Tuesday 5 May 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 59



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 59

พระสนมวอนพินป่วย เวลานั้นฮงกุกยองสั่งให้เทซูจับพวกขุนนางเก่า เพราะคิดว่าต้องเป็นพวกนี้ที่ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าจองโจ จนดัลโฮมาบอกเรื่องพระสนมวอนพิน พอดีพระเจ้าจองโจเสด็จมาสั่งให้ฮงกุกยองรีบไปดูพระสนมวอนพินก่อน พระองค์ติดประชุมเรื่องทูตไปต้าชิง
“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ หม่อมฉันเอง ก็ขอไปประชุมก่อนแล้วค่อยเยี่ยมพระสนม’
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
” การประชุมคราวนี้ หม่อมฉันจะยกประเด็นการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทมาร่วมวิเคราะห์ด้วย ฉะนั้น รอให้เสร็จงานก่อน ค่อยไปเยี่ยมพระสนมก็ยังไม่สาย”
“ใต้เท้าฮง”
“อย่าทรงห่วงเลยพะยะค่ะ งานมาก่อนเรื่องส่วนตัว ขอทรงอนุญาตด้วย”
พระมเหสีโยอึยกำลังจะเสด็จไปเยี่ยมพระสนมวอนพิน แต่พระพันปีเฮคยองมาพบเสียก่อน
“เจ้ากำลังจะไปไหนน่ะชุงจอน”
“อ้อ เสด็จแม่”
” ถ้าคิดจะไปตำหนักซุกชางตอนนี้ละก้อ ขอบอกว่าไม่จำเป็นหรอก เพราะตอนนี้วอนพินอยู่ในระหว่างรับการลงทัณฑ์ ฉะนั้น ไม่ใช่หน้าที่ๆ เจ้าต้องไปเยี่ยมนางด้วยตัวเอง”
“แต่เสด็จแม่เพคะ แม้นางจะมีความผิด แต่กำลังไม่สบาย ถ้าเราไม่เหลียวแล จะไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือเพคะ”
“ถึงจะโหดร้าย แต่เจ้าเป็นพระมเหสีก็ห้ามใจอ่อน”
“เสด็จแม่”


“โดยเฉพาะคนที่รับโทษหนัก เราไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นใจ ที่สำคัญ เมื่อนางทำผิดกฎของฝ่ายในก็ควรรับกรรมตามที่ก่อไว้”
ซองซงยอนได้พบกับซงอูอีกครั้ง เธอจึงเข้ามาทัก
” เดี๋ยว โทษนะคะ เราเคยเจอกันเมื่อคืนใช่ไหม เจ้าช่วยข้าจากผู้ชายขี้เมาคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วหรือ เอ่อ เมื่อคืนนี้ ต้องขอบคุณมากนะ เสียดายยังไม่ทันขอบคุณ เราก็จากกันซะแล้ว”
“อย่าเกรงใจเลย ช่วยคนถูกรังแก ถือเป็นหน้าที่อยู่แล้ว”
“หึ เจ้ามาแถวนี้ เพื่อจะซื้อหนังสือหรือ”
“หึ ใช่ มีอะไรหรือ”
“อ้อ เปล่าหรอก ข้ากำลังหาหนังสือภาพเขียนสมัยราชวงศ์หมิง ยังไงก็ตามแต่ ขอบคุณที่ช่วยอีกครั้ง ลาก่อนนะคะ หึ”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไปแม่นาง ถ้าสนใจเล่มนี้ละก้อ ให้เจ้าก็ได้”
“เอ่อ เล่มนี้ เจ้ายอมให้ข้าเชียวหรือ”
“อึม ใช่”
“เอ่อ แต่ว่า”
“พอดีข้ามาเดินเล่น ไม่รู้จะซื้ออะไรเลยซื้อหนังสือ เท่าที่ดู อาจเป็นประโยชน์ต่อช่างเขียนอย่างเจ้ามากกว่า งั้นก็รับไว้เถอะ”
“เอ่อ แล้ว ทำไมรู้ว่าข้าเป็นช่างเขียนล่ะ”
ซงอูยังไม่ทันพูดอะไร ลีชองก็เข้ามาเรียกซองซงยอนเสียก่อน เธอจึงรีบไปหาลีชอง ชายคนสนิทเข้ามาหาซงอูและกล่าวกับเขาว่า
” เฮ่ย นี่ก็หลายวันแล้ว เอาแต่วนเวียนอยู่หน้าบ้านนาง ทำไมไม่พูดกับนางให้รู้ล่ะ ได้ยินว่าพี่สาวเจ้าก็หาเจ้าอยู่นาน แต่ว่า พ่อแม่บุญธรรมเจ้ากลับบอกว่าเอาเจ้าไปขายต่อ หลังจากนั้นไม่นานก็ตาย ถ้าตอนนี้เจ้าปรากฎตัวให้เห็น นางคงดีใจมาก ว่ายังไงล่ะ”
“หึ ช่างเถอะ เพราะข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ เป้าหมายของเราคือล้มล้างระบบปกครองที่ล้าหลังของโชซอน จึงพร้อมจะมีอันตรายได้ทุกเมื่อ สู้อย่าให้นางรู้ดีกว่า ข้าขอเพียง ได้แอบดูนางอยู่ห่างๆ แค่นี้ก็พอใจแล้ว รีบไปเร็วเข้า วันนี้มีประชุมอีก ทุกคนคงจะมาพร้อมแล้ว”


