Monday 1 June 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 72

ดูออนไลน์ : ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 72 (พากย์ไทย) โดย SUMUNEE


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 72

องค์ชายมุนโฮเติบโตขึ้น เป็นที่รักของทุกคน พระเจ้าจองโจทรงหาเวลามาเล่นกับองค์ชายมุนโฮไม่เคยขาด
องค์ชายมุนโฮทูลพระเจ้าจองโจว่า “รูปกายได้รับจากพ่อแม่”
“ดีมาก แล้วรู้ความหมายของประโยคนี้มั้ ย”
“หมายถึงพ่อแม่คือผู้ให้กำเนิดทุกอย่างของเรา”
“เฮ่อๆๆ ใช่ พูดดีมาก รู้กระทั่งความหมาย ช่างเก่งจริงๆ”
“ขอบพระทัยที่ทรงชม”


แชจีคยอมทูลว่า “ระหว่างที่เรียนตำราพันอักษร หม่อมฉันสอนเรื่องความกตัญญูบ้าง ปรากฏว่าองค์ชายทรงจำได้แม่นพะยะค่ะ”
“ใต้เท้าเห็นหรือเปล่า เด็กตัวแค่นี้ เขียนอักษรด้วยพู่กันได้แล้ว หึ รู้หรือเปล่าว่าเจ้าเขียนอะไรออกมาน่ะ”
“เป็นคำว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่พะยะค่ะ”
“หึ ท่านคิดเหมือนข้าหรือเปล่า ลูกคนนี้ยิ่งโต ก็ยิ่งฉลาดมากขึ้น”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันว่า ทรงปราดเปรื่องเหมือนฝ่าบาทตอนยังทรงพระเยาว์อยู่”
“ไม่หรอกใต้เท้า ตอนนั้นข้ายังสู้เขาไม่ได้ ความฉลาดของวอนจาเหมือนจะเหนือกว่าข้าอีก ข้าจะพาไปหอตำรา อวดความสามารถให้พวกบัณฑิตได้เห็น”
“องค์ชายทรงปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ เป็นเพราะบารมีของฝ่าบาทพะยะค่ะ”
“ไม่แค่เป็นวาสนาของข้า ยังเป็นบุญของบ้านเมืองและราษฎรด้วย เพราะเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นว่าที่รัชทายาท พระราชาในอนาคตของเรา”
องค์ชายมุนโฮกลับมาเล่าให้พระสนมซองซงยอนฟัง
“หึ จริงหรือลูก วันนี้เจ้าเขียนอักษรให้เสด็จพ่อทอดพระเนตรด้วยหรือ”
“พะยะค่ะเสด็จแม่ เสด็จพ่อยังมีรับสั่งชมว่าหม่อมฉันลายมือสวย”
“หึ งั้นวันหลังต้องเขียนให้แม่ดูบ้างล่ะ แม่ก็อยากเห็นลายมือเจ้าว่าจะสวยขนาดไหน”
“พะยะค่ะ”
พระมเหสีโยอึยเสด็จมา “อ้อ พระมเหสี”
“ข้าจะมาพาวอนจาไปเดินเล่นที่อุทยาน โชคดี ไม่ได้มาสายใช่ไหม”
“ไม่สายเพคะ”


“หึ ไม่เจอวันเดียว วอนจาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะจ๊ะ”
“ขอบพระทัยพระมเหสีพะยะค่ะ”
“หึๆๆ หึ พอเห็นท่านมา ก็รู้ว่าเสด็จแม่อยากพบองค์ชายอีกแล้ว”
“ใช่เพคะ รับสั่งให้เตรียมของว่างแต่เนิ่นๆ เพื่อรอองค์ชายไปเฝ้าเพคะ”
“งั้นก็รีบไปเถอะ ทุกวันนี้เสด็จแม่ก็รอแต่องค์ชายไปเฝ้าเท่านั้น” พระมเหสีโยอึยตรัส
“ได้เพคะ หึ ไปลูก”
และขณะที่ไปเฝ้าพระพันปีเฮคยอง ทรงชื่นชมว่าองค์ชายมุนโฮหัวไว พลางตรัสถามว่าทำไมเก่ง องค์ชายมุนโฮทูลตอบว่า
“เพราะเสด็จพ่อรับสั่งว่าจะให้หม่อมฉันเป็นรัชทายาท จึงต้องใฝ่หาความรู้พะยะค่ะ”
“อ้อ เอ่อ หึๆ งั้นหรือ เสด็จพ่อรับสั่ง ว่าจะให้เจ้าเป็นรัชทายาทจริงหรือจ๊ะ”
“พะยะค่ะเสด็จย่า”
พระมเหสีโยอึยสังเกตเห็นสีหน้าของพระสนมซองซงยอนไม่ค่อยดีจึงตรัสถาม
“สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีนัก เป็นเพราะคำพูดเมื่อกี้ขององค์ชายน้อยหรือเปล่า”
“หึ ทุกวันนี้เหล่าขุนนางยังไม่พอใจ ที่ฝ่าบาทถือเสมือนลูกคนนี้เป็นโอรสของมเหสีเอก แล้วยังจะมีรับสั่งให้เป็นรัชทายาทได้ยังไงเพคะ”
“อีกหน่อยเขาโตขึ้นก็ต้องได้เป็นรัชทายาทอยู่แล้ว ข้าว่าเจ้าอย่าคิดมาก ปล่อยไปตามครรลองดีกว่านะ”
“แต่ในวัง ยังมีพระมเหสีและพระสนมวาพิน ซึ่งพร้อมจะตั้งครรภ์ได้ทุกเมื่อนะเพคะ”
” ไม่หรอก ตอนนี้เขาก็คือองค์ชายใหญ่แล้ว ไม่ว่าขุนนางจะพูดยังไง เขาก็คือสายพระโลหิตของฝ่าบาท และข้า ก็เห็นว่าไม่มีใครเหมาะกว่าเขา ที่จะครองราชย์ต่อจากฝ่าบาทอีก”
“พระมเหสี”



