Thursday 11 June 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนอวสาน



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนอวสาน

ปีที่ยี่สิบสี่แห่งรัชสมัยพระเจ้าจองโจ เทซูดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้ทูลเสนอแผนการปฏิรูปกองทัพต่อพระเจ้าจองโจ
ชองยายงทูลองค์ชายซุนโจ ซึ่งเป็นพระโอรสในพระสนมวาพินว่า
“องค์ชาย นี่เป็นวันที่สามแล้วนะ เสวยอะไรหน่อยเถอะพะยะค่ะ”
“ข้าจะไม่กินข้าว จนกว่าจะหาคำตอบที่เสด็จพ่อทรงตั้งคำถามให้ข้าตอบได้ซะก่อน”
“เอ่อ งั้นหม่อมฉันขอถาม ฝ่าบาททรงตั้งคำถามอะไรหรือพะยะค่ะ”
“ข้าไม่บอกท่านหรอก เพราะคำตอบนี้ ข้าจะหาด้วยตัวเอง”
องค์ชายซุนโจหาคำตอบได้ก็รีบเสด็จไปเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“นั่งลง มาก็ดีแล้ว ว่าไง ได้คำตอบแล้วใช่ไหม”
“พะยะค่ะ”
“งั้นจงตอบข้ามา การเป็นพระราชาที่ดี เหนือสิ่งอื่นใด อะไรคือคุณสมบัติเบื้องต้น”
“นั่นก็คือ ต้องเข้าใจและเข้าถึงราษฎรพะยะค่ะ”
“เข้าใจราษฎรหรือ ถ้าอย่างงั้น ทำยังไงถึงเรียกว่าเข้าใจราษฎรน่ะ”
“ก็คือ ทุกคนต้องการความเป็นอยู่ที่ดี”
“งั้นหรือ ถ้าอย่างงั้น เราต้องทำไงบ้าง ถ้าจะให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดี พระราชาต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก”
“ถ้าจะช่วยคนอื่น ก็ต้องหมั่นหาความรู้ใส่ตัว” องค์ชายซุนโจทูลตอบ
“ไม่ใช่”



“งั้นก็คือ ลดการเก็บภาษี ไม่ให้มีการทุจริต”
” นี่ก็ไม่ถูกอีก สิ่งที่เจ้าพูด เป็นหน้าที่พระราชาก็จริง แต่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น เจ้าจงกลับไปคิดใหม่ อย่ารีบร้อนหาคำตอบ โดยไม่ตั้งใจคิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง หาเหตุผลรองรับที่ดี แล้วค่อยมาหาข้าอีกที เข้าใจมั้ย”
“พะยะค่ะเสด็จพ่อ”
พระเจ้าจองโจทรงคิดถึงพระเจ้ายองโจที่ทรงตั้งคำถามนี้กับพระองค์ และทรงตอบไว้ว่า
“ห่วงใยและรู้จักฟังเสียงของราษฎร ก็คือพระราชาที่ดี”
พระเจ้ายองโจตรัสถามต่อว่า “เสียงของราษฎรมีอะไรบ้าง”
“พ้นจากความยากไร้ ได้กินดีอยู่ดี”
“ถ้าเจ้าเป็นพระราชา สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร”
“ลดภาษีและการส่งส่วย จัดระเบียบสังคมให้มีแบบแผน”
“ผิดแล้ว ตอบใหม่ซิ”
“เอ่อ คือ ไม่ให้ขุนนางรังแกราษฎรตามใจชอบ เข้มงวดต่อพวกเขา”
“ผิดอีก”
“ถ้า ถ้าอย่างงั้น ก็ต้องเป็น ให้ทหารบางส่วนปลดระวาง ไปทำการค้าเลี้ยงดูครอบครัว”
“ตอบผิดทั้งนั้น สิ่งแรกที่พระราชาควรทำคืออะไรยังไม่รู้ แล้วยังคู่ควรเป็นหลานข้าอีกหรือ”
นัมซาโชทูลพระเจ้าจองโจว่า “กว่าองค์ชายจะหาคำตอบได้ เห็นทีจะนานนะพะยะค่ะ”
“แต่ว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องค้นพบคำตอบ รีบไปเถอะ วันนี้ยังมีงานต้องทำอีกมาก”
“พะยะค่ะ”



แผนการปฏิรูปกองทัพเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าจองโจยิ่งนัก
พระเจ้าจองโจทรงงานอย่างหนัก ทำให้พระองค์ทรงหน้ามืด ทุกคนตกใจ
“ฝ่าบาท”
“ทรงเป็นไรหรือเปล่า”
“หม่อมฉันจะตามหมอมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ไม่ต้องตาม”
“แต่ว่าฝ่าบาท”
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง อาการแบบนี้ใช่ว่าเพิ่งเกิดครั้งแรก เฮ่อ หึๆ ไปกันเถอะ”
ใกล้วันเซ่นไหว้พระสนมซองซงยอน เหล่าซังกุงเตรียมเครื่องเซ่น พระมเหสีโยอึยมาเฝ้าพระพันปีเฮคยอง
“ของเซ่นไหว้เตรียมพร้อมหมดแล้วใช่ไหม” พระพันปีเฮคยองตรัสถาม
“พร้อมแล้วเพคะ พรุ่งนี้เช้าทุกคนจะออกเดินทางทันที”
“ฝ่าบาทก็คงไปด้วยสิ”
“เพคะ”
“หมู่นี้ได้ยินว่าฝ่าบาทสุขภาพไม่สู้ดีนัก คงเพราะโหมงานจนลืมดูแลตัวเองเป็นแน่แท้”
วันนี้พระเจ้าจองโจเสด็จนำพระพันปีเฮคยอง พระมเหสีโยอึยไปเซ่นไหวพระสนมซองซงยอน เสร็จแล้วพระองค์ตรัสถามเทซูว่า
“เทซู เจ้าพูดอะไรกับซงยอนบ้าง เมื่อกี้เห็นยืนตั้งนานไม่ยอมถอยมา คงจะพูดเรื่องสำคัญล่ะสิ”
” หม่อมฉันขอให้พระสนม ช่วยคุ้มครองให้ฝ่าบาททรงแข็งแรง เพราะไม่ว่าเราจะทูลยังไง ฝ่าบาทก็ไม่เคยดูแลพระองค์เอง เลยต้องให้พระสนมทรงช่วยบ้าง”
“งั้นหรือ เฮ่อๆๆ งั้นก็แย่สิ สงสัยคืนนี้ นางต้องมาเข้าฝันและบ่นข้าแน่ เฮ่อๆๆ ทุกครั้งที่มาเยี่ยมนาง ข้าชอบขึ้นมาอยู่บนเนินเขานี้ ยืนอยู่ที่นี่ จะมองเห็นทิวทัศน์ทั้งเมือง แทบอยู่ในสายตาหมด เจ้าเห็นยังไงบ้าง ภาพข้างหน้า ดูเป็นเมืองที่สงบ และน่าอยู่หรือเปล่า”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันก็คิดอย่างงั้น”



“ข้าน่ะ ตั้งใจมานาน ที่จะเป็นพระราชาที่ดีแห่งโชซอน ให้ชาวประชาที่มาอาศัย แม้จะต่างชนชั้นอาชีพ แต่ก็มีชีวิตที่ร่มเย็น พอมีพอกิน มีความสุขไปตามอัตภาพ”
“ฝ่าบาท ทุกวันนี้ก็ทรงทำได้แล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันเชื่อว่าโชซอน ไม่เคยมียุคไหนที่รุ่งเรืองเท่ากับสมัยนี้”
“ไม่หรอก ยังไม่ถึงขนาดนั้น สิ่งที่ข้าจะทำ ยังมีอีกหลายอย่าง และสิ่งที่ควรทำ ก็ไม่จบไม่สิ้นซะที”
พวกพ่อค้าโวยวายไม่อยากใช้เงินชิง จะมาขอแลกคืน พระเจ้าจองโจทรงปรึกษากับชองยายง
“นี่คือเงินชิงที่เราซื้อมา ส่วนนี่คือ เงินปลอมที่กำลังระบาดอยู่พะยะค่ะ”
“ดูด้วยตาเปล่าแทบไม่ต่างเลย”
” นั่นสิพะยะค่ะ เนื่องจากไม่ค่อยมีลวดลาย อีกทั้งวัสดุหาง่าย จึงง่ายต่อการปลอมแปลง ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีเงินปลอมใช้กันเกลื่อนในตัวเมืองพะยะค่ะ”
“และที่ชาวบ้านชุมนุมประท้วงก็เพราะเรื่องนี้ เพราะมีเงินปลอมแพร่ระบาด จึงขอให้เลิกใช้เงินชิงซะ” เชกาทูล
“แล้วยังไง ตอนนี้รุนแรงมากมั้ย”
” ที่เราใช้เงินต้าชิงเพื่อจะแก้ปัญหาเงินฝืด แต่กลายเป็นพ่อค้าไม่ยอมรับ ทำให้ปัญหายิ่งลุกลาม โดยเฉพาะร้านค้าใหญ่ ต่างทยอยปิดตัวเพราะไม่กล้ารับความเสี่ยงพะยะค่ะ”
“ก่อนอื่นคงต้องเก็บเงินปลอมคืนมา และจับกุมพวกที่ผลิตเงินปลอม ถึงจะแก้ปัญหาได้พะยะค่ะ”
พระเจ้าจองโจทรงงานอย่างหนัก นัมซาโชต้องคอยทูลเตือนให้บรรทม
“ฝ่าบาท ทรงเข้าบรรทมเถอะพะยะค่ะ นี่ตั้ง 4 วันแล้ว ที่ไม่ได้บรรทมอย่างเพียงพอ”
“ปัญหาเรื่องเงินปลอมลุกลามไปหลายเมือง ข้าอยากจะ ตรวจฎีกาทั้งหมดให้จบก่อน”
“แต่ว่าฝ่าบาท”



“ไม่ต้องห่วง ข้าน่ะ รู้ว่าตัวเองยังทนไหว เฮ่อ”
นัมซาโชให้ซังกุงรีบตามหมอหลวงมาดูอาการของพระเจ้าจองโจ ระหว่างที่รอชองยายงมาขอเข้าเฝ้า นัมซาโชถามว่า
“เรื่องด่วนหรือเปล่า
“จะว่าด่วนก็ไม่เชิง เกี่ยวกับคนที่ผลิตเงินปลอม จะมาถวายรายงานน่ะครับ”
“หึ ถ้าอย่างงั้น ไว้วันหลังค่อยมาได้ไหม หลายวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ได้บรรทมเลย ข้ากะว่าคืนนี้ อยากให้ทรงพักผ่อนให้มากที่สุด”
วันต่อมาพอพระเจ้าจองโจทรงทราบจากชองยายงก็ถอนพระทัย
“อะไรนะ ทั้งพ่อค้ารายใหญ่รายย่อย ยังไม่ยอมเปิดกิจการอีกหรือ”
“พะยะค่ะ แม้ทางการจะกวาดล้างพวกผลิตเงินปลอมอย่างหนัก แต่พ่อค้าก็ไม่ไว้ใจเงินต้าชิงอยู่ดี”
พระเจ้าจองโจมองหน้า “หึ”
“เป็นปัญหาทางจิตวิทยาพะยะค่ะ ถ้าคนไม่เชื่อมั่นในเงินตรา เราจะยากจะบังคับได้”
“แต่ถ้าขืนปล่อยไว้ เศรษฐกิจของเราต้องพังแน่ สุดท้าย บ้านเมืองก็จะสั่นคลอนเพราะเรื่องนี้”
“หม่อมฉันเห็นว่า ถ้าไงมีประกาศ ให้เลิกใช้เงินชิงชั่วคราวดีไหมพะยะค่ะ”
” ทำไมคิดอย่างงั้น ให้เลิกใช้เงินชิงหรือ ฝ่าบาท ไม่ได้นะพะยะค่ะ เราเสียงบประมาณส่วนใหญ่ไปกับเงินชิง และตอนนี้ เงินชิงก็กำลังจะส่งมาอีกระลอกหนึ่ง แล้วจะทำไงดี”
ชองยายงถอนใจ “เฮ่ย”