ซองซงยอน ลีชองและช่างเขียนตั๊ก เดินซื้อของกันต่อและได้พบกับเทซู จึงรู้เรื่องที่พระเจ้าจองโจโดนลอบปลงพระชนม์ พากันตกใจ เทซูบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขามาตรวจตราดู
พระเจ้าจองโจเสด็จไปฟังการบรรยา เรื่องคำสอนของท่านเหล่าจื้อ ในตำรา แทซัง บทที่ 17 และย้อนถามพวกขุนนางหลายเรื่อง จนชางแทวูทูลถามว่า
“เมื่อคืนฝ่าบาท ประสบเหตุร้าย เกือบถูกปลงพระชนม์ ตามหลักน่าจะไต่สวนเรื่องนี้ แล้วทำไมกลับมอบให้หน่วยทหารพิเศษไปตรวจสอบ ฝ่าบาทมาทรงฟังการบรรยายอยู่นี่ล่ะพะยะค่ะ”
“ความหมายของท่านก็คือ ขนาดมีคนมาปองร้ายข้า ทำไมยังอารมณ์ดี ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช่หรือเปล่า เอาเถอะ ในเมื่อท่านถามมา ข้าก็จะตอบข้อสงสัยให้ ตอนนี้ข้า กำลังบริหารราชกิจอยู่ เข้าใจหรือเปล่า เพื่อให้บ้านเมืองร่มเย็นและเจริญก้าวหน้า ข้าจำเป็นต้องอบรมขุนนางทั้งหลาย ให้มีจิตสำนึกที่ดี แล้วจะบอกว่า เป็นการฆ่าเวลาโดยเปล่าประโยชน์ได้ไง”
“แต่ว่าฝ่าบาท”
“จริงอยู่ เมื่อคืนนี้ ได้เกิดเหตุน่ากลัวและเหนือความคาดหมาย ถ้าเป็นเพราะเหตุนี้ ข้าจะทิ้งงานทิ้งการ วันๆ เอาแต่นั่งคิดว่าใครมาฆ่าข้า ตั้งหน้าตั้งตาหาคนร้าย มันจะถูกแล้วหรือ แน่นอนว่าไม่ถูกต้อง ข้าจึงมอบเรื่องนี้ ให้หน่วยทหารและองครักษ์ไปจัดการ เพราะเป็นหน้าที่พวกเขา ที่ต้องดูแลความปลอดภัยอยู่แล้ว เป็นไงบ้าง ท่านเห็นว่าความคิดของข้า มีส่วนไหนที่ผิด ส่วนไหนถูกก็บอกมาได้เลย”
แช ซกจูมาหาฮงกุกยองบอกว่าพระหมื่นปีจองซุนต้องการพบ ฮงกุกยองบอกว่าเขากำลังยุ่งเรืองคนลอบปลงพระชนม์อยู่ แชซกจูจึงบอกว่าพระหมื่นปีต้องการพบเรื่องนี้ ทำให้ฮงกุกยองมาเข้าเฝ้า
“เอานี่ไปอ่านดู”