“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเรื่องอะไร จริงอยู่ คงมีหลายคนคัดค้านไม่อยากให้เขาเป็นรัชทายาท แต่ว่า มันเป็นปัญหาที่เราต้องคอยแก้อยู่แล้ว ส่วนเจ้าเองก็ต้องเชื่อมั่นตามนี้ ใครจะพูดยังไงก็ช่าง ลูกของเจ้ามีสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยม”
“พระมเหสี” พระสนมซองซงยอนซาบซึ้ง
เวลานั้นพระเจ้าจองโจทรงไปดูชองยายงทำงาน ชองยายงแปลกใจว่าทำไมถึงเสด็จมาได้
“อะไรกันนี่ ห้องทำงานรกยิ่งกว่ารังหนู”
“ถึงจะรก แต่ก็เป็นระบบพะยะค่ะ”
“เป็นระบบหรือ ยุ่งขนาดนี้เนี่ยนะ”
“พะยะค่ะ ที่ๆ ฝ่าบาทประทับอยู่ เป็นข้อมูลการชลประทานของเมืองซูวอน ถัดไปก็เป็นแผนผังสร้างเมืองใหม่ ส่วนข้อมูลทางนี้ และที่กองอยู่เต็มโต๊ะ ก็เป็นข้อมูลทางการค้าและการเพาะปลูก”
“งั้นก็หมายความว่า งานที่ข้าสั่ง ได้เตรียมการเสร็จแล้วใช่ไหม”
“พะยะค่ะ ถูกต้องแล้ว”
“ดีมาก งั้นพูดให้ข้าฟังซิ”
“พะยะค่ะ เชิญทอดพระเนตรนี่ก่อน นี่คือแผนที่ของอาณาเขตที่เรียกว่า ยูชอง”
“งั้นหรือ”
“มีสามด้านเป็นพื้นราบ ทิศใต้สามารถไปถึงเมือง “ชองจู” และ “นาจู” ทั้งยังเชื่อมต่อกับ “อันตง” และ “แทคู” เป็นทำเลที่ดีมาก”
“เรื่องสุสานใหม่ไปถึงไหนแล้ว” ชองยายงอึกอัก
เชกาทูลว่า “หม่อมฉันจะทูลให้ทรงทราบเอง พิธีเซ่นไหว้การเคลื่อนย้าย จะจัดที่ที่ว่าการเมืองซูวอน”
“แล้วธุรการต่างๆ จะไปทำที่ไหน”
“แถวนี้มีอาคารว่างอยู่ ให้ย้ายไปชั่วคราวพะยะค่ะ”
“แต่ว่า มันก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ควรจะสร้างที่ว่าการหลังใหม่พะยะค่ะ”
“นี่คือที่ดินที่ต้องเวนคืน หากจะก่อสร้างที่ทำการแห่งใหม่พะยะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว ไว้จะไปศึกษาดูว่าจะเวนคืนยังไงดี”
“แต่ว่าฝ่าบาท จำเป็นต้องเวนคืนขนาดนี้หรือพะยะค่ะ ที่ทำการแห่งใหม่ ไม่ต้องกินบริเวณกว้างขวางมากก็ได้”
“ถ้าเราย้ายที่ทำการ ชาวบ้านก็จะย้ายตาม อย่างน้อยก็ควรมีที่ทำกินให้พวกเขา”
“แต่ว่าฝ่าบาท ที่ดิน “200 ปัน” เท่ากับเมืองหลวงเกือบครึ่ง ทำไมต้องทำให้ใหญ่ขนาดนี้พะยะค่ะ”
“ข้ายังกลัวจะไม่พอด้วยซ้ำ จะตัดถนนใหม่ จากทางใต้เพื่อไปเชื่อมต่อกับเมืองอื่น ไม่เพียงแต่ชาวเมืองซูวอน แม้แต่คนเมืองหลวงจะโยกย้ายก็ได้”