“บอกกับตอนนี้ ไม่มีทางอื่นจะแก้ปัญหาเงินฝืดได้ ถ้าระงับการใช้ เกรงว่าปัญหาจะยิ่งเลวร้ายลง”
“แล้วเราจะพูดกับพวกพ่อค้ายังไง ถึงออกมาตรการบังคับ พวกเขาก็ไม่ยอมรับเงินต้าชิงอยู่ดี”
“หึ งั้นข้าจะไปคุยเอง ข้าจะออกหน้าด้วยตัวเอง คุยกับบรรดาพ่อค้าทั้งหลาย ให้เข้าใจสถานการณ์” พระเจ้าจองโจตรัส
เช กามาทูลพระเจ้าจองโจว่าพวกชาวบ้านพากันเครียดมากเกี่ยวกับเงินปลอม พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งให้เรียกประชุมเหล่าขุนนางทันที เชกาทูลพระเจ้าจองโจอีกว่า
“ฝ่าบาท ทรงรับสั่งว่า ให้ทางการรับคืนเงินชิงทั้งหมดหรือพะยะค่ะ”
” ใช่ ข้าตัดสินใจแบบนี้ รู้ว่าทุกท่านมีความกังวลอะไรบ้าง ถ้าทางการรับคืนเงิน ความเสียหายจะเกิดอย่างมหาศาล และหนทางที่จะแก้ปัญหาเงินฝืด ก็ยิ่งยากเย็นไปอีก แต่ถึงอย่างงั้น ข้าก็เชื่อว่านี่คือหนทางที่ดี เพราะการค้า เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราจะให้คนค้าขาย ไม่เชื่อมั่นในเงินตราได้ยังไง”
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ เพราะความผิดพลาดของหม่อมฉัน ทำให้ฝ่าบาทและราชสำนักเดือดร้อน”
” ไม่หรอก นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ตอนเราเอาเงินชิงเข้ามา ไม่นึกว่าจะเกิดปัญหาเงินปลอม ถือว่าข้าผิดเอง ที่ไม่ทันคิดรอบคอบ แต่สำคัญคือนับแต่นี้ ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจ หาวิธีแก้ปัญหาเงินฝืดให้ได้ ข้าเชื่อว่าถ้าเรามีสติ ไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้ ข้าจะเคี่ยวเข็ญให้ทุกคนช่วยกันคิด เข้าใจมั้ย”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
ชองยายงทูลพระเจ้าจองโจว่าจะหาแร่อื่นมาแทนทองแดง พระเจ้าจองโจทรงอึ้งไป
“ว่าไงนะ จะหาแร่อื่นมาแทนทองแดงงั้นหรือ”
“พะยะค่ะ ถูกต้องแล้ว การผลิตเหรียญต้องใช้ทุนสำรองที่สูง สาเหตุหลักก็เพราะทองแดงมีราคาสูงมาก”
“แต่ถ้าเงินเหรียญไม่ผสมทองแดง เนื้อจะอ่อน กลายเป็นเศษเงินที่ไร้ค่า แล้วจะมีแร่ชนิดอื่นที่แข็งพอมาแทนที่ได้หรือ”
“หม่อมฉันจะพยายามหาดู”
หมอ หลวงจะมาตรวจพระอาการของพระเจ้าจองโจ นัมซาโชบอกว่าเสด็จไปโรงกษาปณ์ หมอหลวงเลยดุนัมซาโชที่ให้เสด็จไปทรงงานหนัก ทั้งที่ทรงประชวรหนักไม่น้อย นัมซาโชรีบไปตามพระเจ้าจองโจทันที
ที่โรงกษาปณ์ ชองยายงนำเหรียญที่ผลิตแล้วมาให้พระเจ้าจองโจทอดพระเนตร
“พวกนี้ ก็คือเหรียญที่ผลิตจากแร่หินชาชอนพะยะค่ะ ฝ่าบาท พระพักตร์ไม่สู้ดีนัก หรือจะกลับวังดีมั้ย”
“ไม่ ข้าไม่เป็นไร พวกนี้ ต้องเอาไปเทียบกับเหรียญที่เราใช้อยู่”



“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะไปเอามาเดี๋ยวนี้”
ชอง ยายงออกไป พระเจ้าจองโจรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที กว่าเทซูกับชองยายงจะกลับมาเห็นพระเจ้าจองโจก็ทรงหมดสติไปแล้ว ทั้งสองรีบพาพระเจ้าจองโจกลับวังหลวง พระมเหสีโยอึยทรงทราบก็รีบเสด็จไปดูแลพร้อมเจอกับพระพันปีเฮคยอง
“เสด็จแม่”
“ชุงจอน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฝ่าบาท อยู่ดีๆ เกิดไม่สบายได้ล่ะ หา”
พระมเหสีโยอึยทรงอึกอักเพราะยังไม่ทราบเหมือนกัน
คังซกกีกับซอจังบูรีบมาถามเทซูทันที
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ฝ่าบาท ทรงเป็นไงบ้างรู้มั้ย”
“เพราะข้าเลินเล่อ ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของข้าเอง”
พระพันปีเฮคยองกับพระมเหสีโยอึยทรงถามพระอาการของพระเจ้าจองโจจากหมอหลวง
“ท่านบอกว่าอาการของฝ่าบาทน่าเป็นห่วง นี่มันหมายความว่าไงน่ะ”
“ท่านหมอ รีบพูดมาเร็วเข้า”
“ทรงมีฝีในพระวรกาย จนเกินจะเยียวยา บวกกับเชื้อกระจายไปทั่ว ทำให้ทรงมีไข้ และสุดท้ายจึงได้หมดสติพะยะค่ะ”



พระพันปีเฮคยองทรงตกพระทัยมาก “หา หึ”
พระมเหสีโยอึยทรงตั้งสติและถามต่อ “แล้วยังไงอีก ข้าอยากรู้วิธีรักษา พอจะทำให้หายได้ไหม”
“แม้จะใช้ยา “ยกจี” และ “ซงตัน” แต่ยังทรงมีไข้สูง ทำให้ยากจะคาดเดาผลได้ หม่อมฉันไร้สามารถ ทรงประหารหม่อมฉันเถอะพะยะค่ะ”
ทั้งสองพระองค์พากันตกพระทัยมาก พระพันปีเฮคยองถึงกับทรงหมดเรี่ยวแรง ซังกุงรีบประคอง
“พระพันปี”
พระพันปีเฮคยองทรงกรรแสง “ฮือ ฮือ ฮือ”
พระเจ้าจองโจทรงปวดมากและร้องออกมา หมอหลวงตรวจพระอาการอย่างใกล้ชิด
” หม่อมฉันจะถวายยา “กาคัง” เสริมให้อีก ที่จริงฝ่าบาทน่าจะเสวยตั้งแต่แรกเริ่มที่มีอาการ แต่เพราะหมออื่นคัดค้าน หม่อมฉันเลยไม่กล้าถวายอีก”
พระมเหสีโยอึยตรัสถาม “เพราะอะไร”
” เพราะว่ายานี้ ไม่ได้รักษาเกี่ยวกับโรคฝี แต่มีผลดีต่ออาการไข้พะยะค่ะ เนื่องจากฝ่าบาททรงมีไข้สูงมาหลายวัน หม่อมฉันจึงจะหยุดรักษาเกี่ยวกับโรคฝีก่อน แต่ใช้ยากาคังบรรเทาไข้ให้ลดลง แต่ถ้าโชคร้าย ในสามวันนี้ ไข้ยังไม่ลดอีก หม่อมฉันก็เห็นจะจนปัญญาแล้วพะยะค่ะพระมเหสี”
“ฮือ ฝ่าบาททรงทราบมั้ยเพคะ ฮือ แค่สามวันเท่านั้น ในระหว่างนี้ ฮือ ยังไงก็ต้องทรงรู้สึกพระองค์นะเพคะ”
เสียงพระเจ้าจองโจทรงร้องโอดครวญดังมา ทำให้คิมซังกุงกับโชบีถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา พระมเหสีโยอึยทรงปลอบ
“อย่าร้องไห้อีกเลย ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทต้องหายดี ฉะนั้น อย่าให้ข้าเห็นน้ำตาของใครอีก”
เท ซูอยู่ลำพังก็ได้แต่ภาวนา “ตอนนี้ยังไม่ได้ นี่ยังไม่ใช่เวลานะพะยะค่ะ ฝ่าบาท ยังไม่ควรเสด็จไปตอนนี้ หม่อมฉัน จะไม่ให้ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แบบนี้ ฮือ ฉะนั้น พระสนมได้โปรด ช่วยคุ้มครองฝ่าบาทด้วย ช่วยให้ฝ่าบาททรงปลอดภัย อย่าได้ทรงประชวรอีกเลย พระสนม ฮือๆๆ ฮือๆๆ”



พระพันปีเฮคยองทรงไหว้พระและคิด “โปรดช่วยคุ้มครองฝ่าบาทด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองฝ่าบาทด้วยเถอะ”
ขณะ ที่พระหมื่นปีจองซุนเองก็ทรงรู้สึกหดหู่ “ฝ่าบาททรงทราบอะไรมั้ยเพคะ เป็นเรื่องที่น่าแปลกไม่น้อย ทันทีที่รู้ว่านัดดาของพระองค์ซึ่งเป็นคู่อริกำลังป่วยหนัก หม่อมฉันกลับไม่รู้สึกดีใจ ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของหม่อมฉัน กลับรู้สึกเฉยๆ”
พระเจ้าจองโจทรงฝันเห็นซองซงยอนมาร้องไห้อยู่ข้างๆ
” ฮือ ฝ่าบาท ฮือ ทำไมทรงกลายเป็นแบบนี้ ฮือ ทำไมถึงได้ ทรุดโทรมลงไปมากถึงขนาดนี้ ฮือ ฮือ ฝ่าบาทต้องทรงเข้มแข็งไว้ ฮือ ฝ่าบาทต้องทรง เห็นแก่บ้านเมือง อดทนให้มากนะเพคะ ฮือ หม่อมฉันขอร้อง ขอให้ฝ่าบาท ทรงอดทนอีกนิด”
“โอย โอย” พระเจ้าจองโจครางและลืมตา “ซงยอน”
“หึ ฝ่าบาท”
“ฮือๆๆ เจ้าจริงหรือ คนที่อยู่กับข้าตอนนี้ คือเจ้าจริงหรือซงยอน”
“ฮือ จริงเพคะ ฮือ หม่อมฉันมาเฝ้าแล้ว ฮือ หม่อมฉันมาอยู่กับฝ่าบาท”
“ฮือๆๆๆ”
“ฝ่าบาททรงเข้มแข็งไว้นะ ฮือ ต้องทรงเอาชนะโรคภัยให้ได้ ฮือ หม่อมฉันเชื่อว่า ฝ่าบาทเป็นคนเข้มแข็งเสมอ”
“ฮือๆๆๆ”
“ฝ่าบาทยังทรงมีงาน ต้องทำอีกมากไม่ใช่หรือเพคะ ฮือ ยังทรงมีพระดำริ อีกหลายอย่าง ที่ยังไม่ได้เป็นจริงเลย”
“หึ หึ ซงยอน”
“ฝ่าบาท”



“ตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่ข้าจะไป เพราะข้ายังไม่ได้ ทำงานทุกอย่างให้เสร็จจริงมั้ยซงยอน”
พระมเหสีโยอึยเสด็จมา และตรัสถามนัมซาโชว่า
“พระอาการ ยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ”
“พะยะค่ะ ยังไม่ดีขึ้นเลย”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหมอหลวงกับซังกุงร้องเรียกพระเจ้าจองโจ พระมเหสีโยอึยรีบเสด็จเข้าไปทันที
“หึ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“เอ่อ ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วพะยะค่ะ ทรงรู้สึกพระองค์แล้ว”
“หา หึ ฝ่าบาท ฮือ ฝ่าบาท หม่อมฉันเองเพคะ ทรงจำหม่อมฉันได้ไหม”
“ชุงจอน”
“ฮือ ฝ่าบาท”
นัมซาโชออกไป เทซูรู้ข่าวก็ดีใจมาก นัมซาโชสั่งให้ซังกุงนำโจ๊กมาถวายเร็วๆ
“พูดแบบนี้หมายความว่าไงครับ ท่านบอกว่าฝ่าบาทไม่ได้ทรงหายดีหรอกหรือ ใต้เท้า” เทซูถามนัมซาโช
“หมอหลวงบอกว่าอาการยังหนักอยู่ คิดว่าคงอยู่ได้ไม่นานนัก ที่ทรงรู้สึกพระองค์ ก็เหมือนปาฏิหาริย์แล้ว”
เทซูตกใจมาก “หา”
“แต่ว่าเทซู ข้าเชื่อพระทัยฝ่าบาท ทรงเข้มแข็งยิ่งกว่าใคร คงไม่ยอมแพ้โรคภัยง่ายๆ แน่”
นัมซาโชเข้ามาทูลพระเจ้าจองโจ
“ฝ่าบาท แม่ทัพปาร์คมาขอเฝ้าพะยะค่ะ”
“หึ มาแล้วหรือ”



“ทำไมยังทรงงานอยู่ล่ะพะยะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเคยบอกทุกคนแล้วว่า ถ้าทำงานไหวก็จะทำไปเรื่อยๆ”
” ฝ่าบาท ถือว่าเห็นแก่หม่อมฉันซักครั้ง ตอนนี้สิ่งสำคัญคือพระวรกายของพระองค์ ฉะนั้น ให้ทรงลืมราชกิจไปก่อน ดูแลพระอนามัยให้ทรงแข็งแรงดีกว่า”
“หึ ข้าว่าเจ้า คงรู้ว่าอาการของข้า ไม่มีทางหายได้ง่ายๆ เทซู เข้าใจใช่ไหม เพราะอย่างงี้ข้าเลยยิ่งต้องทำงาน เพราะเป็นโรคที่หมดทางเยียวยา ข้าจึงเหลือเวลาไม่มากนัก ต้องรีบทำงานทุกอย่างให้จบ”
“หึ ฝ่าบาท”
” หึ ต่อไปคงต้องฝากรัชทายาทไว้ ตอนนี้เขายังเด็กนัก ถ้าครองราชย์หลังจากข้าตายไป เขาต้องมีปัญหาเยอะแน่ ฉะนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย ตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่งนี้ เจ้าต้องคอยปกป้องดูแล เหมือนที่ทำกับข้า ซื่อสัตย์ ต่อเขาต่อไป”
“ฮือ พะยะค่ะ หม่อมฉันขอถวายสัญญา หม่อมฉัน จะทำตามรับสั่งของฝ่าบาท”
” หึ หึ สำหรับ การเป็นเพื่อนที่ดีของข้า ข้ายังต้องขอบใจเจ้า เกิดมาชาติหนึ่ง ข้าได้มีเพื่อนที่รู้ใจอย่างเจ้า แค่นี้ก็อุ่นใจมากแล้ว”
“ฮือ ฮือ ฝ่า ฝ่าบาท ฮือ ฮือ”
ทันใดนั้น พระเจ้าจองโจก็ทรงหมดสติไป หรือนี่คือการสิ้นสุดความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์จองโจ จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน
วันเวลาผ่านไป เทซูมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุนโจ
“รับสั่งให้หาหรือพะยะค่ะ”
“หึ ได้ยินว่า ท่านเป็นสหายกับเสด็จพ่อตั้งแต่ยังเด็กหรือ”
“พะยะค่ะฝ่าบาท ถูกต้องแล้ว”
“เจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่”