“คืออะไรหรือพะยะค่ะ”
” ได้ยินว่ามีคนคิดปองร้ายฝ่าบาท ข้าเลยช่วยสืบข่าว คิดว่าสิ่งที่ได้คงเป็นประโยชน์ต่อเจ้า ไปคาดคั้นพวกขุนนางก็ไม่ช่วยอะไรหรอก อยู่ดีๆ ถ้าไม่มีเป้าหมาย พวกเขาจะคิดปลงพระชนม์ไปทำไม เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ”
“ถ้าอย่างงั้น ความหมายของพระหมื่นปี คือเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับขุนนางเก่าหรือพะยะค่ะ”
“ใช่ ข้ามีความเชื่อว่าอย่างงั้น”
“ถ้าอย่างงั้น ยังมีพวกไหนอีกที่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีก”
” มีข่าวลือหนาหู ว่ามีคนบางกลุ่ม รวมตัวเป็นองค์กรเพื่อต่อต้านราชสำนักและคิดก่อการร้ายบางอย่าง ฉะนั้น เจ้าจงไปสืบเรื่องนี้ให้ดี จริงสิ อาการของวอนพินเป็นไงบ้าง เมื่อเช้าข้าไปเยี่ยมนางมา รู้สึกค่อนข้างน่าเป็นห่วง เจ้ารู้แล้วหรือยัง”
แล้วแชซังกุงก็เข้ามาบอกฮงกุกยองถึงอาการของพระสนมวอนพินที่ยังไม่ดีขึ้น
“อะไรนะ น่าเป็นห่วงหรือ แสดงว่าอาการหนักมากหรือไง”
” มีไข้ขึ้นสูงสลับกับอาการชักเป็นระยะ บางครั้งก็ทรงเพ้อ เหมือนไม่รู้สึกพระองค์อีกแล้วล่ะค่ะใต้เท้า ที่สำคัญ ไม่มีใครไปเหลียวแลโดยเฉพาะคนของฝ่ายใน มีแต่ผู้ใหญ่ในวังอย่างพระหมื่นปีที่เสด็จมาเยี่ยม แต่ทำไมพระมเหสี ไม่ทรงเหลียวแลบ้างก็ไม่ทราบน่ะค่ะ”
“ไปทูลหรือยังว่าพระสนมประชวรน่ะ”