“ฝ่าบาท จะให้ชาวเมืองหลวงย้ายด้วยหรือพะยะค่ะ”
“ใช่ เพราะข้าคิดว่า จะสร้างเมืองใหม่แทนเมืองฮันยางในปัจจุบัน”
เชกาตกใจ “หา”
“หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม เมืองใหม่อะไรกัน ถ้าทรงทำจริง รากฐานของเมืองหลวงเก่า ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของขุนนางจะถูกทำลายไปด้วย”
“ใช่ สิ่งที่ข้าทำ เพื่อต้องการขจัดอิทธิพลของพวกเขา ข้าจะพัฒนาเมืองซูวอนขึ้นใหม่ ให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการเกษตรสมัยใหม่ เข้าใจหรือยัง นี่คือจุดประสงค์ที่ข้าจะย้ายสุสานของเสด็จพ่อมาที่นี่ เพราะนี่ คือแผนการปฏิรูป ที่ข้าตั้งใจจะทำให้เห็นผลให้ได้”
พระหมื่นปีจองซุนทรงทราบจากพวกแชซกจูว่าพระเจ้าจองโจเสด็จไปเมืองซูวอนเงียบๆ ถึงสามคนแล้วก็แปลกพระทัยมาก
“และก่อนหน้านี้ ก็ส่งพวกบัณฑิตไปดูก่อน เหมือนจะสำรวจลู่ทางล่วงหน้าหม่อมฉันว่าฝ่าบาท คงจะทำอะไรบางอย่าง โดยใช้เมืองซูวอนเป็นศูนย์กลางแน่”
“ใช่ และไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแต่ทำให้เราเข้าตาจนทั้งนั้น ข้าถึงสังหรณ์ใจแต่แรก ว่าการย้ายสุสานองค์ชายซาโตเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จับตาดูคนของฝ่าบาทที่ไปเมืองซู วอน ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจใช้กำลัง”
พระเจ้าจองโจเสด็จมาดักหน้าพระหมื่นปีจองซุนที่เพิ่งเสด็จกลับตำหนัก พระหมื่นปีจองซุนทรงตกพระทัยแต่ก็แก้ตัวไปได้ว่าไปเอายาให้ญาติ พระเจ้าจองโจให้พวกเทซูไปสืบก็ทราบว่าเป็นจริงดั่งที่พระหมื่นปีจองซุนบอก
” แต่ว่าฝ่าบาท จากที่เราติดตามมาหลายเดือน แม้แต่ขุนนางหลายคน ระยะนี้ก็ไปที่นั่นบ่อยๆ ต่อให้เป็นร้านขายยาชื่อดัง แต่บางคนอยู่ไกลถึง “เฮียวตง” ทำไมต้องไปซื้อยาที่ร้านนี้ มันน่าแปลกนะพะยะค่ะ”
“ใช่ เบื้องหลังต้องมีเลศนัยบางอย่าง เพราะฉะนั้น ไปจับตาดูต่ออีก”
พระหมื่นจองซุนเริ่มรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตาม ทรงตรัสกับแชซกจูว่า
“หึ ข้าจะไม่ยอมนั่งรอความตาย หึ ท่านช่วยไปบอกมินจูซี ให้ส่งคนลอบเข้าวังหลวง”
” ส่งคนลอบเข้าวัง ความหมายก็คือ จะให้ทำอย่างคราวก่อน แอบไปถึงตำหนักใหญ่หรือพะยะค่ะ แต่หม่อมฉันว่า ทำแบบนี้มันจะเสี่ยงเกินไป ทุกวันนี้ในวังคุ้มกันหนาแน่น น่าจะดูลาดเลาไปอีกซักพัก”