“ดูเหมือนว่า หม่อมฉันซัก 11 ขวบได้ ตอนนั้นอดีตพระราชายังเป็นแค่องค์ชาย และหม่อมฉันก็เจอพระองค์ที่ตำหนักซีมินตังพะยะค่ะ”
“อายุพอกับข้าตอนนี้หรือเปล่า”
“เอ่อ ใช่พะยะค่ะ”
” ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อตรัสถึงท่านบ่อยๆ รับสั่งว่าเป็นสหายที่รู้พระทัยและมีความซื่อสัตย์อย่างมาก หึ แต่ข้ารู้สึกกลัว ข้าไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้จะเจริญรอยตามเสด็จพ่อได้หรือเปล่า”
“เอ่อ ฝ่าบาท หึ เรื่องนี้อย่าทรงกังวลเลยพะยะค่ะ ยังมีหม่อมฉันที่จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทเสมอ หม่อมฉัน จะขอถวายอารักขา แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าดีหรือร้าย ขอให้ฝ่าบาททรงเข้มแข็ง เป็นพระราชาที่ทำนุบำรุงบ้านเมืองเหมือนเสด็จพ่อนะพะยะค่ะ”
“อึม” พระเจ้าซุนโจดีพระทัย
เทซูนึกถึงพระเจ้าจองโจ “หึ ฝ่าบาท ทรงสำราญดีมั้ยพะยะค่ะ อยู่บนสวรรค์ ได้พบพระสนมแล้วหรือยัง หึ”
พระเจ้าจองโจทรงพาเทซูไปที่เมืองหนึ่งและตรัสว่า
“เจ้าเห็นยังไงบ้าง ภาพข้างหน้า ดูเป็นเมืองที่สงบ และน่าอยู่หรือเปล่า”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันก็คิดอย่างงั้น”
” ข้าน่ะ ตั้งใจมานาน ที่จะเป็นพระราชาที่ดีแห่งโชซอน ให้ชาวประชาที่มาอาศัย แม้จะต่างชนชั้นอาชีพ แต่ก็มีชีวิตที่ร่มเย็น พอมีพอกิน มีความสุขไปตามอัตภาพ ข้าอยากให้เกิดความเสมอภาค ไม่มีใครถูกกดขี่ข่มเหง อยู่ในโลกที่ ไม่มีความหิวโหย ไม่มีการแบ่งชนชั้น ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไพร่ฟ้าหน้าใสทั่วหล้า อะไรที่ทำเพื่อพวกเขาได้ ข้า พร้อมจะเสียสละความสุขส่วนตัว โดยไม่รีรอ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขอย่างแท้จริง”
“ฝ่าบาททรงทราบมั้ยพะยะค่ะ จนถึงวันนี้ หม่อมฉันยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นรับสั่ง ที่ทำให้เกิดความปลาบปลื้มนัก แสงแดดอันแรงกล้ายังไม่เท่าแววพระเนตรอันมุ่งมั่นของพระองค์ ที่ต้องการส่องสว่าง ให้อนาคตของโชซอนมีแต่ความรุ่งเรือง นับแต่นี้ หม่อมฉันจะสานต่อเจตนารมณ์ของพระองค์เอง แนวคิดของฝ่าบาทจะมีราษฎรเป็นผู้เจริญรอยตาม ฉะนั้นทุกอย่างยังไม่จบลง และไม่มีวันจบด้วย ซักวันความหวังของฝ่าบาท จะสัมฤทธิ์ผลไปทั่วแดน ถึงตอนนั้นราษฎรของพระองค์จะมีชีวิตที่ดีขึ้น สมกับความทุ่มเทมาตลอดพระชนม์ชีพ”

...อวสาน...

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 76



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 76

ขณะ ที่พระเจ้าจองโจกำลังทรงชื่นชมวาซองนั่นเองได้ถูกคนร้ายลอบปลงพระชนม์ เมื่อเทซูรู้เรื่องนี้แล้วก็มีคำสั่งให้ทหารองครักษ์สืบหาตัวคนร้ายให้ได้
จาก นั้นเทซูก็รีบรุดไปถวายอารักขาพระเจ้าจองโจทันที เมื่อเทซูเดินทางไปถึงวาซอง ในขณะที่พระเจ้าจองโจกำลังทรงทอดพระเนตรดอกไม้ไฟอยู่นั่นเอง พระองค์ก็ทรงรู้สึกว่ามีคนร้ายดักซุ่มอยู่ ทำให้พระเจ้าจองโจทรงเตรียมการรับมือคนร้าย คนร้ายเข้าประชิดพระเจ้าจองโจทุกที บรรดาทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองถูกคนร้ายฆ่าตาย
คนร้ายประชิดตัวพระเจ้าจอง โจเข้ามาทุกที บรรดาขุนนางใหญ่ต่างรู้สึกว่าพระเจ้าจองโจกำลังทรงมีภัย จากแผนถวายอารักขาพระเจ้าจองโจนั้นให้ทหารองครักษ์เฝ้าอารักขาอยู่ด้านนอก ทำให้มีทหารที่อยู่ในงานไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พระเจ้าจองโจและบรรดาขุนนางใหญ่ต่างต้องพึ่งตนเอง
ขณะ ที่พระเจ้าจองโจและบรรดาขุนนางใหญ่กำลังตกอยู่ในอันตรายนั่นเอง บรรดาทหารองครักษ์ภายใต้การนำของเทซูก็เข้ามาถวายอารักขาพระเจ้าจองโจ
คน ร้ายใช้ไม้ตายซึ่งอยู่ที่ดอกไม้ไฟชุดสุดท้าย แต่เนื่องจากในเวลานี้ดอกไม้ไฟชุดสุดท้ายยังไม่ได้จุดขึ้นมา ทำให้ท้องฟ้ามืดมิดไปหมด ทันใดนั้นเอง ดอกไม้ไฟชุดสุดท้ายก็ถูกจุดขึ้นมา ในเวลานี้คนร้ายตกอยู่ในวงล้อมของทหารองครักษ์
เทซูตะโกนบอกคนร้ายว่า ถ้าหากยังรักชีวิตก็ให้วางอาวุธ เมื่อบรรดาคนร้ายได้ยินเช่นนั้น ก็พากันวางอาวุธ ทหารองครักษ์เห็นเช่นนั้นจึงพากันเข้าจับกุมคนร้าย
เท ซูและพวกพากันไปตรวจค้นที่พักของบรรดาขุนนางใหญ่ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวพัน กับคนร้าย ทำให้บรรดาขุนนางใหญ่ถูกจับกุมตัวไปทีละคน แม้แต่แชซกจูก็ถูกเทซูควบคุมตัวกลับไปด้วย
“สุดท้ายก็ต้องจบลงแบบนี้นะท่าน” พระเจ้าจองโจตรัส



แชจีคยอมทูลว่า “ฝ่าบาท ต้องเสด็จกลับเมืองหลวงแล้วพะยะค่ะ”
“ข้าคงต้องกลับไป เข้าเฝ้าพระหมื่นปีให้ดีซักครั้ง”
เท ซูเดินทางกลับวังหลวงก่อนเพื่อจับกุมตัวพระมเหสีจองซุน เมื่อเทซูไปถึงห้องบรรทมของพระมเหสีจองซุน พระมเหสีจองซุนกลับขัดขืนไม่ยอมให้เทซูจับกุมตัว
“หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการพบฝ่าบาท มีเรื่องบางอย่างจะทูลให้ทรงทราบ เพราะฉะนั้น”
เทซูทูลว่า “อย่าเสียเวลาอีกเลย นึกว่าสิ่งที่ทำจะช่วยให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้หรือ ยืนเฉยทำไม มัดนักโทษเอาไว้ก่อน”
” ปล่อยข้า พวกเจ้าบังอาจนัก ทำแบบนี้หมายความว่าไง กล้าเสียมรรยาทต่อข้าเชียวหรือ ยังไงข้าก็เป็นพระหมื่นปี บอกว่าจะพบฝ่าบาทไม่ได้ยินหรือไง”
พระเจ้าจองโจทรงเสด็จมาถึง “ทุกคนถอยไป”
“ฝ่าบาท”
“ได้ยินว่ามีเรื่องจะรับสั่งงั้นหรือ ก็ได้ มีอะไรก็ว่ามา ไม่แน่ว่าการพบวันนี้ อาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเราก็เป็นได้”
พระหมื่นปีจองซุนคุกเข่าลง “หึ ได้โปรด เมตตาข้าซักครั้งได้ไหม”
พระเจ้าจองโจทรงอึ้งไปนิด “พระหมื่นปี”
” ข้า เคยเป็นมเหสีของอดีตพระราชา ถ้าจะนับตามศักดิ์จริงๆ ก็คือย่าของฝ่าบาทด้วย ฐานะอย่างข้าวันนี้ จะสามารถทำอะไรได้อีก เพราะฉะนั้น ถือว่าปรานีข้าหน่อยเถอะนะ”
“ไม่ หม่อมฉันคงทำไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ ความเมตตาของหม่อมฉันเหลือน้อยเต็มที”
“ฝ่าบาท”



“ทุกอย่างควรจบได้แล้ว ที่สำคัญ โปรดอย่าเรียกร้องความเห็นใจด้วยวิธีนี้อีก”
“หึ หึ ฝ่าบาท ไม่มีทาง หึ เรื่องยังไม่จบแค่นี้ จำไว้ ข้าจะไม่ยอมให้จบลงง่ายๆ”
“ยืนเฉยทำไม คุมตัวนักโทษไปเร็ว” เทซูสั่งทหาร
พระมเหสีโยอึยเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่า พระหมื่นปีถูกจับไปกรมอาญาหรือเพคะ”
” ข้าก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ที่แล้วมา ข้ารู้ว่านางทำอะไรไปบ้าง แต่ก็ให้อภัยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะไม่อยากให้ราชสำนัก เกิดการเข่นฆ่าโดยไม่จำเป็นโดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ด้วยแล้ว”
“หึ ฝ่าบาท”
” องค์หญิงวาวานกับพระหมื่นปี ร่วมกันให้ร้ายเสด็จพ่อ ทำให้เสด็จปู่ทรงเสียพระทัย จากโลกนี้ไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา ต่อมา ข้าต้องออกคำสั่ง ให้เนรเทศองค์หญิงวาวานซึ่งเป็นป้าแท้ๆ พอมาวันนี้ ก็ต้องลงโทษพระหมื่นปีอีก นี่แหละคืออำนาจ สิ่งที่ทุกคนอยากได้นักหนา มันคืออะไรกันแน่ ถึงทำให้มนุษย์ทั้งหลาย เข่นฆ่ากันเองได้ถึงเพียงนี้”
พระมเหสีโยอึยทรงเห็นพระทัยยิ่งนัก “ฝ่าบาท”
พระมเหสีโยอึยเข้าเฝ้าพระพันปีเฮคยอง ทรงตรัสว่า
” ใช่ ข้าเข้าใจความรู้สึกของฝ่าบาทในตอนนี้ดี เขากำพร้าเสด็จพ่อตั้งแต่ยังเล็ก มีแผลในใจที่ยากจะลบล้างได้ จึงไม่อยากให้เรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน คงไม่ต้องการจะเห็นการเข่นฆ่าในหมู่พระญาติอีกครั้ง”
โชบีเข้ามา “พระมเหสี หม่อมฉันยางซังกุงเพคะ”
“เข้ามา”



“พระมเหสี หม่อมฉันได้ข่าวมา จะมีการไต่สวนนักโทษที่กรมอาญาเพคะ”
“เสด็จแม่เพคะ” พระพันปีเฮคยองทรงถอนพระทัย
ที่กรมอาญาแชจีคยอมทูลพระเจ้าจองโจ
“จะเริ่มการไต่สวน ผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกจับมาแล้วพะยะค่ะ”
“ใครผิดก็ว่าไปตามผิดนั่นแหละ เรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความค้างคาใจ ต้องไต่สวนอย่างเป็นธรรมเข้าใจหรือเปล่า”
“พะยะค่ะ น้อมรับพระบัญชา หึ”
พวกขุนนางพากันร้อนรน แชซกจูกล่าวกับทุกคนว่า
” ทุกคน ขอให้จำคำพูดข้าไว้ แม้ว่าสุดท้ายเราอาจตายหมด แต่ว่า รากฐานที่เราสร้างมา เป็นเวลานับร้อยปีนั้น จะพังทลายไม่ได้ ฉะนั้นไม่ต้องกลัว มีแค่ทางเดียว ทางนี้เท่านั้น ที่จะให้เราตายอย่างภาคภูมิได้”
ขุนนางตกใจ “หา ท่าน ใต้เท้า”
ขณะที่พวกขุนนางที่อยู่ข้างนอกก็ไม่สบายใจ ปรึกษากับชางแทวูว่า
“ใต้เท้า เรื่องนี้ท่านจะไม่ทำอะไรบ้างหรือครับ”
“มันไม่ได้เกี่ยวเฉพาะคนที่ถูกจับนะครับใต้เท้า ขืนเป็นแบบนี้ ฝ่ายขุนนางเก่าอย่างเรา”
ชางแทวูกล่าวว่า “ถ้าจะมาเกลี้ยกล่อมข้าก็คงผิดแล้ว”
“ใต้เท้า”
” นอกจากเป็นขั้วอำนาจเก่า เรายังเป็นขุนนางด้วย ทำไมถึงได้ปกป้องคนที่ทำผิดคิดร้ายต่อฝ่าบาทถึงเพียงนี้ ถ้าพวกเขาคิดกบฎจริงก็ต้องรับกรรมตามที่ก่อ ฉะนั้น ถ้าให้ข้าได้ยินคำพูดแบบนี้อีก จะไปทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ เข้าใจมั้ย”
แม้ เหล่าขุนนางจะถูกทรมาณอย่างแสนสาหัสก็ไม่มีใครพาดพิงถึงพระหมื่นปีจองซุนว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการกบฏเป็นอันขาด พระเจ้าจองโจทรงได้รับรายงานจากนัมซาโชว่าไม่มีขุนนางคนใดให้การว่าพระหมื่น ปีจองซุนเป็นผู้บงการเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการกบฏ เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าจองโจจึงทรงเสด็จไปที่คุกหลวงเพื่อพบพระหมื่นปีจอง ซุนด้วยพระองค์เอง