“ทูลแล้วค่ะ เมื่อเช้าส่งคนไปรายงาน ปรากฎว่ามีซังกุงโผล่มาคนหนึ่ง นอกนั้นแทบไม่เห็นใครเลยล่ะค่ะ”
ฮงกุกยองรีบมาดู พระสนมวอนพินแทบจะไม่มีสติ
” ฮือ ฮึ่ม หึ ฮือ พระสนม หม่อมฉันมาเยี่ยมแล้ว ทรงลืมพระเนตรเร็วเข้า พระสนม ทรงเข้มแข็งไว้ อย่ายอมแพ้ง่ายๆ ได้โปรดเห็นแก่หม่อมฉัน อย่าเพิ่งเป็นอะไร พระสนม”
“พี่ใหญ ฮือ พี่ใหญ่” พระสนมวอนพินหอบ
“พระสนม”
“หึ เห็นที ฮือ ข้า ข้าคงไม่ไหวแล้ว ฮือ”
“ไม่ อย่ารับสั่งแบบนี้ ห้ามรับสั่งท้อแท้เป็นอันขาด ฮือ ต้องอยู่ต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องอยู่ต่อไป เราต้องอยู่ต่อทั้งสองคน ฮือๆๆ”
“ฮือ พี่ใหญ่ ฮือ ข้าตาย แบบนี้ ก็ดีเหมือนกัน ฮือ หึ เทียบกับ การอยู่อย่างอดสู หึ ก็ไม่สู้ ให้ข้าตายซะดีกว่า ฮือ”
“พระสนมๆ ฮือ ฮือ ท่านหมอ พระสนมเป็นอะไรกันแน่ ฮือๆๆ พระสนม ฮือๆๆ”
“ฮือ ฮือ ข้าอยากมีลูก อยากมีลูกให้ฝ่าบาทซักคน เพื่อให้ฝ่าบาท และพี่ใหญ่ได้ดีใจ ให้ทุกคน ดีใจ ที่ได้เห็น พระโอรส ฮือ โอ๊ะ”
พระสนมวอนพินสิ้นใจ พระเจ้าจองโจเสด็จมายังไม่ทันได้ดูใจ ทรงตกพระทัยมาก ฮงกุกยองก็เอาแต่ร้องไห้
พระมเหสีโยอึยทรงทราบก็จะรีบสเด็จไปแต่พบกับพระพันปีเฮคยองก่อน
“ทราบข่าววอนพินแล้วใช่ไหมเพคะ”
” เป็นเรื่องที่เกิดกระทันหัน ฟังแล้วน่าใจหายจริงๆ เมื่อเช้ายังได้ยินว่าอาการค่อยยังชั่วขึ้น แล้วทำไมปุบปับ บอกว่าสิ้นใจซะแล้ว เป็นไปได้ไง เฮ่อ เฮ่ย”
พระเจ้าจองโจทรงเสียพระทัย ที่ไม่ได้ไปเยี่ยมพระสนมวอนพินเร็วกว่านี้ แต่พระองค์ก็ปรับทุกข์กับนัมซาโชว่าที่พระองค์ไม่เอาใจใส่ต่อนาง เพราะมีใจให้คนอื่นแล้ว

งานพระศพของพระสนมวอนพินผ่านพ้นไป ปาร์คยองมุนกล่าวกับทุกคนว่า
” หลายวันที่ผ่าน เพราะงานพระศพของพระสนม ทำให้ทุกคนเหนื่อยกันมาก แต่ตอนนี้งานก็ผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนจึงได้กลับมาที่ศูนย์ศิลปะ ทำงานในหน้าที่ตัวเองต่อไปเหมือนเดิม เข้าใจหรือเปล่า”
“ครับ/ค่ะใต้เท้า”
ปาร์คยองมุนสั่งให้ลีชอง ช่างเขียนตั๊กและช่างเขียนคัมตามเขาไปรับงานต่อ
พระเจ้าจองโจทรงเชิญฮงกุกยองมาเฝ้า
“มาแล้วหรือ นั่งสิ ข้ามีคำสั่งให้ท่านพักผ่อนอีกหลายวัน แล้วทำไมวันแรกก็เข้าวังมาแล้ว”
“หม่อมฉัน ยังมีภารกิจอีกมากที่ต้องรีบดำเนินการให้เสร็จ เพราะฉะนั้น เรื่องของหม่อมฉัน ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกพะยะค่ะ”
” จะไม่ให้ห่วงได้ไง ถ้าท่านฝืนตัวเองมาทำงาน ข้าจะยิ่งไม่สบายใจมากกว่า แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ อ้า เอานี่ไป นั่นคือ “ตำหนักพักใจ” สิ่งที่ท่านต้องคำนึงถึง ไม่ใช่ข้าหรือว่าบ้านเมือง แต่เป็นจิตใจของท่าน และไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไปพักผ่อนที่นั่นซะ ขอโทษด้วยนะใต้เท้าฮง แม้จะรู้ว่า คำพูดนี้ไม่ช่วยให้จิตใจท่านดีขึ้น แต่ความผิดที่ข้าไม่ได้ดูแลวอนพินให้ดีกว่านี้ คงต้องขออภัย”
“หึ ฝ่าบาท หึ หึ ขอบพระทัยยิ่งแล้วพะยะค่ะ”