“ดูลาดเลาหรือ ข้าไม่มีเวลาถึงขนาดนั้น หึ ข้าไม่อยากเป็นลูกไก่ในกำมือ ให้ฝ่าบาทบีบเล่นยังไงก็ได้ นับแต่นี้ ไม่ว่าทำไงก็ช่าง ข้าต้องเอาสิ่งที่อยู่กับฝ่าบาท กลับคืนมาให้ได้”
พระสนมซองซงยอนเจอกับพระสนมวาพิน พระสนมวาพินทักทายแล้วก็ขอตัวทันที โชบีมองตามและกล่าวกับพระสนมซองซงยอนว่า
“นับแต่องค์หญิงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคติดต่อ พระสนมก็ดูเศร้านะเพคะ”
“อยู่ดีๆ เสียลูกไปทั้งคน เป็นใครก็ต้องเศร้าทั้งนั้น”
“ได้ยินว่าทรงพยายามจะตั้งครรภ์ใหม่อีกครั้ง แต่เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวดังที่ไหนกัน”
“หุบปาก” พระสนมซองซงยอนดุ
แล้ววันนั้นเทซูกับพวกก็เห็นความผิดปกติของทหารเวร และไม่ทันไรก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นดีที่พวกเทซูคอยดูแลอย่างดี จึงไม่มีอันตรายใดๆ แม้จะต่อสู้กับคนร้ายบ้าง จนพระเจ้าจองโจได้ยินเสียงตรัสถามว่าเกิดอะไรขึ้น นัมซาโชจึงทูลรายงานว่ามีคนร้ายบุก หัวหน้าองครักษ์เข้ามาทูล
“ฝ่าบาท แถวนี้อันตราย เสด็จกลับตำหนักเถอะพะยะค่ะ”
“มีคนร้ายเข้ามาจริงหรือ”
“จริงพะยะค่ะ”
เทซูเข้ามา “ฝ่าบาท”
“เป็นไงบ้าง”


“มีบางคนถูกฆ่า บางคนหนีไปได้พะยะค่ะ”
“ส่งทหารออกไปตรวจค้น ต้องจับคนร้ายมาให้ได้”
“พะยะค่ะ ตามข้ามา”
คนร้ายกับไปรายมินจูซีด้วยความผิดหวัง
พระเจ้าจองโจทรงเดาเหตุการณ์ได้ว่าคนร้ายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะต้องการรื้อห้องทรงงาน
“เอ่อ นี่คือ อะไรหรือพะยะค่ะ” เทซูถาม
“เป้าหมายแรกที่พวกเขาต้องการ ก็คือของสิ่งนี้ เฮ่ย”
แล้วพระเจ้าจองโจทรงตรัสกับแชจีคยอมตามลำพังว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง หมายความว่า นอกจากหม่อมฉันและฝ่าบาทแล้ว ยังมีบุคคลภายนอกที่รู้เรื่องกำปั่นทองหรือพะยะค่ะ”
“ข้าก็คิดอย่างงั้น”
“แล้วจะเป็นใครได้”
“ถ้าให้เดา น่าจะเป็นพระหมื่นปี”
“หา อะไรนะ เอ่อ นี่แปลว่า ที่คนร้ายมาก็เพื่อ”
แล้วเทซูก็ได้รับรายงานว่ามีฮันแทจิกกับชางเมียงอูหายตัวไป จึงสั่งตามล่า
พระหมื่นปีจองซุนทรงโกรธมากที่แผนการล้มเหลว
“ฮึ่ม ก่อกวนจนทุกคนแตกตื่น ทหารวิ่งพล่านทั้งคืนกลับบอกว่าไม่ได้อะไรหรือ ข้าอุตส่าห์ลงทุนถึงขนาดนี้เพื่ออะไรกันแน่ ช่างไม่เอาไหนจริงๆ ปล่อยให้ฝ่าบาทมามัดมือมัดเท้า ในขณะที่เราแทบไม่มีปัญญาทำอะไรเขาได้ แล้วตอนนี้ ข้าจะทำไงต่อดี”
“ไม่แน่ว่า ฝ่าบาททรงอ้างหลักฐานเลื่อนลอยเพื่อข่มขู่พระหมื่นปีก็ได้”


” หึ ไม่มีทาง ไม่ใช่อย่างงั้นแน่ เขามีท่าทีแข็งกร้าวต่อข้านัก แสดงว่าต้องมีหลักฐานจริง หึ เราต้องเอามาให้ได้ ถึงจะไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง เข้าใจหรือเปล่า”
พระเจ้าจองโจทรงตรัสกับแชจีคยอมอีกว่าจะแต่งตั้งรัชทายาท
“ฝ่าบาท จะทรงแต่งตั้งรัชทายาทหรือพะยะค่ะ”
“ใช่แล้วใต้เท้า ข้าได้แจ้งไปทางกรมพิธีการ ให้ทำหนังสือไปบอกต้าชิง เพื่อขอความเห็นชอบ”
“แต่ว่าฝ่าบาท ตอนนี้องค์ชายยังเยาว์วัยนัก แล้วทำไมต้องทรงรีบร้อนสถาปนาด้วย หม่อมฉันเห็นว่าน่าจะรอให้เจริญพระชันษากว่านี้”
“ไม่ รอไม่ได้อีกแล้ว”
“ฝ่าบาท”
“ทีแรกข้าก็คิดเหมือนท่าน จะรอให้องค์ชายโตกว่านี้หน่อยค่อยเสนอเรื่องนี้ แต่พอผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน รู้สึกว่าเราไม่ควรรอช้าอีก ตอนนี้สิ่งสำคัญคือให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ จึงอยากรบกวนท่าน ช่วยจัดการให้ด้วย”
“เฮ่ย พะยะค่ะ น้อมรับพระบัญชา หึ”