“ยอมรับผิดจะดีกว่าหรือเปล่า อย่างน้อยที่สุด ก็ยังได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้บ้าง สิ่งที่หม่อมฉันต้องการ คือความจริงและการสำนึกผิด ตอนนี้ยังไม่สาย ถ้าพระหมื่นปียอมเผยความจริง หม่อมฉันจะลดโทษ ให้พระนางและทุกๆ คน”
“ลดโทษหรือลงโทษยังไงกัน ปลดเป็นสามัญชน และให้ไปอยู่ข้างนอกใช่ไหม ไม่ นั่นไม่ใช่การลดโทษ ชีวิตข้าจะมีความหมายก็ต่อเมื่อ อยู่ในฐานะพระหมื่นปีของประเทศนี้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ถึงให้ข้าอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร”
“แสดงว่า คนอื่นจะตายก็ช่างเขา เพื่อรักษาอำนาจไว้ ถึงให้คนอื่นเป็นแพะรับบาป ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือไง พระหมื่นปี”
” ใช่ ข้าคิดอย่างงั้น และจะทำอย่างที่คิดด้วย ถ้าเสียสละพวกเขายังไม่พอ ถึงมีคนตายมากกว่านี้ ข้าก็ต้องอยู่ต่อให้ได้ และเพื่อออกจากที่นี่แล้ว ข้าพร้อมจะแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้มีอำนาจ กลับสู่ฐานะเดิมของตัวเอง เพราะฉะนั้น ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับฝ่าบาทอีก เชิญกลับไปซะดีกว่า”
“สุดท้ายแล้วพระหมื่นจะได้อะไรบ้าง เท่ากับอยู่บนกองเลือดของผู้คน ชีวิตแบบนี้จะมีความภาคภูมิใจได้หรือ เพื่อให้ขั้วอำนาจเก่ายังอยู่ เพื่อที่ว่าซักวัน สองมือของพระหมื่นปี ยังจะได้กุมอำนาจอีกครั้งหรือ หม่อมฉันเชื่อว่าต้องเสียพระทัยแน่ ซักวันพระหมื่นปีจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ในวันที่ทุกอย่าง กลายเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีความหมาย ถึงตอนนั้นจะทรงเสียพระทัยว่า ความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุด ได้ฆ่าพระหมื่นปีและคนรอบข้างไปขนาดไหน”
แชจีคยอมเตรียมจะลงโทษประหารเหล่าขุนนาง พระหมื่นปีจองซุนทรงทราบก็ทรงหัวเราะและร้องไห้ออกมา
เทซูทูลพระเจ้าจองโจถึงพระหมื่นปีจองซุนว่า
“แล้วพระหมื่นปี จะทรงลงอาญายังไงพะยะค่ะ ฝ่าบาท”
” พระหมื่นปี จะอยู่กับความทุกข์ ตลอดชั่วชีวิตของนาง ไม่ใช่ หรือแม้แต่สิ้นพระชนม์แล้ว ประวัติศาสตร์ก็ยังจะจารึก ความผิดที่นางก่อไว้ ฉะนั้นถึงข้าจะตัดสินโทษยังไง คงไม่มีความหมายอีก ข้ามานึกดูอีกที คนที่น่าสงสารจริงๆ ก็คือพระหมื่นปีนี่แหละ ถึงเราปล่อยนางไว้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายยังไง บาปที่นางก่อไว้ก็ต้องให้ชดใช้อยู่ดี หึ”
“ฝ่าบาท ได้เวลาประชุมแล้วพะยะค่ะ” นัมซาโชทูล
“รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“พะยะค่ะ”



“ข้าคงต้องไปซะที ไปทำในสิ่งที่พระราชา ควรทำต่อไป หึ”
เวลานั้นพระหมื่นปีจองซุนทรงเป็นลม ทำเอาพวกซังกุงพากันตกใจร้องเรียก
“ว้าย พระหมื่นปีๆ ฮือๆๆ พระหมื่นปี ฮือๆๆ พระหมื่นปี ฮือๆๆ พระหมื่นปี ฮือๆๆ”
ชางแทวูไปสั่งให้นายอำเภอปล่อยชาวบ้านที่ถูกขังทั้งหมด
“ทำไมต้องบังคับให้ข้าปล่อยพวกเขา ช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้ไหม”
” ได้ยินว่าพวกเขาถูกจับเพราะเก็บเกี่ยวไม่พอส่งให้ทางการ แต่ก่อนหน้านี้ทางการมีประกาศจะไม่เก็บส่วยประเภทนี้อีก แล้วทำไมท่านเป็นนายอำเภอแท้ๆ ยังกล้าจับชาวบ้านโดยพละการ แถมยังยึดทรัพย์ของพวกเขาไว้อีก”
“ข้าไปยึดทรัพย์เมื่อไหร่ ท่านอย่ามาพูดส่งเดชนะ”
“อะไรนะ ยังกล้าเถียงอีกหรือนี่”
” จริงๆ นี่ไม่ใช่ธุระของท่านซักหน่อย ข้าเป็นนายอำเภอสามารถจัดการทุกอย่างในเขตนี้ อีกอย่างท่านก็ออกจากราชการ,ไม่มีตำแหน่งอะไรอีกแล้ว ฉะนั้น ถ้าไม่มีอะไรจะทำ ก็เชิญกลับบ้านดีกว่านะท่าน
“บังอาจนัก เจ้ากล้าใช้วาจาสามหาวกับข้าเชียวหรือ” ชางแทวูโกรธมาก
“พวกเจ้าทำอะไร ไม่รีบไปส่งใต้เท้าอีก”
จาก นั้นนายอำเภอก็รีบไปปรึกษากับขุนนางอีกทาง พร้อมนำสินน้ำใจไปให้หวังให้ช่วย พอดีชองยายงซึ่งมาในฐานผู้ตรวจการณ์จับทั้งสองได้และสั่งให้พาตัวกลับไปไต่ สวนที่เมืองหลวง จากนั้นชองยายงก็ไปพบชางแทวู
“ใต้เท้าสบายดีหรือเปล่าครับ”
“ทำไมเจ้าเป็นผู้ตรวจการณ์มาถึงเมืองนี้ได้ล่ะ”
” เพราะมีข่าวขุนนางท้องถิ่นสมคบขุนนางจากเมืองหลวง กดขี่ข่มเหงราษฎร ฝ่าบาททรงเป็นห่วงเรื่องนี้ จึงให้ข้ามาดูว่าจริงหรือเปล่าน่ะครับ โดยเฉพาะนายอำเภอที่จับได้วันนี้ ได้ยินว่าชอบเสียมรรยาทต่อท่านนัก กลับไปข้าจะลงโทษให้หนัก ท่านไม่ต้องห่วงนะครับ”
“หึๆๆ ช่างเถอะ ลงโทษคนพวกนี้ ว่าไปตามกระบวนกฎหมายก็พอ ขอเพียงกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ คนถ่อยก็จะไม่กล้าหืออีก จริงสิ แล้วราชสำนักเป็นไงบ้าง ได้ยินว่าฝ่าบาททรงริเริ่มโครงการอีกหลายอย่างงั้นหรือ”
“ใช่ครับ พักก่อนได้สังคายนาระบบโทษทัณฑ์ใหม่ ทหาร 5 กองพลถูกยกเลิก รวมเข้ากับหน่วยอารักขาในวังหลวง ทุกวันนี้ฝ่าบาท กำลังวางระบบชลประทานรอบป้อมฮวาซองให้ถูกแบบแผนน่ะครับ”
เวลานั้นเชกากำลังทูลพระเจ้าจองโจว่า



“นี่คือลำธาร ที่เชื่อมต่อไปยัง ซงจู ชื่อ จินมกชุน พะยะค่ะ”
“ใช่ นอกจากเป็นทางยาวแล้วยังน้ำไหลแรง หากจะทำฝายกั้นน้ำแถวนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเพาะปลูกไม่น้อย”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ ทางเมืองซงจูได้ดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าไม่เกินสองเดือนน่าจะเสร็จ”
“และเมื่อสำเร็จแล้ว ต่อให้หน้าแล้งก็ไม่กระทบต่อการเพาะปลูก ชาวบ้านคงได้หมดห่วงซะที”
นัมซาโชทูล “ฝ่าบาท ต้องเสด็จกลับวังแล้วพะยะค่ะ จะมีพิธีเลื่อนยศให้ทหาร ต้องเสด็จกลับไปเตรียมตัวก่อน”
“ก็ได้ ถ้าอย่างงั้น เราก็รีบกลับเถอะ”
ทุกคนคำนับ “พะยะค่ะฝ่าบาท”
ใน ตลาด ดัลโฮไปหาช่างตีกระบี่ เพื่อซื้อกระบี่พยัคฆ์ลำพอง เพื่อเป็นของขวัญให้เทซูที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพ ซอจงบูกับคังซกกีและทหารคนอื่นพากันมาแสดงความยินดีกับเทซู
“เจ้าได้เลื่อนเป็นแม่ทัพหน่วยพิทักษ์ราชย์ ยินดีด้วยนะ”
“นั่นสิ บอกตรงๆ ว่าไม่มีใครเหมาะกับตำแหน่งนี้ยิ่งกว่าเจ้าอีก ยินดีด้วยนะเทซู อ้อ ไม่ใช่ ท่านแม่ทัพ เฮ่อๆๆ”
“เฮ่อๆๆ ขอบคุณมาก ว่าแต่ พวกท่านก็ได้เลื่อนตำแหน่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“ใช่ เขาเป็นนายกองทหารหลวง ส่วนข้าเป็นหัวหน้าองครักษ์” คังซกกีว่า
ซอจังบูเตือนว่า “เฮ่ย อย่าพูดเลย ผู้ใหญ่ยังกำชับมาอีก ให้ข้าเป็นครูฝึกทหาร ทีนี้ล่ะภาระหนักอึ้งเชียว เฮ่ย”
“ฟังพูดเข้า จะอวดก็บอกมาเถอะ” คังซกกีแซว
ซอจังบูทำขึงขัง “บังอาจ ใครว่าข้าอวด ต่อไปนี้ พูดอะไรต้องเกรงใจข้าบ้างนะ”
“อะไรนะ”
“เพราะอีกหน่อย ข้าจะได้เลื่อนตำแหน่งอีก ฮ่าๆๆ” ซอจังบูหลุดหัวเราะ ทำให้คังซกกีกับเทซูพลอยหัวเราะตาม
ปาร์คยองมุนสั่งให้ทุกคนเข้าร่วมงานสำคัญ ลีชองคุยกับช่างเขียนตั๊กอย่างดีใจว่า
“ดูซิ น้องเทซูของข้า ไม่ใช่ ใต้เท้าปาร์คเทซู ในที่สุดก็ได้เป็นทหารขั้นสองแล้ว ฮ่าๆๆ”
“น่าอิจฉาเจ้า มีที่พึ่งเป็นคนใหญ่คนโตซะแล้ว”
“เฮอะ แน่นอน อีกหน่อยจะถึงตาข้าเลื่อนตำแหน่ง เป็นหัวหน้าศูนย์ศิลปะแห่งนี้บ้าง”
“อะไรนะ”



มีซูแทรกว่า “ช่างเขียนลี จริงหรือคะ ท่านได้เลื่อนเป็นหัวหน้า แล้วใต้เท้าปาร์คจะปลดเกษียณแล้วหรือไง”
“แน่นอน เขาทำงานมานาน ถึงจะพักก็ไม่เห็นแปลกนี่”
“ถ้าท่านได้เลื่อนตำแหน่งจริง ไม่คิดว่าเร็วไปหน่อยหรือคะ”
“นั่นสิ ข้าก็ว่าเร็วไป”
“เร็วที่ไหน คนอื่นยังเลื่อนได้เลย จริงมั้ยคะใต้เท้าลี”
“แน่นอน ข้าบอกพี่ดัลโฮให้ช่วยติดต่อไว้แล้ว ต่อไปถ้าใครอยากเจริญก้าวหน้า ก็ต้องทำตัวให้ว่านอนสอนง่าย เข้าใจหรือเปล่า”
โยจินถามอย่างไม่อยากเชื่อ “จริงหรือคะ คนที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ใช่ช่างเขียนตั๊ก แต่เป็นท่านหรือ”
ลีชองยืนยัน “ใช่ ต้องเป็นข้าก่อน”
“ว้าย ไม่น่าเชื่อ ยินดีด้วยนะคะ ดีใจจังเลย หึๆๆ”
ช่างเขียนตั๊กไม่ยอม “โยจิน เจ้าอย่าหลงเชื่อเขา ต้องเป็นข้าต่างหาก เป็นข้า”
“อะไรนะ เจ้าน่ะหรือ”
“เจ้าจะเก่งกว่าได้ไง”
“ปล่อยนะ ใช้กำลังหรือ ข้าไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฮึ่ม ข้าต้องเก่งกว่าเจ้า สวรรค์ลิขิตไว้แล้วรู้ไว้ด้วย ฮ่าๆๆ”
“ฝันไปเถอะ”
ในพิธีการ แชจีคยอมเรียกคังซกกี ซอจังบูและเทซูให้ก้าวมาข้างหน้า พระเจ้าจองโจทรงตรัสว่า
” นับแต่นี้พวกเจ้า คือหัวหน้าทหารหลวง หัวหน้าองครักษ์ และสุดท้าย หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ราชย์ ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่เพียงแต่ความปลอดภัยของข้า แม้แต่เชื้อพระวงศ์และความมั่งคงปลอดภัยของบ้านเมือง ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจในการทำงานของพวกเจ้า”
ทั้งสามน้อมรับ “พะยะค่ะฝ่าบาท”
เทซูกล่าวก่อนว่า “เราขอถวายคำมั่น ตราบใดที่ยังอยู่ เป็นทหารแห่งเมืองโชซอน จะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด”
ซอจังบูกับคังซกกี “เช่นกันพะยะค่ะ”
” ทหารทุกคนจงฟังให้ดี นับแต่วันนี้ไป พวกเจ้าคือกำลังสำคัญ เป็นเกราะคุ้มกันประเทศของเรา เพราะฉะนั้น ในฐานะข้าราชบริพาร ขุนนางบู๊แห่งโชซอน ขอให้จงมีความกล้า และทำงานด้วยความซื่อสัตย์”
“พะยะค่ะรับด้วยเกล้า”
เทซูนำหนังสือแต่งตั้งไปบอกพระสนมซองซงยอน
“ทรงเห็นมั้ยพะยะค่ะ นี่คือหนังสือแต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นแม่ทัพ หม่อมฉันอยากให้พระสนม ได้ทอดพระเนตรเป็นคนแรก”

