไม่สนใจ”
“เฮ่ย ไหนดูซิเขียนอะไรอยู่”
“เดี๋ยว นี่ เจ้าทำอะไร”
“หือ นี่อะไร บทเรียนสอนคนงานใหม่หรือ” ลีชองถาม
“ยุ่งจริง เอาคืนมา ไม่มีอะไรหรอก เป็นตำราที่ข้าเขียนขึ้น ไว้สอนคนงานใหม่ที่เข้ามาน่ะ แหะ”
“คนงานใหม่ที่มา หมายความว่า จะไปให้เด็กชื่อโยจินนั่นใช่ไหม”
“ฮึ่ม” ช่างเขียนตั๊กยอมรับ
“เจ้าเสียสติแล้วหรือไง นี่มันเวลาไหน ไปยุ่งกับเด็กอย่างงั้นทำไม”
“ข้าจะทำอะไรก็ช่าง ไม่เห็นเกี่ยวกับท่านเลย”
“ข้าบอกแล้วว่าให้ไปด้วยกัน อย่าหาว่ามีของดีแล้วไม่บอกล่ะ”
“พล่ามอะไรก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าจะไปไหนก็ไปเถอะ เร็วเข้า”
พระมเหสีโยอึยเรียกซองซงยอนมาพบด่วน
“พระมเหสี”
“มาแล้วหรือ ข้าเรียกตัวกะทันหัน ไม่รู้จะรบกวนหรือเปล่า”
“ไม่หรอกเพคะ ว่าแต่ มีธุระอะไรหรือเพคะ”
” วันนี้เราได้เชิญบรรดาฮูหยินขั้นหนึ่งมาร่วมในงาน “ชมแพรไหม” ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะมีส่วนร่วมด้วยเลยมาบอกให้รู้ นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราไปกันเถอะ”
“เอ่อ ทราบแล้วเพคะ”


พอพระมเหสีโยอึยเสด็จไปพบพระพันปีเฮคยอง ทรงตรัสขึ้นว่า
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับพระมเหสี เจ้าถอยไปก่อน”
ซองซงยอนรีบรับคำ “ทราบแล้วเพคะ”
โช บีมองแล้วอดบ่นไม่ได้ “หึ ทำไงดีล่ะคะ ข้าดูท่าทางพระพันปี เหมือนไม่ให้ท่านไปร่วมงานด้วยแน่ เฮ่ย กี่ครั้งๆ ก็เป็นแบบนี้ เห็นแล้วมันน่าน้อยใจจริงๆ นะคะ เฮ่ย”
พระมเหสีโยอึยทรงยกธรรมเนียมขึ้นมาพูดกับพระพันปีเฮคยอง
“เจ้าเอาธรรมเนียมมาพูดกับข้าหรือ”
“ใช่แล้วเพคะ ซองซังกุงก็เป็นสนมของฝ่าบาท หม่อมฉันจึงเห็นว่า ตามธรรมเนียม ควรให้นางไปร่วมด้วย”
” แต่ว่า นี่เป็นงานสำคัญแค่ไหน เจ้าจะไม่รู้บ้างเชียวหรือ เป็นงานที่บรรดาฮูหยินทั้งหลายตั้งคำถามต่อฝ่ายในเกี่ยวกับเรื่องแพรพรรณ เพื่อทดสอบปัญญาของพวกเรา แล้วแบบนี้ เกิดนางตอบไม่ได้ มิทำให้ฝ่ายในเสื่อมเสียหรอกหรือ หรือไม่ เพราะความซุ่มซ่ามของนาง อาจทำให้ฝ่ายในกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นก็เป็นได้”
“แต่หม่อมฉันเห็นว่า”
พระพันปีเฮคยองทรงตัดบท “เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องพูดมาก ให้นางกลับที่พักไปเดี๋ยวนี้”
พระสนมวาพินทูล “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันขออนุญาตทูลซักนิด”
“มีอะไรหรือวาพิน”
” หม่อมฉันเห็นด้วยกับพระมเหสี ที่ควรให้ซองซังกุงเข้าร่วมงานนี้ แต่ที่เสด็จแม่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าไงเราให้นางร่วมงานก่อน แล้วมีคำถามที่นางตอบไม่ได้ หม่อมฉันจะตอบแทนให้เอง ทุกวันนี้ ซองซังกุงยังไม่ค่อยรู้ระเบียบในวัง ถึงนางจะให้คำตอบหรือไม่ คิดว่าคงไม่มีปัญหามากหรอกเพคะ”