เทซูกับคังซกกีทักฮงกุกยองที่ผอมไปเยอะ
” แต่ท่านก็ไม่ต้องเสียใจอีกแล้ว แม้ว่าการสิ้นพระชนม์ของพระสนมจะน่าเสียดาย แต่ฝ่าบาทก็มีพระบัญชา ให้จัดงานพระศพอย่างยิ่งใหญ่ เชื่อว่าพระนางคงได้ไปสู่สวรรค์อย่างหมดห่วง”
“ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างงั้น ทำไมพระสนมถึงได้ประชวร ข้ารู้ดีกว่าใคร งานพระศพที่ยิ่งใหญ่ จะมีประโยชน์อะไรกัน คนที่ตายอย่างอนาถแทบจะหลับตาไม่สนิท ต่อให้ทุกคนให้เกียรตินาง ก็ไม่อาจทำให้ไปอย่างหมดห่วงได้”
พระมเหสีโยอึยทรงทราบเรื่องการเก็บกวาดตำหนักซุกชางและเคลื่อนย้ายข้าวของจึงเสด็จไปดู และพบกับฮงกุกยอง
“ได้ยินว่ามีคำสั่งให้เก็บกวาดตำหนักของวอนพิน ใต้เท้าฮง เรื่องของวอนพิน ข้ารู้สึกเสียใจ”
“ทำไมให้เก็บข้าวของเร็วนัก แสดงว่าพระมเหสี ไม่โปรดพระสนมจนรอซักพักไม่ได้หรือพะยะค่ะ”
“ใต้เท้าฮง”
“หม่อมฉัน ไม่เข้าใจพระมเหสีจริงๆ สิ่งที่พระสนมทำไป เป็นความผิดใหญ่หลวงที่ยากจะให้อภัย ถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิตเชียวหรือพะยะค่ะ”
“แลกด้วยชีวิตอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”
” ที่พระสนมด่วนจากไปเร็วขนาดนี้ ก็ด้วยโรคตรอมพระทัยต่างหาก พระนางเคยทูลอ้อนวอนพระมเหสี แต่ก็ไม่หายกริ้วและไม่ยอมให้อภัย ทำให้พระสนมวอนพิน ไม่อาจแบกรับความทุกข์ใจและอนาคตที่มืดมน สุดท้ายจึงได้ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ไป พระมเหสีทรงคิดว่า สิ่งที่ทำถูกแล้วหรือพะยะค่ะ”


“ใต้เท้าฮง ความรู้สึกที่ท่านเสียน้องสาว ข้ารู้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน ข้าก็เหมือนกัน เสียใจกับเรื่องนี้ไม่น้อยกว่าท่าน แต่ว่า ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ท่านมาพูดแบบนี้ ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ”
“ขอทรงอภัย คนที่เกินไปไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นพระมเหสี ต่อให้วันนี้ หม่อมฉันมีความผิดฐานลบหลู่เบื้องสูง ก็ขอทูลความจริงออกมาให้หมด พระสนมมีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง นั่นก็จริงอยู่ หม่อมฉัน ไม่เคยปฏิเสธข้อนี้เลย แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า หวังจะทรงตั้งครรภ์เร็วๆ จึงก่อให้เกิดความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ และเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นความผิด ก็ยิ่งไม่กล้าบอกให้ใครรู้ นั่นก็เพราะ พระนางยังอายุน้อย จิตใจอ่อนแอไม่กล้าเผชิญกับความจริง หึ พระสนมไม่ได้หวังให้ใครยกโทษ เพียงแต่ ขอประทานความเมตตาจากพระมเหสีบ้าง ถ้าทรงเข้าพระทัยจุดยืนของนางและเห็นใจสิ่งที่ได้รับ อย่างน้อยพระมเหสี ก็ควรเสด็จไปเยี่ยม พระสนมที่กำลังประชวรหนักอยู่ ฮือ ปรากฎว่าพระมเหสี กลับไม่ได้เสด็จไป ถ้าตอนนี้นางเป็นคนอื่น พระมเหสีจะทรงเหลียวแลบ้างมั้ย ถ้าตอนนี้พระสนม ไม่ใช่น้องหม่อมฉันแต่เป็นคนอื่น พระมเหสีจะทรงใจแข็ง ไม่เสด็จไปเยี่ยมนางจริงหรือ”
คิมซังกุงไม่พอใจอย่างมาก คิดจะทูลพระเจ้าจองโจ แต่พระมเหสีโยอึยปรามไว้
“ท่านอย่ายุ่งเลย”
“พระมเหสี”