จบ ตอนที่ 76

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 75



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 75

แชจีคยอมนำรายงานการก่อสร้างประจำสัปดาห์นี้ถวายพระเจ้าจองโจ
“หลายวันนี้รู้สึกว่า งานจะเดินเร็วขึ้นหรือเปล่า”
“นั่นสิพะยะค่ะ เห็นบอกว่า เพราะเครื่องยกน้ำหนักของบัณฑิตชองช่วยผ่อนแรงได้มาก”
นัมซาโชทูลว่า “ที่สำคัญยังช่วยประหยัดค่าแรงได้ถึง 4 หมื่นตำลึง ถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่ของเขานะพะยะค่ะ”
“ข้าก็คิดอย่างงั้น เลยว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นขุนนางขั้นสาม”
“จะเลื่อนตำแหน่งหรือพะยะค่ะ”
” ที่จริงไม่เพียงแต่เขา งานก่อสร้างที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลาแค่ 2 ปีครึ่งก็สำเร็จเรียบร้อย มันเป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายด้วย ฉะนั้นข้าจะมีปูนบำเหน็จให้ทุกคน และได้สั่งการไปอีกว่า การบำเหน็จผลงานจะมีในวันถวายสักการะ จริงสิ งานนี้เตรียมการถึงไหนแล้ว”
“ทุกฝ่ายกำลังประชุมอยู่ คาดว่าจะสรุปผลในเร็ววันนี้พะยะค่ะ” แชจีคยอมทูล
“วันประสูติของเสด็จแม่ปีนี้ ข้าจะจัดให้ยิ่งใหญ่ที่สุด ฉะนั้นการเตรียมงาน ก็ต้องดูให้เรียบร้อยล่ะ”
“น้อมรับพระบัญชาพะยะค่ะ”
แล้ว ก็มีข่าวเรื่องการเรื่อยขั้น ปรากฎว่าเทซูกับคังซกกีได้เลื่อน ซอจังบูไม่พอใจและเครียดมาก ไม่ยอมพูดจากับทั้งสอง เทซูจึงไปทูลพระเจ้าจองโจ
“พูดแบบนี้หมายความว่าไง ให้ข้าเลื่อนตำแหน่งให้ซอจังบูแทนเจ้าหรือ ใช่ไหม”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันรู้ว่าที่ทรงทำแบบนี้เพราะตำแหน่งนายทหารขั้น 2 มีได้แค่สองคน เลยอยากให้เขา”
“ไม่ ข้าเลื่อนเขาไม่ได้”
“เอ่อ ฝ่าบาท”



“เรื่องนี้ เป็นไปตามคำสั่งของข้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้า”
“เอ่อ ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ”
” การที่ข้าไม่เลื่อนตำแหน่งเขา เพราะผลงานมีน้อย บวกกับนิสัยหุนหันพลันแล่น ฉะนั้นเรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องพูดมากอีก กลับไปบอกให้เขารับรู้ไว้ ถ้าเดือนหน้าไม่มาทำงานอีก ข้าจะถือว่าขอลาออก”
เทซูอึ้ง “เอ่อ คือ ฝ่า ฝ่าบาท”
เทซูกลับไปบอกคังซกกีและพากันกลุ้มใจว่าจะพูดอย่างไรกับซอจังบูดี
แชซกจูกับพวกขุนนางไปดูการฝึกซ้อมของพวกมินจีซู ซึ่งเขาบอกว่าทุกคนเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอคำสั่งจากเขาคนเดียว
คังซกกีให้ทหารตามพวกแชซกจูไปแต่ไม่ทัน เขากลับมารายงาน คังซกกีนำขึ้นทูลพระเจ้าจองโจทันที
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ เพราะพวกเขาเตรียมม้าไว้ระหว่างทาง ทำให้เราตามไปไม่ทัน”
เทซูทูลต่อว่า “ถ้าพวกเขาไปทางเขาพงวา จริง ก็แสดงว่าที่นั่น คงเป็นแหล่งซ่องสุมกำลัง ถ้าไงเราไปตรวจค้นเขาพงวาให้ทั่ว”
” ไม่ ถ้าไม่รู้แหล่งกบดานที่แน่ชัด หลับหูหลับตาไปค้น เราจะแหวกหญ้าให้งูตื่นมากกว่า สุดท้ายก็จะกลายเป็นเสียแรงเปล่า ข้าเคยบอกไว้ แค่เห็นพวกเขาไปชุมนุม เราคงทำอะไรไม่ได้ อีกอย่าง เราไม่มีหลักฐานที่พวกเขาซ่องสุมกำลังด้วย เลยต้องรอคอยเวลา ถึงจะรู้ว่านี่เป็นการเสี่ยง แต่ก็ต้องรอให้พวกเขาเผยโฉมมาเอง อย่าใจร้อน ทหารบางส่วน ต้องกันไว้ดูแลงานสักการะอาทิตย์หน้า ฉะนั้น ตอนนี้ต้องแบ่งกำลังให้ดี พวกเจ้าส่งคนไปอีก ตามดูพวกเขาไปเรื่อยๆ”
“พะยะค่ะ น้อมรับพระบัญชา” ทั้งสองออกไป
นัม ซาโชทูลถามพระเจ้าจองโจว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอถาม แค่ให้คนสังเกตการณ์ก็พอหรือพะยะค่ะ เกิดพวกเขามีการวางแผนชั่วจริง คงจะทำอย่างมิดชิดและรอบคอบ ไม่ให้ใครเห็นพิรุธอย่างแน่นอน”
“ท่านพูดก็ถูก ฉะนั้น เลยต้องให้พวกเขาเผยไต๋มาเอง รอดูไปเถอะ”



ซอ จังบูได้ยินชาวบ้านเทิดทูนพระเจ้าจองโจก็ไม่พอใจ ทำให้ถูกชาวบ้านรุมซ้อม จนมินจีซูมาช่วยไว้ และเขาก็คาดหวังจะให้ซอจังบูมาเป็นพวก ยิ่งรู้ว่าซอจังบูโดนอะไรมาบ้าง แถมเขากลับไปฝึกทหาร ก็โดนบอกให้ไปรับผิดชอบงานอื่นแทนยิ่งทำให้ซอจังบูแค้นใจมาก
พระเจ้าจองโจทรงยืนทอดพระเนตรไปไกล พระหมื่นปีจองซุนเห็นก็เข้ามาทรงทัก
“มีอะไรทำให้ฝ่าบาทกังวลใจหรือ ดูเหมือนสีหน้าไม่สู้ดีด้วย ทำไมออกมายืนที่นี่คนเดียวล่ะ”
“เปล่าเลย ไม่มีอะไรทำให้หม่อมฉันกลุ้มใจได้ เพราะเห็นอากาศดี เลยออกมารับแดดซักครู่เท่านั้น”
” งั้นหรือ งั้นก็โล่งอกไปที เรากำลังจะมีงานฉลองเมืองใหม่ เกิดฝ่าบาทไม่สบายขึ้นมาคงจะแย่ ขอให้รักษาสุขภาพดีๆ ไหนๆ ก็ทุ่มเทเพื่อเมืองใหม่ขนาดนี้ ยังไงก็ตาม น่าจะได้ชื่นชมผลงานให้คุ้มหน่อย”
“แน่นอน หม่อมฉันก็หวังอย่างงั้น ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี ไม่ต้องทรงเป็นห่วงแทนหรอก”
“หึ ได้ งั้นข้าขอตัวไปที่อื่นก่อน”
มิ นจีซูมาพบแชซกจู ขากลับเจอกับซอจังบูและทหาร ทำให้ถูกตามล่า ซอจังบูเห็นเป็นมินจีซูที่เคยช่วยเขาไว้จึงบอกให้หนีไป และสั่งทหารว่าไม่ให้บอกใครว่าจับคนร้ายไม่ได้ แชซกจูรู้ก็ไปทูลให้พระหมื่นปีจองซุนทราบ
“ว่าไงนะ เป็นความจริงหรือนี่”
“จริงพะยะค่ะ ดูเหมือนว่าฝ่าบาท รับสั่งให้คนสะกดรอย ดูพวกเราอยู่เงียบๆ เผื่อจะเห็นช่องโหว่ จะได้เล่นงานทันที”
“หึ แต่ได้ยินว่า มินจูซีติดต่อคนของหน่วยพิทักษ์ราชย์ได้คนหนึ่ง เป็นความจริงหรือเปล่า”
“ตอนนี้ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ว่า ถ้าโชคดีละก้อ เราอาจได้ผู้ช่วย ที่เป็นคนในของฝ่าบาทมาเป็นกำลังสำคัญ”
“เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุป เราต้องดูคนๆ นั้นให้ดี ข้าอยากรู้ว่าเรื่องเป็นมายังไงกันแน่”
“หม่อมฉันเข้าใจ แต่ว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราน่าจะเปลี่ยนแผนซักนิดดีมั้ยพะยะค่ะ”
“เปลี่ยนแผนหรือ หมายความว่าไง”
” ถ้าฝ่าบาททรงจับตาดูความเคลื่อนไหวของเราจริง ไม่แน่ว่า อาจทรงเห็นพิรุธบางอย่างก็ได้ เพราะงานนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตพวกเราทุกคน จะให้ผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้น เมื่อฝ่าบาททรงเกิดความระแวง เราก็ควรลงมือก่อน เล่นงานให้ตรงจุด อย่าได้รอช้า”
“เล่นงานให้ตรงจุด หมายความว่าไง”
เวลาเดียวกันพวกเทซู คังซกกี ก็กำลังคุยกันเรื่องกำหนดการ
“กำหนดการเสด็จออกมาแล้ว พรุ่งนี้เช้าเคลื่อนขบวนออกทางประตู “ทุนวา” ฉะนั้น คนที่ถวายอารักขา ต้องเตรียมการก่อนหน้าให้พร้อม”



“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้เราได้เตรียมพร้อมหมดแล้ว”
นัมซาโชบอกว่าพระเจ้าจองโจเสด็จมา เทซูจึงทูลว่า
“นี่คือ 24 จุดสำคัญ ระหว่างทางเสด็จไปป้อมฮวาซอง เราจะวางทหารไว้ทุกจุด เพื่อถวายอารักขาอย่างเข้มงวด”
“แล้วการดูแลป้อมในเวลากลางคืนล่ะ”
“พร้อมแล้วทุกด้านพะยะค่ะ”
“งานฉลองเมืองใหม่คราวนี้ เราจะให้แสดงศักยภาพของไพร่พล ฉะนั้น อย่าให้มีอะไรผิดพลาดได้ล่ะ”
“พะยะค่ะ”
“แต่ว่า ทำไมเมื่อวานไม่ได้รับรายงานการสะกดรอย เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“เอ่อ เพราะว่า ไม่มีอะไรผิดสังเกตพะยะค่ะ” เทซูทูล
“งั้นหรือ พรุ่งนี้ก็จะเดินทางแล้ว พวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวอะไรบ้างเลยหรือ” พระเจ้าจองโจทรงสงสัย
คังซกกีทูลว่า “เพราะป้อมฮวาซองมีทหารมากมายคอยเฝ้า พวกเขาเลยไม่กล้าทำบุ่มบ่ามก็ได้พะยะค่ะ”
“นั่นสิ ว่าแต่ ทำไมไม่เห็นซอจังบูล่ะ”
“เอ่อ เห็นว่าไม่ค่อยสบาย ออกเวรตั้งแต่บ่ายพะยะค่ะ”
“งั้นหรือ เขาเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน” พระเจ้าจองโจทรงเป็นห่วง
มินจีซูให้คนไปนัดซอจังบูออกมาพบ
“กล้าดียังไงให้คนมาหาข้า ไม่กลัวข้าจะจับท่านหรือไง”
“ที่ข้ายอมเสี่ยงมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อจะพบท่านซักครั้ง เชิญดื่มก่อนดีมั้ย”
“ช่างเถอะ มีอะไรก็ว่ามา”



” ได้ข่าวว่า คราวนี้ท่านไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง คนอื่นผลงานน้อยกว่า ยังได้ดิบได้ดีไปหมด ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี เพราะเคยผ่านจุดนี้มาก่อน อุตส่าห์ทำงานให้คนๆ หนึ่ง สุดท้ายกลับถูกมองข้ามไม่เห็นความดี ข้าเข้าใจความรู้สึกนี้ที่สุด”
“ถ้าเป็นห่วงข้าละก้อ ขอบอกว่าไม่จำเป็น เพราะว่า ข้าไม่อยากยุ่งกับท่าน และไม่สนใจด้วย”
“แต่ข้ามีบางอย่างให้ท่านสนใจ”
ถึงวันเดินทาง พระเจ้าจองโจทรงคิดถึงพระสนมซองซงยอน ทรงบอกกับนางในพระทัยว่า
“ไปด้วยกันนะซงยอน ข้าอยากให้เจ้าเห็น เมืองใหม่ที่ข้าสร้างขึ้น”
เทซูประกาศให้ทหารทราบทั่วกันว่า
” การเสด็จคราวนี้ เพื่อไปป้อมฮวาซอง ใช้การเดินทางทั้งหมด 8 วัน ฉะนั้น ต่อหน้าชาวเมืองทั้งหลาย จึงต้องแสดงถึงพระบารมีของฝ่าบาทและความยิ่งใหญ่ของราชสำนัก หน้าที่ของทหาร จึงต้องดูแลอย่างเข้มงวด ฉะนั้น ทุกคนต้องตั้งใจถวายอารักขา จนกว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้ามีอันตรายก็ต้องปกป้องด้วยชีวิต เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจครับ”
คัง ซกกีกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ข้าจะแบ่งหน้าที่ สำหรับทหารแต่ละหน่วย หน่วยหนึ่ง ประตูทุนวา หน่วยสอง ถนนจองโน หน่วยสาม ประตูซึนยี หน่วยสี่ ถนนซกโว
ทางด้านปาร์คยองมุนก็สั่งช่างภาพทุกคนให้เก็บภาพเหตุการณ์ให้ครบ
“แล้วพิธีถวายสักการะพรุ่งนี้ และการแสดงของทหารจะแบ่งงานยังไง” ปาร์คยองมุนถาม
“ครับ งานช่วงเช้าเป็นหน้าที่ช่างเขียนกัม ส่วนการแสดง เป็นหน้าที่ข้ากับช่างเขียนลีครับ”
“อึม การแสดงในเวลากลางคืน มักจะเขียนรูปลำบาก แต่ยังไง ทุกคนก็ต้องทำให้ดีล่ะ”
ด้านมินจูซีก็ทราบจากแชซกจูว่ามีการเปลี่ยนแผน