พระพันปีเฮคยองทรงอึ้งไป “วาพิน”
พระมเหสีโยอึยทรงชื่นชมพระสนมวาพิน ทุกคนพากันเข้าไปในงาน พระมเหสีโยอึยทรงกล่าวเปิด
” งาน ชมแพรไหม มีมาตั้งแต่สมัยโกคูรยอ สื่อความหมายเมื่อฝ่ายชายไปทำนา ฝ่ายหญิงอยู่บ้านเลี้ยงหนอนไหม กลายเป็นผ้าทอที่งดงาม สร้างรายได้ให้บ้านเมืองอย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ราชสำนักจึงให้ความสำคัญไม่น้อย”
ฮูหยินหลายคน “ใช่แล้วเพคะ”
“ใครมีข้อสงสัยอะไรก็เชิญถามมาได้นะ” พระพันปีเฮคยองตรัสถาม
“ถ้าอย่างงั้น มีคำถามหนึ่งจะขอถามซองซังกุงได้ไหมคะ ในงานแพรไหมปีนี้ ควรแต่งกายในชุดสีอะไรดี”
พระพันปีเฮคยองตรัสว่า “วาพิน คำถามนี้ให้เจ้าตอบดีกว่า หรือว่าไง”
” เพคะเสด็จแม่ เดิมทีสีประจำงานนี้ก็คือสีเขียว แต่ในปี “คยองอู” ได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน พอมาปี “ชองซา” ก็เป็นสีเขียวอ่อน จนมาถึงสมัยพระเจ้ายองโจ ดำริให้ปฏิบัติตามสมัยโบราณ จึงให้แต่งชุดสีเขียวเข้มตามเดิม”
ฮูหยินหลายคนชื่นชม “ถูกแล้วเพคะ”
“งั้นขอถามพระสนม หม่อมฉันมีเรื่องสงสัยมานาน จะทูลขอคำชี้แนะได้ไหมเพคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรสงสัยก็ถามมาได้เลย”
“ชุดที่ใส่ในงาน ทำไมต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง หม่อมฉันสงสัยว่าทำไมงานอื่นไม่เห็นยุ่งยากขนาดนี้เลย”
พระสนมวาพินอึ้งไป “เอ่อ”
“ถ้าไม่รังเกียจ คำถามนี้ข้าขอตอบแทนได้ไหมคะ พระพันปี หม่อมฉันขออนุญาตได้ไหมเพคะ” ซองซงยอนทูลขอ
“ถ้าเจ้ารู้ละก้อ ตอบไปก็ได้”
“เพคะพระพันปี ก่อนจะมีงานแพรไหม ต้องทำพิธีเซ่นไหว้เทพแห่งไหมก่อน ทุกท่านคงรู้ใช่ไหมคะ”
“รู้เจ้าค่ะ”
” เป็นที่รู้กันว่า พิธีเซ่นไหว้เทพแห่งไหม เริ่มมีในสมัยชุนชิว โดยเชื้อพระวงศ์ท่านหนึ่ง ซึ่งแต่แรกนั้น ชุดของพระมเหสีจะเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนฝ่ายในเป็นสีเขียวอ่อน แต่ว่า หลังจากราชวงศ์หมิงใช้สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายใน เราจึงต้องเลี่ยงไม่ให้ซ้ำกัน จึงกลายมาใช้สีน้ำเงินแทน และสุดท้ายกลับมาใช้สีเขียวเข้มก็เพราะว่า สีเขียวอ่อนย้อมลำบาก บวกกับต้องการแยกแยะระหว่างพระมเหสีและฝ่ายใน จึงให้ใช้สีเขียวเข้มและเขียวอ่อน เป็นไงบ้างคะ คำตอบของข้าแบบนี้ ไม่ทราบทุกท่านพอใจหรือเปล่า”
ฮูหยินหลายคนพอใจ “อึมๆ”
“พอใจค่ะ ท่านตอบคำถามได้อย่างละเอียด ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เมื่อเสร็จงาน พระมเหสีโยอึยทูลพระพันปีเฮคยอง
“หม่อมฉันขอทูลลาเสด็จแม่เพคะ”
“ไปเถอะชุงจอน”
ซองซงยอนทูล “พระพันปี คืนนี้หม่อมฉันจะไปถวายบังคมอีกนะเพคะ”