พระสนมซองซงยอนสอนองค์ชายมุนโฮวาดภาพ โชบีก็เข้ามาบอกเรื่อง พระเจ้าจองโจมีพระบัญชาให้เตรียมการสถาปนาองค์ชายมุนโฮเป็นรัชทายาท พระสนมซองซงยอนตกใจมาก รีบไปขอเข้าเฝ้าทันที
“ฝ่าบาท ที่จะให้วอนจาเป็นรัชทายาท ไม่เหมาะอย่างยิ่ง โปรดถอนรับสั่งคืนเถอะเพคะ”
“ซงยอน”
“ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ลูกก็ยังเด็กมากนักเพคะ”
“เด็กอะไรกัน ไม่เด็กแล้ว สมัยก่อนพระเจ้า “คยองจง” ก็แต่งตั้งรัชทายาทด้วยวัยขนาดนี้”
“แต่ฝ่าบาทเพคะ”
“ทำไมเจ้าถึงคัดค้านนัก ข้าอยากให้ลูกเราได้เป็นรัชทายาท ทำไมเจ้าถึงไม่เห็นด้วย เพราะว่า เจ้าเคยเป็นคนงานมาก่อนใช่ไหม เหมือนที่พวกขุนนางเอามาพูด เจ้าก็คิดว่าตัวเองต่ำต้อย ไม่คู่ควร อย่างงั้นใช่หรือเปล่า พลอยให้ลูกเราไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม”
“ฝ่าบาทเพคะ แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องจริงไม่ใช่ หรือเพคะ หม่อมฉันเกิดมาฐานะต่ำต้อย ไร้สกุลรุนชาติ ไม่มีความเหมาะสม เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ ที่สำคัญ ฝ่าบาทยังมีพระมเหสี และพระสนมวาพินที่ยังสาวอยู่มาก มีโอกาสจะมีทายาทอีก ฉะนั้น โปรดทรงถอนรับสั่งคืนเถอะเพคะ อย่าให้ปมด้อยของหม่อมฉันกลายเป็นแผลในใจลูก ที่จะถูกคนอื่นเล่นงานได้ไหมเพคะ”
“ซงยอน”
แชซกจูมาทูลพระหมื่นปีจองซุนว่าพ่อของพระสนมวาพิน มาขอร้องให้ช่วยยับยั้งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท จึงสั่งแชซกจู
“งั้นก็รบกวนท่าน ไปบอกให้ขุนนางทั้งหลายช่วยใต้เท้ายุนละกัน เวลานี้ถ้าให้ฝ่าบาทมีรัชทายาทอีก ฐานะก็จะยิ่งมั่นคง ฉะนั้นไม่ว่ายังไงเราก็ต้องขัดขวางให้ได้ อีกอย่าง โอรสองค์นี้ไม่มีความคู่ควรซักนิด ยิ่งมาแต่งตั้งตอนนี้ก็ถือว่าเร็วไปด้วยซ้ำ เรามีข้ออ้างมากมาย สามารถพูดให้เหล่าขุนนางร่วมกันคัดค้านได้เต็มที่”
“หม่อมฉันทราบแล้วพะยะค่ะ”
และเหล่าบัณฑิตและขุนนางต่างก็ทูลให้พระเจ้าจองโจทรงถอนรับสั่งคืน
พระพันปีเฮคยองทรงตรัสกับพระมเหสโยอึยว่า