“คืนพรุ่งนี้ที่มีการแสดงกำลังพล จะมีการสับเปลี่ยนเวรยามใหม่ ทำให้เปิดทางให้พวกเจ้าลำบากกว่าที่คิด”
“สรุปแล้วยังไงกันแน่ครับ เราจะยกเลิกแผนที่วางไว้”
” ไม่ ไม่ใช่อย่างงั้น หึ พรุ่งนี้ฝ่าบาท หลังจากถวายสักการะแล้ว ช่วงบ่ายจะใช้เส้นทางนี้ เสด็จไปวัดยงจู และช่วงนี้ คือเวลาที่ฝ่าบาททรงปลอดจากทหารคุ้มกันทั้งหลาย เพราะจะสนทนาธรรมกับนักบวชหลายรูปเพียงลำพัง และช่วงนี้ภายนอกของวัดจะมีทหารคุ้มกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนของเรา จะแอบเปิดทางให้พวกเจ้า มีเวลาให้พวกเจ้าทำงาน ไม่เกินครึ่งชั่วยาม พลาดจากนี้แล้วสถานการณ์จะเปลี่ยน เพราะอีกครึ่งชั่วยาม หน่วยพิทักษ์ราชย์ที่อยู่ด้านนอกของวัด จะมาสมทบกับฝ่าบาทเพื่ออารักขาในการเสด็จกลับ ที่สำคัญ ระหว่างที่พวกเจ้าลงมือ เราจะแกล้งไปที่อื่นซะก่อน ให้มีทหารบางส่วนคอยคุ้มกันเราก็พอ เข้าใจมั้ย”
“ครับใต้เท้า หึ”
กลางคืนพระเจ้าจองโจทรงอ่านฎีกาที่ได้รับมามากมาย ชางแทวูมาขอเข้าเฝ้า
“แล้วความหมายของท่านคืออะไร ข้าใช้ป้อมฮวาซองลดอำนาจของขุนนาง เป็นความคิดที่ไม่ถูกงั้นหรือ” พระเจ้าจองโจทรงถาม
” ใช่แล้วพะยะค่ะ หลายร้อยปีที่ผ่าน รากฐานของขุนนางอยู่ที่เมืองฮันยาง แล้วฝ่าบาททรงมาสร้างเมืองใหม่ มิเท่ากับบั่นทอนฐานอำนาจของเหล่าขุนนางหรอกหรือ”
“แต่มันก็น่าแปลก ข้าดูสีหน้าท่านวันนี้ ทำไมรู้สึกเครียดนัก นี่หมายความว่าไง แสดงว่าในใจท่าน มีเรื่องบางอย่าง ที่ไม่สามารถพูดได้หรือเปล่า”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง”
” ท่านเป็นขุนนางเก่าก็จริง แต่ข้าเชื่อว่าเป็นคนสุจริตพอ ข้อนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธ และท่านก็น่าจะเข้าใจดีว่า สิ่งที่ข้าทำ ไม่มีอะไรผิด ท่านพูดถูกแล้ว ทุกวันนี้ ข้าต้องการสลายขั้วอำนาจทั้งหมด แต่ว่า นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง สิ่งที่ข้าทำ เพื่อจะช่วยราษฎรที่ถูกขุนนางกดขี่ ให้ได้รับความเป็นธรรม”
“ฝ่าบาท”



“ข้าจะปฏิรูปการเมืองใหม่โดยเริ่ม จากที่นี่ ถ้าจะพัฒนาโชซอนก็ต้องเน้นเกษตรและการค้า หากจะมุ่งสองอย่างนี้ก็ต้องส่งเสริมให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่นี่จะไม่มีการแบ่งพวก ไม่มีแก่งแย่งทางการเมือง มีแต่พระราชาที่ห่วงใยราษฎร และขุนนางที่ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง โดยให้ที่นี่เป็นตัวอย่าง แล้วเมืองอื่นก็จะเจริญรอยตาม ข้าจะทำให้บ้านเมืองของเราก้าวหน้ายิ่งกว่าต้าชิงด้วยซ้ำ แต่นี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจึงอยากขอความร่วมมือจากท่านมหาเสนาบดีซักครั้ง เพื่อให้งานนี้ลุล่วง ข้าอยากถามท่านในฐานะพระราชา ข้าทำแบบนี้ ถือว่าผิดหรือเปล่า”
เช้าวันรุ่งขึ้น ในพระราชพิธี พระพันปีเฮคยองทรงมีรับสั่งกับพระเจ้าจองโจน้ำตาคลอ
“ขอบใจมากนะฝ่าบาท ที่แม่อดทนมานาน ก็เพื่อรอดูผลงานของเจ้าในวันนี้”
“เสด็จแม่”
“เจ้าสามารถล้างมลทินให้เสด็จพ่อที่ถูกปรักปรำในอดีต ตอนนี้ถึงให้แม่ตายก็ไม่เสียดายแล้ว รีบมาถวายการคำนับเร็วเข้า”
” พะยะค่ะเสด็จแม่ เสด็จพ่อ หม่อมฉันมาแล้ว หม่อมฉันคือลูกซาน ทรงทอดพระเนตรอยู่หรือเปล่า หม่อมฉันได้สร้างเมืองใหม่ โฉมใหม่แห่งโชซอนตามเจตนาของเสด็จพ่อแล้ว”
มินจูซีให้คนไปตามซอจังบูมาพบจนได้ เขาดีใจที่เห็นซอจังบู
“มีธุระอะไร”
“มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากได้คำตอบจากเจ้า”
“คำตอบหรือ”



” ได้ยินว่าวันนี้จะมีการสับเปลี่ยนทหารที่เฝ้ายาม จากกลางวันไปเป็นเวลากลางคืน จริงหรือเปล่า ส่วนชุดกลางคืน ให้ไปเฝ้าวัดยงจู และอุทยานฮอนยงแทน”
ซอจังบูอึกอัก “เอ่อ ใช่ แต่ว่าท่านรู้ได้ไง”
“หึ แค่นี้แหละ ขอบใจที่บอก”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง ท่านจะทำอะไร”
“บุญคุณของเจ้า ข้าจะไม่มีวันลืม ขอบใจอีกครั้ง”
และ ขณะที่พระเจ้าจองโจทรงเข้าไปสนทนากับเจ้าอาวาสวัด พวกมินจูซีก็บุกเข้ามาเพราะไม่เห็นทหารยืนรักษาการณ์อยู่ มินจูซีคิดว่าซอจังบูเปิดทางให้แล้ว แต่ปรากฎว่าคังซกกีเห็นความผิดปกติจึงสั่งทหารสู้ เทซูรีบทูลพระเจ้าจองโจให้ทรงหลบก่อน
พวกลูกน้องมินจูซึทำงานล้มเหลวก็พากันหนี เทซูร้องบอก
“ถ้าไม่อยากตาย วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะดีๆ จับมัดไว้ให้หมด”
พระ เจ้าจองโจทรงตรัสกับเทซูว่า “ไม่นึกว่าจะได้เจอท่านอีก ข้ารอให้ท่านมาลอบทำร้ายซักครั้ง รู้มั้ยว่ารอนานแค่ไหนน่ะ คนลงมือถูกจับหมดแล้ว รีบไปคุมตัวผู้บงการมาให้ข้า”
“พะยะค่ะ”
เทซูพาทหารไปจับเสนาขวาแชซกจู และเจ้ากรมปกครองโอแทจิก ส่วนคังซกกีไปจับเจ้ากรมอาญา และเจ้ากรมราชทัณฑ์ด้วย แต่ทั้งสี่หนีไปได้
“อะไรนะ พวกเขาหนีไปหมดหรือ” พระเจ้าจองโจทรงแปลกพระทัย
“พะยะค่ะ คิดว่าคงจะไหวตัวทัน เลยหนีไปซะก่อน”
“เฮ่ย ส่งทหารไปจับเดี๋ยวนี้ เข้าใจมั้ย ส่งทหารไปให้หมด ยังไงก็ต้องจับมาให้ได้”
“พะยะค่ะ”



เวลาต่อมาเทซูกลับมารายงานผลให้พระเจ้าจองโจทรงทราบ
” ส่งคนไปเฝ้าด่านตรวจและค้นหาในเมืองซูวอน เชื่อว่าพวกเขาคงหนีไปไม่ไกล ภายในวันนี้ต้องจับกลับมาได้แน่ ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ หม่อมฉันลืมจับตาคนพวกนี้ไว้”
“ไม่หรอก ข้าเองก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าลงมือ”
แชจีคยอมทูลถามว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลถาม เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แล้วการแสดงในคืนนี้ให้เลื่อนไปมั้ยพะยะค่ะ”
” ไม่ ไม่จำเป็นต้องเลื่อน การแสดงกำลังพลเป็นพิธีสำคัญอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงศักยภาพของทหารให้ทุกคนได้ประจักษ์ ฉะนั้นจึงต้องมีต่อไปเหมือนเดิม ส่วนการตามหาพวกขุนนาง ให้หน่วยอื่นไปรับผิดชอบ หน่วยพิทักษ์ราชย์ ให้เตรียมพร้อมสำหรับแสดงการต่อสู้คืนนี้ เข้าใจหรือเปล่า”
เทซูน้อมรับ “พะยะค่ะ”
เทซูออกมาก็คุยกับคังซกกีและซอจังบู และพากันแปลกใจเมื่อฟังความจากซอจังบู
“หมายความว่า เป็นคำสั่งลับจากฝ่าบาท ให้ท่านทำแบบนี้น่ะหรือ”
“ใช่ ถ้าพวกเขามีการวางแผนจริง คงอยากรู้เรื่องของหน่วยทหาร ข้าเลยแกล้งทำเนียนแสดงความไม่พอใจ”
เทซูกับคังซกกีพากันโล่งอก ซอจังบูกล่าวต่อว่า
“ทีแรกก็เล่นละครไปอย่างงั้น ไม่นึกว่าจู่ๆ มินจูซีจะมาหลงกลซะได้”
“เจ้าก็เหลือเกิน อย่างน้อยน่าจะบอกเราก่อน รู้มั้ยข้ากับเทซูเป็นห่วงเจ้าแค่ไหนน่ะ”
“เฮ่อๆๆ ถ้าบอกให้รู้ก่อน พวกมันก็ต้องรู้ทัน เพราะพวกเจ้าไม่รู้ มินจูซีถึงได้เชื่อไง”
“เฮ่อๆๆ สรุปคือ ในที่สุดพวกมันก็หลงกล บุกเข้าวัดยงจู ตามที่เราคิดไว้หรือ”
“ใช่ เอ่อ แต่ยังไง ข้าก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้”
“อดห่วงไม่ได้ เรื่องอะไรอีกล่ะ”



“รู้สึกว่า จะจับพวกเขาได้ง่ายเกินไป ถ้าวางแผนก่อการร้ายจริง น่าจะทำอะไรรอบคอบกว่านี้”
” โธ่เอ๊ย จับได้ก็ถือว่าดีแล้ว ให้พวกมันวางแผนยังไงก็หนีไม่พ้นมือเราหรอกน่า เร็วเข้าไปดีกว่า ใกล้ถึงเวลาแสดงแล้ว ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ฟังว่าไปเจออะไรมาบ้าง เร็วเข้า ไป บอกให้มาไง”
การแสดงเริ่มแล้ว แชซกจูกับพวกขุนนางหลบอยู่ รอสถานการณ์ ขุนนางถามว่าเหตุการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง แชซกจูบอกว่า
” เริ่มแสดงกำลังพลแล้ว อีกหนึ่งชั่วยาม ทุกอย่างก็จะจบ เราปล่อยให้มินจูซีถูกจับ เชื่อว่าคงทำให้ฝ่าบาทชะล่าใจ แล้วคนที่เราเตรียมไว้อีกส่วน ก็จะลงมือตามแผนทันที”
ซอจังบูถามทหารว่างานถึงไหนแล้ว ทหารตอบว่า



“การแสดงต่อสู้ที่กำแพงเมืองเพิ่งจะผ่านไปครับ”
“ฮ่า งั้นอีกไม่นาน คงมีการดับไฟทั่วบริเวณนี้”
” ใช่ครับ ถ้ามีการดับไฟจริง เปิดเฉพาะข้างกำแพงคงจะดูอลังการ์มาก แต่ทุกอย่างจะอยู่ในความมืด โดยเฉพาะป้อมนี้แล้วยิ่งใหญ่ เกิดอะไรขึ้นก็แทบไม่มีใครรู้”
“เฮ่อๆ นั่นสิ ก็มันมืดนี่นา เอ่อ ว่าแต่ ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ รีบไปเฝ้าประตูตะวันออกเร็วเข้า”
“ประตูตะวันออก ที่นั่นมีทหารจาก 5 กองพลมาเฝ้าแล้วไม่ใช่หรือครับ”
“งั้นหรือ เอ ไม่ใช่คนของเราหรือไง” ซอจังบูแปลกใจ
“ไม่ใช่ครับ วันนี้ตอนฝ่าบาทไปถวายสักการะ ก็มีการสับเปลี่ยนเวรยามแล้วนี่”
“อ้อ งั้นหรือ ข้าก็ลืมไป เฮ่อๆๆ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน เอ”
ซอ จังบูยังแปลกใจและคิดถึงคำพูดของมินจูซี บวกกับเทซูที่บ่นว่าจับพวกคนร้ายได้ง่ายเกินไป ทำให้ซอจังบูนึกบางอย่างแล้วก็ตกใจมากรีบไปหาพวกเทซูกับคังซกกีทันที ซึ่งเทซูกำลังสั่งทหารว่าช่วงดับไฟให้ทุกคนระวังมากขึ้น
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่ง เราถูกหลอกแล้ว พวกเราหลงกล”
“หือ หลงกลอะไร ท่านเอาอะไรมาพูดน่ะ”
“คนร้ายจะลงมือเวลานี้ต่างหาก ถือโอกาสที่เราชะล่าใจ พอดับไฟเมื่อไหร่ พวกมันก็จะลงมือทันที”
คังซกกีตกใจ “ว่าไงนะ”

จบ ตอนที่ 75

최수종-유동근, 왕 역활에 가장 잘 어울리는 배우 /ผล Vote นักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาทของกษัตริย์ประวัติศาสตร์และผู้นำเกาหลี



최수종-유동근, 왕 역활에 가장 잘 어울리는 배우
OSEN 원문 기사전송 2009-06-10 10:52

포털사이트 '디시인사이드'가 지난 2일부터 9일까지 "'왕' 역할에 가장 잘 어울리는 남자배우는?"이라는 주제로 실시한 설문조사에서 최수종-유동근이 각각 1·2위를 차지했다.