พระสนมวาพินทูลต่อ “หม่อมฉันทำให้ฝ่ายในอับอาย ต้องขออภัยด้วยเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องที่จู่ๆ ถามมา ใครก็ตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น”
“แต่เสด็จแม่เพคะ เมื่อกี้ดูแล้ว ผลงานของซองซังกุงเป็นไงบ้าง”
“หมายความว่าไงน่ะ”
” หม่อมฉันขอบังอาจทูลวา เมื่อก่อนนึกว่านางเป็นแค่คนงาน ความรู้คงจะตื้นเขิน แต่มาวันนี้ ดูจากการวางตัวแทบไม่ด้อยกว่าลูกผู้ดีด้วยซ้ำ แสดงว่าหม่อมฉันดูคนผิดเองเพคะ” พระสนมวาพินกล่าว



เทซูไปสืบข้อมูลของชองยายงแล้วนำมาทูลรายงานพระเจ้าจองโจ
“รายงานบอกว่า บัณฑิตคนนั้นชื่อ ชองยายง งั้นหรือ”
“พะยะค่ะฝ่าบาท จากที่ถามมา อาศัยอยู่ที่ “มยองอีปัง” เข้าศึกษาที่ ซอง ยุน-กวาน เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว”
“แต่ว่า มีเรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่ง ข้านึกว่าเขาไม่ตั้งใจเรียนซะอีก ที่ไหนได้ ผลการเรียนดีกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ”
” พะยะค่ะ เพราะเป็นคนมีไหวพริบและใฝ่รู้ อยู่โรงเรียนจึงได้รับการยกย่องจากเพื่อนๆ อย่างมาก แต่ว่า ไม่รู้เพราะอะไร ไม่เคยสอบติดขุนนางซักปี หลังๆ ก็ยิ่งไม่เข้าเรียน จนถูกลงโทษบ่อยครั้งพะยะค่ะ”
“งั้นหรือ”
“พะยะค่ะ”
และพระเจ้าจองโจก็ทรงพบกับชองยายงอีกครั้ง และกำลังปีนกำแพง
“จะหนีไปไหนอีกล่ะ”
“หา เอ่อ เฮ่ย พระราชามานี่ทำไม มีธุระอะไร”
“หึ ลงมาเร็วเข้า ทางดีๆ มีไม่เดิน ทำไมชอบปีนป่ายยังกะลิงก็ไม่รู้”
“หือ อะไรนะ หมายความว่า ถ้าออกทางประตูนี้ จะตรงไปถนน “ซง- กยอง” ได้เลยใช่ไหม”
“ใช่ นี่เป็นทางเข้าออกเฉพาะขุนนาง ข้าอนุญาตให้เจ้าอีกคน จะได้ไม่ต้องปีนกำแพงอีก”
” โห ข้าก็เพิ่งรู้ว่าโรงเรียนมีทางออกแบบนี้ด้วยหรือ ว่าแต่ ท่านหาเจอได้ไงน่ะ วันนี้ไม่เป็นพระราชา จะมาเป็นบัณฑิตอย่างข้าบ้างหรือ เฮ่อๆๆ”
เทซูดุ “พูดอะไรน่ะ”
ชองยายงกระแอมนิด พระเจ้าจองโจทรงตรัสกับเขาว่า
” เฮ่อๆๆ ข้าชื่อลีบูต๊อก บ้านอยู่แถวนี้ และประตูนี้ ข้าเจอสมัยเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ เพราะข้าก็เหมือนเจ้า ชอบหนีเรียนบ่อยๆ ออกไปหาอะไรสนุกๆ ทำ”
“จริงหรือ แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกล่ะ แค่นี้ไม่เห็นต้องปิดบังชื่อแซ่เลย หึ ข้าน่ะ ชื่อชองยายง”
“ชอง ยายงหรือ”
“ใช่ เฮ่อๆๆ”
“แต่ว่า เห็นเจ้าปีนกำแพงบ่อยๆ จะไปไหนน่ะ หรือว่ามีธุระด่วน ถึงขนาดต้องหนีเรียนหรือไง”
“ข้างนอกมีคนอยากได้ความช่วยเหลือจากข้าเป็นร้อยเป็นพัน แล้วเรื่องอะไรข้าจะเอาแต่เรียนหนังสือล่ะ”
“อะไรนะ มีคนอยากได้ความช่วยเหลือ นี่เจ้า คุยโม้หรือเปล่า”
“คุยแต่ไม่ได้โม้ เฮ่อๆๆ”
จากนั้นพระเจ้าจองโจก็ให้เทซูสะกดรอยตามชองยายง พบว่าเขาไปหาชายคนหนึ่ง