“นึกแล้วว่าซักวันต้องเป็นแบบนี้ ตั้งแต่นางมีลูกชายให้ฝ่าบาท ข้าก็สังหรณ์แล้วว่า ราชสำนักต้องตึงเครียดเพราะเรื่องนี้แน่”
“หม่อมฉันถึงอยากให้เสด็จแม่ช่วยออกหน้าซักครั้งเพคะ เพราะทรงเป็นผู้ใหญ่ของฝ่ายใน น่าจะเห็นพระทัยซงยอนบ้าง และทรงโปรดปรานองค์ชายน้อยไม่ ใช่หรือเพคะ”
“ใช่ เหมือนที่เจ้าบอก ข้ารักหลานคนนี้ราวกับแก้วตาดวงใจ แต่ติดที่พวกขุนนาง จะยอมให้ลูกที่เกิดจากสนมต่ำต้อย เป็นรัชทายาทของโชซอนได้ยังไง”
“เสด็จแม่”
“ข้าเพียงแต่ห่วงว่าองค์ชายน้อย จะรู้สึกมีปมด้อยที่คนอื่นไม่ยอมรับ ในฐานะของเขาหรือเปล่า”
และองค์ชายมุนโฮก็ทรงได้ยินพวกนางในพูดถึงเรื่องนี้ พอพระเจ้าจองโจมาพบจึงทรงทูลถาม
“เอ่อ เสด็จพ่อ ฐานะต่ำต้อย คืออะไรหรือพะยะค่ะ”
“เจ้าเอาอะไรมาพูด ทำไม จู่ๆ มาถามเรื่องนี้ล่ะ”
“เพราะหม่อมฉันชอบการเขียนรูป เป็นเรื่องต่ำต้อยหรือพะยะค่ะ”
“พ่อไม่รู้ว่าใครพูดแบบนี้กับเจ้า แต่จะเล่นงานคนๆ นั้นให้หนัก เพ้อเจ้อนัก ต่ำต้อยอะไรกัน ต่อไปห้ามพูดคำๆ นี้อีก เอางี้ พ่อจะพูดให้ฟัง ว่าอะไรคือความต่ำต้อย อะไรคือสูงศักดิ์ดีมั้ย ครั้งหนึ่ง เจ้าเคยเลี้ยงนกแล้วมันตาย เจ้าทำยังไงบ้าง”
“หม่อมฉันเสียใจมาก เลยเอามันไปฝังด้วยตัวเอง”
“และพักก่อน เคยมีนางในคนหนึ่งไม่ระวังข่วนถูกหน้าเจ้า เจ้าทำยังไงกับนาง”
“หม่อมฉันกลัวว่า นางจะถูกลงโทษ เลยบอกให้เงียบไว้ ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกให้ใครรู้เด็ดขาด”
” ใช่ เจ้าทำอย่างงั้นจริงๆ คนที่มีจิตใจเมตตา ก็คือผู้สูงส่ง ส่วนคนต่ำต้อย คือไม่เห็นใจคนอื่น เห็นใครเดือดร้อนก็ยิ่งซ้ำเติม ไม่มีความเมตตา ไม่เห็นคุณค่าของคนที่ด้อยกว่า หึ ฉะนั้น ฟังจากที่พ่อพูด คิดว่าเจ้าเป็นผู้สูงส่ง หรือต่ำต้อยกันแน่”
“หม่อมฉันเป็นผู้สูงส่ง”