총 1559표 중 243표(15.6%)의 지지를 얻은 최수종은 꽃미남 외모로 각종 멜로드라마를 섭렵했으나 이후 사극 '태조 왕건'과 '해신', '대조영' 등을 통해 인간적이고 책임감 강한 지도자의 모습을 선보였다. 특히 나이를 가늠할 수 없는 동안 덕에 청년시절부터 중년까지, 세대를 뛰어넘는 캐릭터 소화력이 장점으로 꼽힌다.

이어 유동근이 222표(14.2%)의 지지를 얻어 근소한 차이로 2위를 차지했다. 사극 '용의 눈물'과 '명성황후', '연개소문' 등에서 카리스마 넘치는 군주의 모습을 연기해 호평 받았다. 특히 태종 이방원 역으로 등장한 '용의 눈물'은 왕권을 둘러싼 형제들과의 피바람 속에 마침내 조선을 건국하지만 그 이면에 감춰진 인간적 고뇌와 상처를 깊이 있는 눈빛으로 연기해 강한 인상을 남겼다.

3위에는 165표(10.6%)로 '내조의 여왕' 최철호가 뽑혔다. 그동안 '장길산', '불멸의 이순신', '대조영' 등 다양한 사극작품에 출연했지만 시청자들에게 배우 최철호를 왕의 이미지로 깊이 각인시킨 것은 단연 '천추태후'다. 기존의 폭군들과 달리 최철호의 '경종'은 인간적 공감과 연민을 불러일으키며 큰 사랑을 받았다.

이 외에 '이산'의 이순재와 '태왕사신기'의 배용준, '대장금'의 임호 등이 그 뒤를 이었다.

miru@osen.co.kr



Korean to Thai Translated by ร้อยตะวัน (Roytavan)

ผล Vote นักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาทของกษัตริย์ประวัติศาสตร์และผู้นำเกาหลี

ผลการสำรวจ คะแนน Vote จากผู้ชมละครประวัติศาสตร์และผู้นำเกาหลี ทั้งสิ้น 1,559 คนวันนี้ 10 มิถุนายน 2009 จาก หนังสือพิมพ์ Osen ปรากฎว่าผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด คือ


อันดับ 1 Choi Soo Jong ได้รับคะแนน 243 (15.6%) เหมาะสมกับบทบาทกษัตริย์ประวัติศาสตร์ของประเทศเกาหลีมากที่สุด ซึ่งผลงานของเขาได้แก่ Dae Jo Yeong (KBS, 2006) , Emperor Wang Gun (KBS, 2000) , Sea God (KBS, 2004)



อันดับ 2 Yu Dong Geun ได้รับคะแนน 222 (14.2%) จากเรื่อง Yeon Gae Somun (SBS, 2007)
ในบทบาทของ แม่ทัพยอนเกโซนัม


อันดับ 3 Choi Chul Ho ได้รับคะแนน 165 (10.6%) ซึ่งแสดงเป็น Gyeong Jong / Wang Yu (The 5th King) ในเรื่อง Empress Chun Chu (KBS2) นอกจากนี้มักจะเห็นเขาปรากฎในละครประวัติศาสตร์เรื่องต่าง ๆ เช่น Dae Jo Yeong (KBS2, 2006) , The Immortal Lee Soon-Shin (KBS, 2004) , Jang Gil San (SBS, 2004)


อันดับ 4 คือ Lee Soon Jae ได้รับคะแนน 143 (9.2%) จากเรื่อง Yi San (MBC, 2007) , ผลงานละครประวัติศาสตร์ได้แก่เรื่อง Queen Seon Duk (MBC, 2009) ซึ่งกำลังออกอากาศอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ขนะนี้


อันดับ 5 คือพระเอกของเรา Bae Yong Joon ได้รับคะแนน 90 (5.8%)จากเรื่อง The Legend (MBC, 2007) King Damdeok (King Gwanggaeto the Great)


อันดับ 6 Im Ho ได้รับคะแนน 88 (5.6%) จากเรื่อง Queen Seon Duk (MBC, 2009) ในเรื่องนี้เขาแสดงเป็น King Jinji , ผลงานละครประวัติศาสตร์ได้แก่ Dae Jo Yeong (KBS1, 2006) , Dae Jang Geum (MBC, 2003) แสดงเป็น King Jeong Jong



อันดับ 7 Bae Soo Bin ได้รับคะแนน จากเรื่อง The Painter of the Wind (SBS, 2008) แสดงเป็น King Jeong Jo ผลงานละครประวัติศาสตร์ ได้แก่ The Book of Three Han (MBC, 2006) , Sea God (KBS, 2004)

ยิ่งไปกว่านั้น นักแสดงที่ทำให้ละครมีสีสันและน่าติดตาม ได้แก่ Lee Soon Jae ในเรื่อง Yi San , Bae Yong Joon ในเรื่อง The Legend , Im Hoo ในเรื่อง Dae Jang Guam ...


Roytavan@Copyright

คำพูดเป็นดั่งสายลมในยามใบไม้ผลิหรืออาจเป็นหิมะที่หนาวเหน็บในยามเหมันต์



วาทะแห่งท่านซิงหยุนต้าซือ

.....คำพูดที่ไม่ไว้หน้า...
ไว้เกียรติ ไว้ศักดิ์ศรี
ประดุจมีดที่ปลิดชีพได้
ทำลายซึ่งอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์
อีกทั้งชีวิตอันงดงามแห่งวัยรุ่น
ไปอย่างไม่เหลือเศษ.....

...อักษรคำพูดสามารถพัดเป็นลม
อันอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ
แต่ก็สามารถตกเป็นหิมะ
ที่ทวีคูณความหนาวเหน็บในเหมันต์

....การเปิดโปงความลับคนอื่น
การปลุกระดมสร้างความแตกแยก
โดยการป้อนความคิดที่เป็นอริให้กับมวลชน
คำพูดคำหนึ่งสามารถสร้างชาติได้
คำพูดคำหนึ่งก็สามารถ
ทำให้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีของคน
เสื่อมเสียและพังทลาย....

.....คนที่ไม่มีศีลธรรมในใจนั้น
ไม่ต่างไปจากซากศพที่เดินได้...
....คน....เสมือนเกาะที่จมอยู่ในทะเลขยะ...
...แห่งกิเลสและความโลภ.....

...อาตมาเคยกล่าวไว้ว่า...
.... “ถ้าหากปลายปากกาของสื่อมวลชนมีศีลธรรม...
ก็สามารถฉุดช่วยไต้หวันได้ในปัจจุบัน
...และถ้าหากปากของผู้คนมีศีลธรรม
ไม่กล่าวคำพูดที่ขัดต่อสามัญสำนึก
ก็สามารถฉุดช่วยตัวเองได้”.....

...คำพูดคำวิจารณ์หรือบทความ
ที่ไม่ตรงกับความจริงขัดต่อศีลธรรม
ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อ
หรือเป้าหมายโจมตีเสียหาย เสียเปรียบ...
เสียศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำทำลาย
อีกทั้งยังก่อให้เกิดกระแส
แห่งความมืดมนขึ้นในสังคม
ที่จะทำให้ผู้คนท้อแท้และสูญเสียกำลังใจ
ที่จะเป็นคนดีต่อไปในสังคม....

...การแถลงข้อมูลที่บิดเบือนความจริง.....
ทำให้สังคมที่เดิมผู้คนห่างเหินกันอยู่แล้ว
ยิ่งทวีความแตกแยกยิ่งขึ้น
และทำให้โลกที่เต็มไปด้วยความยากเย็นใบนี้
...ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นเป็นทวีคูณ....





The Rhetorics of Venerable Master Xing Yun of Fo Guang Shan

The words with on respect,
No dignity, no prestige
Are alike sword which could bereave the life
Destroy the glorious opportunity
For the rest of our adolescent time
Untill the dead end of our beautiful life

Words could be a gentle warm wind of springtime
Whereas it could become a viciously blizzard
Emphasize us to the dark shivery wintriness

Sell someone down the river by their secret,
Make agitation for dividing against the people
By giving the thought of opponent and enemy,
Would bring the damage to yourself

One word could build the nation
One word could bring the honour to the end

The man with no morality in the heart
Is not different from the corpse which can walk,
Look alike an island in the rubbish sea of evil wish and avarice

If the pen of mass media is full of morals,
It could elevate the nation.
If the mounth of people is full of morals,
Without the words which contrary to conscious,
It could elevate themselves.

The commentary which is distorted
And against the morality
Not only disparage the victims
By destroying their honour
It causes the darkness to the society
Which make the people downhearted and discouraged
From being the welldoer in the world

Giving the distrorted information
Makes more and more estrangement to the people,
Increases the disharmony in the society,
And make the difficult world full of cold

--------------------------------------------------------

...วาทะนี้ผู้เขียนได้คัดลอกเก็บไว้นานกว่า 10 ปี
เป็นวาทะที่ใช้เตือนใจสำหรับผู้ที่ใช้ชื่อว่า "นักเขียน"
...เพราะคมใดก็ไม่คมเท่าคมปากกา...
เพราะ...ปลายปากกาของท่านสามารถฆ่าคนได้...
ตราบจนถึงประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ...
ยากนักที่จักลบเลือนได้...
"นักเขียน"...จึงเป็นอาชีพที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในสังคม...
เพราะทุกอักษรที่จารึกลงบนแผ่นกระดาษนั้น
ล้วนเป็นอักษรในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น


กาญจน์มุนี (ร้อยตะวัน)

-------------------------------------

Roytava has kept hese rhetorics for more than 10 years.
These are rhetorics to remind everyone who is the writer.
There is nothing sharper than penpoint.
Cause it can kill people deeply to history and soul
Harder to fade what you wrote away
Then "The Writer" is instrumental in everything of every society
Every character which was wrote on the paper
would be come a character in history at all


Written by Roytavan(Kanmunee Srivisarnprob)
Translation from Thai to English by Kelley


Monday 8 June 2009

Gongmin of Goryeo:[공민왕 영정] : The Artist King.


"A Frozen Flower" Korean Movie
คุณ ร้อยตะวัน มี VOD ให้ชม จนต้องไปแสวงหาแผ่นหนังมาดู แต่แผ่นยังเดินทางมาไม่ถึง พอดีนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เลย ขออนุญาต หยุดเรื่อง ของ ลี มินฮุง และ คัง จุนซาง ไว้ก่อน คือ ดิฉัน มัว แต่ติดตาม จุนซาง ไปตามหา พ่อ เลยยังไม่มีเวลาเล่าตอนที่ 16 ของ WLS ต่อ น่ะค่ะ จุนซาง ก็ มัวแต่ เทียวไปเทียวมา ระหว่าง โซล และ ชุนชง ดิฉัน ติดตามจุนซาง ไป ตลอด ก็เลย เหนื่อยมาก ๆ ( จุนซาง เริ่ม ตามหาพ่อ เมื่อ สิบปีที่แล้ว ( จริงๆ คือ เมื่อปี 2002) แต่ปีนี้ 2009 ที่เมืองไทยบ้านเรา น้องๆหลายคนหลายจังหวัด ทั้งน้อง ผู้ชาย น้องผู้หญิง ตามหา คุณพ่อ ญี่ปุ่น กันจ้าละหวั่น เป็นข่าวรายวันเลยทีเดียว ซึ่งน่าชื่นชมเจ้าหน้าที่ต่างประเทศของไทยเรานะคะที่พยายามตามหา คุณ พ่อ ให้น้องๆ เหล่านั้น ไม่รู้ ว่าน้อง ๆ in trend การตามหาพ่อ ของ คัง จุนซาง หรือ คัง จุนซาง เมื่อ ปี 2002 กลับมา in trend เรื่อง จริง ในเมืองไทย ในปัจจุบัน

ดิฉัน เลย ขอ ทิ้งเรื่องของพลเมืองคนที่วุ่น ๆ วาย ๆ เหลือเกิน ของกรุงโซล ( ก็ อาณาจักร โซซอน แหล่ะค่ะ ) คือ ลี มินฮุง และ คัง จุนซาง ย้อน ไป ที่ GORYEO ดีกว่า


Gongmin of Goryeo

ก็ "กษัตริย์ศิลปินแห่งโครยอ" มาจุดประกาย นั่นเอง
ฉาก ที่ทรงดนตรี และ ทรงร้องประกอบที่คุณร้อยตะวันบอกว่าคล้าย ขับเสภา ของบ้านเรา น่าติดตามมากเลย แถม ทรงวาดภาพ ได้อีกด้วย
จู จินโม และ โจ อินซอง ประชันบทบาท กษัตริย์ และองครักษ์ ที่ มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา กันบนจอ

เมื่อชิลลา รวม สามอาณาจักร โคคุเรียว แพคเจ และชิลลา เป็นหนึ่งเดียว ได้ ในปลายศตวรรษที่ 9 ต่อมาบ้านเมือง ก็เริ่มไม่สงบ เพราะบรรดาขุนนางของชิลลา ฉ้อราษฏร์ บังหลวง ทั้ง โคคุเรียว และแพคเจ ก็มีคนมีฝีมือ แยกตนเป็นอิสระ เกิด โคคุเรียว ยุคหลัง แพคเจ ยุคหลัง กลับ เป็น สามอาณาจักรอีกครั้ง สำหรับ โคคุเรียว หรือ โคกุริออ ยุคหลัง ได้เปลี่ยน ชื่อ อาณาจักร เป็น โคเรียว หรือ โคริออ หรือ โครยอ โดย กษัตริย์ TaeJo Wang Geon และต่อมาได้รวม สามอาณาจักร สำเร็จ ใหม่ ใน ปี ค.ศ. 936