“สุดท้ายเลยมีทหารคนหนึ่ง บุกไปบ้านท่านโดยไม่ฟังเหตุผล ถือวิสาสะยึดบ้านไปเลยใช่ไหม” ชองยายงถามชายคนนั้น
“ใช่ครับ ถึงต้องรบกวนให้ท่านช่วย ได้ยินว่าท่านชอบออกหน้าให้คนยากคนจนทั้งหลาย”
” ไม่ต้องห่วง ความผิดข้อนี้เท่ากับกรรโชกทรัพย์ เรามีกฎหมายห้ามไม่ให้ทำแบบนี้ ทำเรื่องร้องเรียนส่งไปที่เจ้าเมือง เขาจะให้ความเป็นธรรมเอง”
“ทำเรื่องร้องเรียนยังไงครับ ข้าอ่านหนังสือไม่ออกซักตัว”
“ข้อนี้ไม่ต้องห่วง ข้าจะเขียนคำร้องให้และส่งไปจวนผู้ว่า รับรองท่านจะได้บ้านคืนในไม่ช้า”
“คุณชาย ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณท่านจริงๆ ขอบคุณมาก ฮือๆๆ”
เทซูกลับมาทูลพระเจ้าจองโจ ทรงแปลกพระทัยมาก
“จริงหรือ แปลว่าบัณฑิตคนนี้ ช่วยชาวบ้านเขียนเรื่องร้องทุกข์หรือไง”
“พะยะค่ะ เห็นชาวบ้านพูดกันแบบนี้ เพราะเขาจะมาทุกวัน ฟังเรื่องราวร้องทุกข์และเขียนคำร้องให้โดยไม่คิดเงิน”
“การเป็นที่ปรึกษาเรื่องพวกนี้ ก็ต้องรู้กฎหมายบ้าง นี่แปลว่า เขายังรู้เรื่องคดีความด้วยหรือ”
“เอ่อ เรื่องนี้ หม่อมฉันก็ไม่ทราบ แต่เห็นบอกว่า คดีไหนถ้าเขารับเรื่องไว้ ไม่เคยว่าความแพ้ใครเลย”
พระเจ้าจองโจทรงไปหาชายคนที่ร้องทุกข์
“อ้อ เดี๋ยว พี่ชาย รบกวนเวลาหน่อย ถ้าไม่หาว่าละลาบละล้วง ขอดูใบร้องทุกข์ ที่อยู่ในมือท่านได้ไหม”
“เอ่อ หมายถึงนี่น่ะหรือ”
“คือว่า ข้าก็มีปัญหา อยากให้เขาช่วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเก่งแค่ไหน เลยจะขอดูคำร้องหน่อย”
“ได้ เอาไปซี่”
“อ้อ ขอบคุณมาก นี่มัน ลายมือแบบนี้”
พระ เจ้าจองโจทรงนึกถึงคำถามที่พระองค์ทรงตั้ง 70 ข้อและมีบัณฑิตตอบได้เร็ว แต่ลืมเขียนชื่อ และอาจารย์เองก็ไม่ทราบว่าเป็นของใคร พระเจ้าจองโจทรงเรียกแชจีคยอมมมาพบ
“ท่านเห็นเป็นไงบ้าง นี่คือทัศนะของคนชื่อชองยายง เป็นข้อสอบที่เขาเขียนเมื่อหลายปีก่อน”
” หม่อมฉันแค่อ่านผ่านตา ก็รู้สึกทึ่งกับความรอบรู้ของเขาอย่างมาก แต่ว่า คำตอบแบบนี้ ทำไมไม่ผ่านการคัดเลือกเป็นขุนนางได้ล่ะพะยะค่ะ”
“อาจเพราะว่า ความคิดของเขาล้ำสมัยเกินไปจนยากจะยอมรับ คนคุมสอบเลยมองว่า ไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน”
แชจีคยอมพยักหน้า “อึม”
“แต่การสอบปีนี้ จะไม่ให้เหมือนที่แล้วมาอีก การสอบที่จะเริ่มในปลายเดือน ข้าจะคุมด้วยตัวเอง และเลือกคนที่ตอบได้ดีที่สุด”
และเมื่อถึงเวลาสอบ ชองยายงก็ส่งคำตอบคนแรก จนเพื่อนๆ ที่สอบด้วยแปลกใจ ชองยายงออกมาก็บ่นกับตัวเองว่า
“เฮ่ย สอบปีไหนๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีใครชอบความคิดข้าเลย เชอะ”
“นี่คือหัวข้อการสอบในปีนี้ใช่ไหม” พระเจ้าจองโจทรงตรัสถาม
ชางแทวูตอบ “พะยะค่ะ นั่นคือทั้งหมด”
“แล้วเวลาที่จะประกาศผลคือเมื่อไหร่นะ”