” ใช่ ถูกต้อง เจ้ามีจิตใจสูงส่งยิ่งกว่าใคร และไม่ใช่ว่า เพราะเจ้าเกิดเป็นลูกพ่อหรอกนะ หากแต่ได้รับการสืบทอด ความเมตตาจากเสด็จแม่ต่างหาก เจ้าถึงเป็นเด็กดีขนาดนี้ ทีนี้เข้าใจความหมายที่พูดแล้วใช่ไหม”
“เข้าใจพะยะค่ะ”
พระสนมซองซงยอนนึกถึงพระเจ้ายองโจ ที่มีมอบแหวนให้และรับสั่งว่า
“แหวนคู่วงนี้ ได้จากเสด็จแม่ของข้า พระสนมซุกพิน เป็นของที่ระลึกมานาน ข้าขอมอบให้เจ้า เป็นการตอบแทนที่ช่วยเขียนรูปที่มีความสำคัญต่อข้า เลยอยากมอบให้เจ้าไว้”
“เอ่อ ไม่ได้หรอกเพคะ นี่เป็นสิ่งมีค่า หม่อมฉันจะรับได้ยังไง”
“ไม่เป็นไร ได้ยินว่า เจ้าเป็นเพื่อนกับองค์ชายมาแต่เด็กใช่ไหม รับไว้เถอะ เจ้ายอมเป็นเพื่อนหลานข้าที่ กำพร้าพ่อแต่เล็ก ไม่ให้ชีวิตเขาเงียบเหงาเกินไป หวังว่าต่อไปก็ยังเป็นเหมือนเดิม ใช้จิตใจอันดีงามของเจ้า อยู่เคียงข้างเขา คอยปลอบประโลม ให้เขามีกำลังใจยืนหยัดต่อไป”
พระสนมซองซงยอนสั่งให้คนนำแหวนไปทำเป็นสร้อยคอ และมอบให้องค์ชายมุนโฮใส่ไว้
“นี่คือ ของพระราชทานจากอดีตพระราชาที่มีความสำคัญมาก ฉะนั้น เจ้าห้ามทำหายหรือทำหล่นเด็ดขาด เข้าใจหรือเปล่า”
“พะยะค่ะเสด็จแม่”
“แม่คงทำอะไรเพื่อเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้ แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่ง คือเจ้าเป็นสายพระโลหิตของเสด็จพ่อ และยังมีเสด็จทวดที่คอยเป็นกำลังใจ ต่อไปจะมีพระเจ้ายองโจ คอยปกป้องคุ้มครองเจ้า ให้มีความเข้มแข็งในการยืนหยัดต่อไป”
พระพันปีเฮคยองทรงดีพระทัยมากที่องค์ชายมุนโฮมาเฝ้า พร้อมนำหนังสือที่เขียนมาให้ทอดพระเนตร
“หม่อมฉันได้ยินว่าทรงประชวร แล้วทรงหายดีหรือยังพะยะค่ะเสด็จย่า”
“หึ หายแล้วจ้ะ ย่าหายดีแล้ว ทันทีที่เห็นลายมือเจ้า โรคของย่าก็หายเป็นปลิดทิ้งโดยไม่ต้องกินเลย”
“จริงหรือพะยะค่ะ”
“หึ เราไปคุยข้างในดีกว่า ย่าให้คนเตรียมขนมของโปรดของเจ้ามาให้ด้วย หึๆ ว่าแต่ เจ้าห้อยอะไรมาล่ะนี่”
“นี่คือ สร้อยที่เสด็จแม่ประทานให้หม่อมฉัน”
“งั้นหรือ เสด็จแม่เอาแหวนทำเป็นสร้อยคอให้เจ้าหรือไง”
“พะยะค่ะ เสด็จแม่ยังตรัสว่านี่เป็นของประทานจากอดีตพระราชา ให้หม่อมฉันรักษาให้ดี ห้ามทำหายพะยะค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าไงนะ เป็นของประทานจากอดีตพระราชางั้นหรือ”
“พะยะค่ะเสด็จย่า”
“เอ่อ วอนจา เจ้าถอดให้ย่าดูชัดๆ หน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“ได้พะยะค่ะ”
พระพันปีเฮคยองทอดพระเนตรแล้วทรงตกพระทัยมา รีบเสด็จไปพบพระสนมซองซงยอนทันที
“ที่ข้ามานี่เพราะมีเรื่องสำคัญจะถามเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเอาแหวนสองวงนี้ มอบให้แก่วอนจา เป็นความจริงหรือเปล่า”
“เอ่อ เพคะ เป็นความจริง”
“หึ ข้ารู้ประวัติของแหวนคู่นี้ เป็นแหวนที่พระมารดาของอดีตพระราชาทรงหวงแหนนักหนา ทุกคนในราชสำนักต่างก็รู้เรื่องนี้ดี ว่าแหวนคู่นี้ มีความสำคัญต่ออดีตพระราชาแค่ไหน และไม่เคยทรงประทานให้ใครเลย หึ เจ้าบอกมาเร็วเข้า ทำไมอดีตพระราชาถึงประทานให้เจ้ าได้น่ะ”
“เสด็จแม่”