TaeJo of Goryeo

เริ่ม ต้นราชวงศ์ โคเรียว เป็นกษัตริย์ TaeJo of Goryeo

Goryeo มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เริ่ม ทำการค้าระหว่างประเทศ จากการ ค้าขาย กับต่างประเทศนี้เอง
เป็นที่มา ของ คำว่า KOREA ซึ่งก็มาจากชื่อของอาณาจักรนี้ ที่มีการค้าขาย กับ ชาวต่างชาติมาก ส่วน ไทย เราเรียก เกาหลี ตามสำเนียง จีน

Goryeo เป็นอาณาจักร ในช่วง ค.ศ . 918-1392 ( ค.ศ .918 ยัง มีอาณาจักร Balhae และ Silla เป็น ช่วงท้าย ของ 2 อาณาจักร นี้)

กษัตริย์ กงนิม องค์ ที่ 31 ของ GORYEO ในช่วงปี ค.ศ. 1330-1374 ก็นับเป็นช่วงปลายของราชวงศ์ GORYEO
ราชวงศ์นี้ มีกษัตริย์ ทั้งสิ้น 34 พระองค์ กษัตริย์พระองค์ ที่ 32 ทรงครองราชย์เพียง 14 ปี กษัตริย์องค์ที่ 33 ทรงครองราชย์ เพียง ปี เดียว และ องค์ สุดท้าย ทรงครองราชย์เพียง 3 ปี
เพียง 18 ปี หลังจาก กษัตริย์ กงนิม สิ้นพระชนม์ อาณาจักร GORYEO ที่รุ่งเรือง ใน หลายๆ ด้าน โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ นั้น อาณาจักรนี้ก็ ล่มสลาย แล้ว กลายเป็น อาณาจักร โซซอน

Goryeo เกิดความไม่สงบจากภายในอาณาจักร และการรุกรานจากประเทศจีน จน นายพล ลี ซองแก แม่ทัพของ GORYEO ได้ นำกองทัพ ยึดอำนาจจากกษัตริย์ เพราะ กษัตริย์ อ่อนแอ ไม่สามารถปกครองให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขได้ นายพล ลีซองแก ตั้งตนเป็นกษัตริย์ และเปลี่ยนชื่อ ประเทศ จาก GORYEO เป็น JOSEON ในปี ค.ศ. 1392 และเป็น กษัตริย์ TaeJo Of Joseon

TaeJo Of Joseon

และในปี ค.ศ. 1394 อันเป็นปีที่ สาม ของ โซซอน กษัตริย์ TAEJO OF JOSEON ได้ ย้ายเมืองหลวง มาตั้งที่เมือง ฮันยาง ซึ่ง ก็คือ กรุงโซล ในปัจจุบันนี้

อาณาจักร GORYEO บาง ท่านเรียก โคเรียว บางท่าน เรียก โคริออ บางท่านเรียก โครยอ

เมื่อ วันวิสาขบูชา คุณ ร้อยตะวันเขียนเรื่อง วันวิสาข ที่ประเทศกาหลี มีภาพน่ารัก ๆ ของหนูน้อย ที่แต่งตัว แบบหลวงจีนน่าเอ็นดู หลากหลายอารมณ์ของหลวงจีนน้อยหลายๆ คนมากเลย ขอตัดตอน ข้อความของคุณร้อยตะวันมาดังนี้
ประเทศเกาหลีจะมีเทศกาลงานบุญวันวิสาขบูชาเช่นเดียวกันกับบ้านเรา แต่บ้านเขานั้นเขานับวันเดือนทางจันทรคติต่างกับบ้านเรา… พูดง่ายๆก็คือถ้าเอาวันวิสาขบูชาของบ้านเราลบด้วย 7 ในปีนี้เทศกาลวันวิสาขบูชาของเกาหลีใต้จะอยู่ราววันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แต่เขาจะจัดงานเฉลิมฉลองในช่วงก่อนจะถึงวันวิสาขาบูชาราวๆ 3 สัปดาห์ต่อเนื่องเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์งานบุญวันวิสาขบูชา




ไฮไลต์จริงๆ คือเทศกาลโคมบัว จะเริ่มก่อนวันวิสาขบูชา ราวๆ 1 สัปดาห์ก่อน เขาถือว่าบัวเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ช่วงนั้นจึงมีทั้งเทศกาลจุดโคมประทีป นิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนา การสอนทำโคมบัว และมีวันแห่งการปิดถนนพระเดิน พิธีเปิดขบวนพาเหรดไล่เรียงกันไป

ในงานเทศกาลนี้ทางหน่วยงานราชการเกาหลีจะให้ความสำคัญกับเทศกาลไม่น้อย และ ทุกปีจะมีการประดับประดาโคมไฟดอกบัวทั่วกรุงโซลและจะมีมากที่สุดก็เห็นจะเป็นแถบๆ วัดพงอึนซาที่ใช้จัดงานพิธีต่างๆ เหล่านี้โดยเฉพาะในช่วงนี้ใครที่นับถือศาสนาพุทธมหานิกายก็จะเข้าไปในวัด เข้าไปทำโคมดอกบัวไปแขวนถวายที่วัดถือเป็นพุทธบูชาค่ะ บางคนก็จะมารักษาศีลกินมังสวิรัติ คล้ายๆ บ้านเราเช่นกัน



ศาสนาพุทธ
ก่อน อาณาจักร Goryeo ในช่วงของ อาณาจักร ชิลลา นั้น เป็นที่กล่าวกันว่า ยุค ชิลลา รวม 3 อาณาจักร คือ โคคุเรียว ของกษัตริย์ จูมง และ ทัมด๊ก เพคเจ ของ กษัตริย์ มู ( ซอดองโย) รวม กับ ชิลลา นั้น ถือเป็น ยุคทอง ของ วัฒนธรรมเกาหลี โดยเฉพาะทางด้าน พุทธศิลป์

ศาสนา พุทธ เข้าไปในเกาหลี เมื่อ ราชวงศ์ โคคุเรียว ในสมัยพระปิตุลา ของ กษัตริย์ กวางแกโตมหาราช ใน ค.ศ. 372
Goguryo was the first Korean Kingdom to adopt Buddhism as a state religion in 372,under King Sosurim reign.

ที่แพคเจ ในรัชสมัยของ กษัตริย์ Chimnyu ( ค.ศ. 384-385) ขอลอกทั้งประโยคเลยว่า
Also in 384 .the Indian Buddhist monk Marananta came to Bakeje from Eastern Jin. King Chimnyu welcomed him into the palace,and shortly thereafter adopted Budddhism .In 385 he order that a Buddhist temple be built at the Bakeje capital of Hansan and ten people became monks..

สำหรับ ชิลลา เพราะไม่ค่อยสนใจ ชิลลา เลยไม่ทราบว่า ศาสนาพุทธ เข้ามา ชิลลา เมื่อไรน่ะค่ะ ฝากคุณ ร้อยตะวัน มาเสริมให้ทีหลังได้ไหมคะ

ในอาณาจักร GORYEO (ค.ศ 918-1392) ศาสนาพุทธมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด มีงานจิตรกรรมแบบพุทธ และศิลปวัตถุอื่นๆเกิดขึ้นมากมายในวัดต่างๆทั่วประเทศ มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชนชั้นปกครอง พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และมีอิทธิพล ต่อระบบการเมืองการปกครองเป็นอย่างมาก



มีวัดแฮอินซา ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติ คายาซาน สร้างขึ้นในปี ค.ศ 802 เก็บรักษาศิลปวัตถุจำนวนมาก ในอาคาร 90 อาคาร (ศาลเจ้าและกุฎิและอาคารย่อยต่างๆ ) เป็นที่เก็บรักษาแผ่นไม้แกะสลัก สำหรับพระไตรปิฎก ฉบับ เกาหลี จำนวน 8 หมื่นแผ่น เป็นการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ ที่สุด ของเอเชีย ตะวันออก แผ่นไม้เหล่านี้ทำขึ้นในปี ค.ศ 1251 เป็นการขอร้องให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองประชาชนในช่วงที่ กองทัพมองโกเลียกำลังรุกรานประเทศ


Tripitaka Koreana Woodblocks


Haeinsa Temple Janggyeong Panjeon,
the Depositories for the Tripitaka Koreana Woodblocks


ในปี ค.ศ.1995 องค์การยูเนสโกได้จัดให้แผ่นไม้แกะสลักพระไตรปิฎก (Tripitaka Koreana Woodblocks) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า พระไตรปิฎกแห่งจางยองพันจอน (Tripitaka Koreana of Janggyeong Panjeon) เป็นหนึ่งในมรดกอันมีค่าของโลก

( วัด แฮ อึนซา จากหนังสือ เล่มนี้ กับ วัด พงอึนซา ของคุณ ร้อยตะวัน จะเป็น วัดเดียวกันไหมหนอ)

(ใน ค.ศ .802 มี อาณาจักร ชิลลา และ บัลแฮ)

ส่วนสมัยราชวงศ์โซซอน (ค.ศ.1392-1910) มีการยกย่องลัทธิขงจื้อกลายเป็นหลักปรัชญาในการบริหารประเทศ เป็นคติธรรมประจำชาติและสร้างสรรค์งานด้านวรรณศิลป์ บรรดา ปัญญาชนในสมัยโซซอนจึงผลิตงานศิลปะที่แสดงถึงอิทธิพลของลัทธิขงขื้อและศิลปะแบบจีน ในขณะเดียวกัน จิตรกรรมพื้นบ้านซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่สามัญชน กลับไม่ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดใดความคิดหนึ่ง จึงมีการใช้เทคนิคการเขียนภาพที่เป็นอิสระ แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึก รวมทั้งใช้สีสันสดใสเพื่อสื่อถึงพลังอารมณ์และความรื่นเริง

Lee Seo Jin - Yi San (King Jeong Jo of Joseon

King Jeong Jo's Portrait

Yi San - Seong Yeon


เกาหลี มีละคร ที่สื่อ เรื่องศิลปะการวาดภาพ ของ สมัยโซซอน เรื่อง YI-SAN นั่นเอง จิตรกร สาว ที่ได้ เป็นพระสนมเอกของกษัตริย์ Jeongjo คือ พระสนม ซงยอน เคยไปศึกษา ศิลปะการวาดภาพที่ ประเทศจีนด้วย

เกาหลี และจีน ต้องรบกันตลอด สำหรับจีน ตั้งแต่ ราชวงศ์ ฮั่น (ก่อนกษัตริย์จูมง สถาปนา โคคุเรียว) ราชวงศ์ สุย ราชวงศ์ ถัง ( โคคุเรียว ล่มสลายในราชวงส์ถัง)

จนมาถึง GORYEO ต้อง รบกับ จีน ใน ราชวงศ์ หยวน ซึ่ง กุบไลข่าน หลานชาย ของ เจงกีสข่าน เข้ามาล้มล้างราชวงศ์ ช่ง และตั้งราชวงศ์หยวนขึ้น แต่ ราชวงศ์หยวน หรือ มองโกล ก็ ปกครองจีน ได้ประมาณ 90 ปี เท่านั้น ระหว่างราชวงศ์ถัง และ ราชวงศ์หยวน ยังมีราชวงศ์ ซ่ง และเหลียว แทรก ต่อจากราชวงศ์หยวน จะเป็น ราชวงศ์ หมิง และสุดท้าย คือ ราชวงศ์ ชิง ( แมนจู )

ในสมัยโซซอน ละคร ย้อนยุค หลายๆ เรื่อง จะกล่าวถึง ต้าหมิง
ชนชาติเกาหลีได้ถ่ายทอดความเป็นอัจฉริยะทาง ศิลปะ ผ่านทางดนตรี นาฎศิลป์ และจิตรกรรม ซึ่งมีการพัฒนามาตลอดเวลา



고려 도자기 / Goryeo's Pottery



รวมทั้งเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเกาหลีรับเอาศิลปะเครื่องปั้นดินเผา มาจากประเทศจีน ศิลปะแขนงนี่ได้เจริญรุ่งเรือง และปัจจุบัน ก็เป็นศิลปะที่ชาวเกาหลีภาคภูมิใจ เครื่องปั้นดินเผาแบบศิลาดลสีเขียวอมฟ้าที่มีความสวยงามอย่างลึกซึ้งของราชวงศ์ โคเรียว (โคริออ, โครยอ ) เป็นที่รู้จักกว้างขวางไปทั่วโลก เป็นที่ต้องการของผู้ที่นิยม วัตถุโบราณ



백자 조선 / Joseon white porcelain



เช่นเดียวกับเครื่องกระเบื้องสีขาวจากราชวงศ์ โซซอน ศิลปะแขนงนี้ได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อศิลปะญี่ปุ่นในยุคสมัยต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ญี่ปุ่น รุกรานประเทศเกาหลีในช่วงปี 1950 และทำให้ศิลปะแขนงนี้เจริญรุ่งเรื่องที่ญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้




คงร้อง อ๋อ กันนะคะ ที่ ขวัญใจของพวกเรา เบ ยองจุน สนใจไปเรียน ศิลปะแล็คเกอร์ ที่ญี่ปุ่น และ
เบยงจุนได้รับเลือกให้เป็นผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะอิวายาม่า (เมืองโมริโอกะ อิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น)

เบ ยองจุน คงภาคภูมิใจกับ ความรุ่งเรืองในศิลปะด้านต่างๆ ที่ยืนยาวมาพร้อมกับ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน หลายพันปี ของ ประเทศเกาหลี

ข้อมูล มาจากหนังสือ นี่คือเกาหลี เป็นหนังสือ สำหรับการท่องเที่ยวประเทศเกาหลี




Amornbyj@Copyright