“คนที่สูญเสียญาติสนิทก่อนวัยอันควร ในใจคงรู้สึกไม่พอใจข้า เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
” พระมเหสี ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะเพคะ เขาเอาสาเหตุการตายของพระสนมมารวมเป็นความผิดของพระมเหสีองค์เดียว ถ้าขืนปล่อยไว้ อีกหน่อยเขาต้องปองร้ายพระมเหสีแน่ ทรงเข้าพระทัยมั้ยเพคะ”
วันต่อมาพระเจ้าจองโจทรงงานถึงเช้า นัมซาโชเข้ามาพบ
“อ้อ มาแล้วหรือ ไม่นึกว่าพริบตาก็ถึงเช้าแล้ว แหม สงสัยต้องฟังท่านบ่นอีก”
“ฝ่าบาท ทำไมทรงค้างที่ห้องทรงงานล่ะพะยะค่ะ”
“มัวแต่อ่านรายงานการก่อคดีในรอบปีจนลืมเวลาไป”
“เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับตำหนักใหญ่อีก เดือนนี้เป็นวันที่”
“เอาเถอะๆ รู้แล้ว ข้ากำลังเก็บของอยู่ไง ยังไม่พอใจอีกหรือ”
“ฝ่าบาท ถ้าไงเสด็จไปตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้ บรรทมซักครู่เถอะพะยะค่ะ”
” ดูซิมาบอกให้ข้านอนอีกแล้ว นี่เป็นเวลาเช้า ต้องเริ่มทำงานต่างหาก ข้าเป็นถึงพระราชา จะมานอนในเวลาที่ควรตื่นได้ไง ไม่น่าเกลียดไปหน่อยหรือ”
“แต่ว่าฝ่าบาท”
” เอาเถอะ อย่าพูดมากอีกเลย ข้าจะไม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่เหล่าขุนนาง ภาษิตว่าการทำงาน ทำให้คนมีคุณค่ามากขึ้น ท่านไม่รู้หรือ หึๆ จริงสิ เช้านี้อากาศเป็นไงบ้าง แจ่มใสดีหรือเปล่า”
ซอจังบูมาทำงาน แต่ถูกเทซูกับคังซกกีดุที่ยังไม่หายดี พอดีพระเจ้าจองโจเสด็จมา
“ทำไมไม่พักผ่อนอีกหลายวัน รีบมาที่นี่ทำไมน่ะ”
“เอ่อ หม่อมฉันหายแล้วพะยะค่ะ ขอทรงวางพระทัย”
“หายก็ดีแล้ว การจะสอนขุนนางตั้งมากมาย ข้าคนเดียวเห็นจะไม่ไหว”
เชกาทูลถาม “ฝ่าบาทๆ หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม ทำไมพาเรามาที่นี่พะยะค่ะ หรือว่า จะให้มาดูการยิงธนูของทหารหรือพะยะค่ะ”
“ไม่ใช่ คนที่จะยิงธนู คือพวกท่านต่างหาก”
เชกาตกใจ “หา เอ่อ”
พวกขุนนางยิงธนูกันจนเมื่อยเพราะเพิ่งเคยจับธนูครั้งแรก พระเจ้าจองโจจึงสั่งให้พรุ่งนี้มาฝึกต่อ และทรงถามนัมซาโชว่า
“วันนี้เจ้าหน้าที่หอตำรา ยิงไปทั้งหมดกี่ชุด”
“สิบชุดพะยะค่ะ”
“ใช้เวลา 3-4 ชั่วยาม หลายคนช่วยกันยิงยังได้ได้แค่สิบเองหรือ คังซกกี จำได้ไหมเมื่อก่อนยิงกับข้า ใช้ไปทั้งหมดกี่ชุด”
“ทูลฝ่าบาท ภายในเวลา 3 วัน ยิงไป 120 ชุดพะยะค่ะ ที่สำคัญ รับสั่งว่าหากไม่โดนเป้าเกินกว่าครึ่ง ทุกคนห้ามกลับบ้านพะยะค่ะ”
ทุกคนอึ้ง “โห เอ่อ”
“ฟังแค่นี้แต่ละคนคงเตรียมจะหนีกลับบ้านล่ะสิ งั้นข้าต้องให้ทหารมาคอยเฝ้าแล้ว”
ทุกคนยิ่งอึ้ง “หา เอ่อ”
” เฮ่อๆๆ พูดเล่นหรอก อย่าตกใจไปเลย ข้าจะเข้มงวดกับขุนนางพลเรือนได้ยังไง ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ต้องมาหัดยิงวันละ 10 ชุดอย่างต่ำ อย่าลืมซะล่ะ”
“พะยะค่ะ หึๆ”