“ช่วงบ่ายพะยะค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น คงต้องเลื่อนไปหน่อยแล้ว”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจ มีเหตุผลอะไรถึงต้องเลื่อนหรือพะยะค่ะ”
“ท่านช่วยไปบอกกรมวัง ให้เอากระดาษคำตอบของบัณฑิตทุกคนมาให้ข้า เพราะข้าจะเริ่มตรวจใหม่ ว่าคนไหนตอบดีที่สุด”
ชางแทวูตกใจ “หา”
เทซูไปที่ร้านชองยายงนั่งประจำ แล้วก็พบว่าชายคนนั้นมาขอบคุณชองยายง
“ขอบคุณท่านจริงๆ ข้าได้บ้านกลับคืนแล้ว”
“ยินดีด้วยนะ แหะๆ”
“งั้นข้าขอตัวนะครับ เฮ่อๆๆ”
“อึม เฮ่ย เฮ่อ”
เทซูเข้ามาทัก “เฮ่อๆๆ เป็นไง เจอกันอีกแล้วนะ เฮ่ย”
“อ้าว นึกว่าใครที่ไหน แล้วพระราชาล่ะ ไม่ใช่ คนที่ชื่อลีบูต๊อก ไม่ได้มาด้วยหรือ เฮ่อๆๆ”
“ใช่ ว่าแต่เจ้า วันนี้เป็นไงบ้าง”
“อะไรเป็นไง ไม่เข้าใจ”
“ถามได้ วันนี้เป็นวันอะไรก็รู้อยู่ ในเมื่อสอบเสร็จแล้ว ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าจะผ่านหรือเปล่า บอกหน่อยได้ไหม”
“โง่จริง ไม่ดูตาม้าตาเรือ คนสอบได้จะมานั่งอยู่นี่ทำไมอีก เห็นว่าช่วงบ่ายจะประกาศผล ป่านนี้คงออกมาแล้วมั้ง”
“ยังเลย เมื่อกี้ข้าก็รอดูอยู่ ยังไม่เห็นมีประกาศออกมา”
“แสดงว่าคงมีอะไรติดขัดมั้ง แต่ข้าไม่สนใจหรอก ไปดีกว่า”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป นี่ เราไปดูด้วยกันมั้ยล่ะ”
ชองยายงงง “หือ”
“หมายถึงประกาศผลสอบไง ใครจะรู้ เกิดผู้คุมสอบตาถั่ว เผลอใส่ชื่อเจ้าลงในประกาศก็ได้จริงมั้ย”
“บ้าหรือ อย่าหวังซะล่ะ”
“ไม่หวังนะ ฮ่าๆๆ” เทซูหัวเราะ ชองยายงพลอยหัวเราะไปด้วย “ไม่ไปดูจริงหรือ”
“ช่างเถอะน่า ฮ่าๆๆ”
“ดูหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร”
“อย่างข้าจะสอบติดได้ไง ฮ่าๆๆ”
ทุกคนไปมุงดูประกาศ เพื่อนบัณฑิตเห็นชองยายงก็ทัก
“อ้าว มาแล้วหรือ”
“ใช่ งวดนี้ใครสอบได้น่ะ”
“ก็ดูเองสิ”
“หือ นั่น อะไรกันน่ะ” ชองยายงเห็นชื่อตัวเองก็ตกใจ
“การสอบปีนี้ เจ้าได้เป็นจอหงวน เฮ่อๆๆ ยินดีด้วยนะ หึๆๆ”
“ฝ่าบาทเสด็จมา” นัมซาโชร้องบอก
“เจ้าก็คือจอหงวนปีนี้ บัณฑิตชื่อชองยายงใช่ไหม” พระเจ้าจองโจตรัสถาม
“พะยะค่ะฝ่าบาท ถูกต้องแล้ว”
“อึม เก่งจริงๆ อ่านคำตอบที่เจ้าเขียนแล้ว ทำให้ข้ารู้สึกทึ่งมาก”
“ขอบพระทัยที่ทรงชม”
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่แปลก ทุกวันนี้ เจ้าก็มีตำแหน่งสูงอยู่แล้ว ทำไมยังมาสอบเป็นขุนนางอีกล่ะ”
“เอ่อ พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันมีตำแหน่งสูง ทรงหมายความว่าไงหรือพะยะค่ะ เฮ้ย” ชองยายงนึกได้
“ยังไม่รู้ตำแหน่งของตัวเองอีก ท่านมหาเสนาบดี มีอะไรทำให้ความจำเสื่อมหรือไง” พระเจ้าจองโจทรงล้อ
ชองยายงอึ้ง “เอ่อ ฝ่า ฝ่าบาท”

จบ ตอนที่ 68

No comments:

Post a Comment