” แม้จะอยู่กับตำราวิชาการ ก็ควรหมั่นออกกำลังซะบ้าง คนที่นั่งประจำ วันๆ อยู่กับหนังสือ อีกหน่อยพอสุขภาพอ่อนแอแล้วจะไปสอนใครได้ ข้าจึงอยากให้ทุกคน แข็งแรงทั้งกายและใจ เพื่อจะได้ช่วยกันนำพาบ้านเมือง ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เข้าใจที่พูดหรือเปล่า”
“เข้าใจพะยะค่ะ”
“หึๆๆ มา เรามาดื่มกันก่อน”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
พระ เจ้าจองโจถามเทซูว่าฮงกุกยองเป็นไงบ้าง เทซูบอกว่าอยู่ที่หอนางโลม และเอาแต่ดื่มเหล้า พอเทซูออกมาพบพวกซอจังบูกับคังซกกี ก็คิดจะไปหา พอดีฮงกุกยองเข้ามาหาพอดี สั่งให้ไปเรียกประชุมหน่วยทหารพิเศษและองครักษ์ บอกว่ามีงานสำคัญให้ทำ
พระเจ้าจองโจทรงทราบก็แปลกใจถามแชจีคยอม ว่าทำไมฮงกุกยองเรียกประชุม พอรู้ว่าฮงกุกยองต้องการจับคนร้ายที่ลอบปลงพระชนม์ ทำให้พระเจ้าจองโจทรงตกพระทัย
ฮงกุกยองให้ทหารไปสืบและพบบ้านที่ซออู อาศัยอยู่ คนสนิทของเขาเห็นทหารมาก็รีบบอกให้หนี แต่ซออูเป็นห่วงคนสนิทที่แก่มากแล้ววิ่งหนีไม่ทัน เขาเข้าไปช่วยพยุงจนถูกยิง แต่เขาพยายามหนี และไปพบกับซองซงยอนเข้า
” เจ้า หา เจ้าคือ เอ่อ คุณชาย ว้าย เอ่อ คุณชาย ลืมตาเร็วเข้า คุณชาย เอ่อ หึ มีใครอยู่แถวนี้บ้าง มาช่วยหน่อย มีคนบาดเจ็บแน่ะค่ะ ใครก็ได้มาช่วยทีได้ยินมั้ย ฮือ คุณชาย ทำใจดีๆ ไว้นะ ลืมตาเร็วเข้า คุณชาย ฮือ มีใครอยู่แถวนี้มั้ย มาช่วยคนบาดเจ็บเร็วเข้า ช่วยด้วยเจ้าข้า หา เอ่อ คุณชาย”

จบ ตอนที่ 59

No comments:

Post a Comment