หลังจากฟังพระสนมซองซงยอนเล่าเรียบร้อย พระพันปีเฮคยองก็นำเรื่องนี้ไปทูลบอกพระเจ้าจองโจ
พระเจ้าจองโจมีรับสั่งให้แชจีคยอมประกาศว่า
“เนื่องจากองค์ชายน้อย ทรงมีน้ำพระทัยประเสริฐ อีกทั้งจิตเมตตา ยากจะหาใครเสมอเหมือน ข้าจึงเห็นควร ในปี “กับจิน” วันที่ 5 เดือน 5 ให้สถาปนาเป็นรัชทายาท ตามกฎมณเทียรบาล ส่วนพระมารดาขององค์ชาย พระสนมซองซงยอนนั้น ให้เป็นสนมชั้นเอก พระนามใหม่ว่าพระสนม “อึยพิน” นับแต่บัดนี้”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เราไม่เห็นชอบด้วยพะยะค่ะ”
“ฝ่าบาท มีเหตุผลอะไรถึงต้องทรงแต่งตั้งเร็วขนาดนี้ ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่น พระมเหสีก็ยังสาว นี่เป็นเรื่องที่ผิดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ขอทรงพิจารณาใหม่ด้วยเถอะ”
“ทรงพิจารณาใหม่ด้วยเถอะ”
“แต่ข้าว่ามันก็แปลกนะ สมัยก่อนองค์ชายวานพง พวกท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียว ว่าต้องรีบแต่งตั้งรัชทายาทเร็วๆ มาคราวนี้ กลับบอกว่าเร็วไปซะอีก แล้วจะให้ข้า ฟังคำพูดฝ่ายไหนดีกันแน่”
แชซกจูทูลว่า “หม่อมฉันขอบังอาจทูลซักนิด ที่เราคัดค้านไม่ใช่เพราะเกี่ยวกับเรื่องเวลา แต่เรื่องรัชทายาทนั้น มีกฎหมายกำหนดอยู่ พระมเหสีก็ใช่ว่าพระชนม์สูงนัก ในขณะที่พระมารดาขององค์ชายฐานะต่ำกว่า ไม่อาจเป็นที่นับถือแก่ผู้คน เพราะฉะนั้น ด้วยฐานะขององค์ชาย จำเป็นแค่ไหนถึงต้องสถาปนาเร็วขนาดนี้ ถือว่าไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงพะยะค่ะ”
“งั้นหรือ งั้นรบกวนท่านเสนาขวาลุกขึ้นยืนหน่อย ไม่ได้ยินหรือ ข้าบอกให้ยืนขึ้นไง”
แชซกจูจำต้องยืน พระเจ้าจองโจให้ราชเลขานำแหวนไปให้แชซกจูดู เขาดูและตกใจมาก
“ท่านเป็นคนสนิทของเสด็จปู่ เชื่อว่าคงจะรู้ ว่านั่นคืออะไรสินะ”
“ฝ่าบาท นี่คือ พระธำมรงค์ที่อดีตพระราชาทรงสวมอยู่ตลอด เพราะได้จากพระมารดาใช่ไหมพะยะค่ะ”
“ใช่ เมื่อรู้ถึงขนาดนี้ ก็น่าจะเข้าใจ ว่าแหวนนี่มีความสำคัญต่อราช สำนักแค่ไหน โดยไม่ต้องให้ข้าพูดอีก ขณะที่อดีตพระราชาสวรรคต ทุกคนต่างคิดว่า แหวนสองวงนี้ได้สูญหายไปแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างงั้น จริงๆ แล้วเสด็จปู่ ก่อนจะสวรรคต ได้ประทานให้สนมซอง และนางก็เก็บไว้ ด้วยเห็นว่าเป็นของสำคัญ ถ้าใครจะพูดอะไรอีก ก็เชิญว่ามา ขุนนางทั้งหลาย ใครกล้าขัดรับสั่งของอดี ตพระราชา ไม่ยอมรับโอรสของสนมซองให้เป็นรัชทายาทอีก ก็เชิญพูดมาได้เลย”
พระมเหสีโยอึยมาพบพระสนมซองซงยอนและเล่าเรื่องประกาศแต่งตั้งให้ฟัง
“เอ่อ ฝ่าบาทตรงตรัสแบบนี้ ต่อหน้าเหล่าขุนนางจริงหรือเพคะ”
“ใช่ นอกจากจะทรงยืนกราน แต่งตั้งวอนจาเป็นรัชทายาทแล้ว ยังมีพระบัญชาให้เลื่อนเจ้าเป็นสนมเอกด้วย ยินดีด้วยนะซงยอน”
พระสนมซองซงยอนตื้นตันใจมาก “พระมเหสี หึ”
พระเจ้าจองโจเสด็จมาคุยกับองค์ชายมุนโฮ พระสนมซองซงยอนมองแล้วก็ซึ้งจนน้ำตาไหล
“เฮ่อๆๆ หึๆ ซงยอน”
“ฮือ ฝ่าบาท”


“ร้องไห้ทำไมกัน วันนี้เป็นวันดี ทำไมต้องเสียใจด้วย”
“เสด็จแม่ ทรงเป็นไรหรือพะยะค่ะ เสด็จพ่อ ทำไมเสด็จแม่ต้องกรรแสงด้วยล่ะ”
“นางร้องไห้เพราะดีใจน่ะลูก เสด็จแม่ของเจ้า ร้องไห้เพราะความตื้นตัน เฮ่อๆๆ”
“ฮือ ลูกแม่ ฮือๆๆ” พระสนมซองซงยอนดีใจ
วันสถาปนา เทซูมาแสดงความยินดีกับพระสนมซองซงยอน
” ยินดีด้วยพะยะค่ะ นับแต่นี้ ความปลอดภัยของรัชทายาท จะอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเรา หม่อมฉัน แม้จะแลกด้วยชีวิต ก็ขอถวายอารักขาอย่างเต็มที่”
“หึ เทซู หึ”
แล้วพระสนมซองซงยอนก็เสด็จไปดูองค์ชายมุนโฮแต่งองค์
“ใส่ชุดเต็มยศแล้วรู้สึกอึดอัดมั้ยลูก”
“ไม่เป็นไรพะยะค่ะเสด็จแม่”
“หึ มาใกล้ๆ แม่หน่อยซิ นับแต่นี้ เจ้าก็คือรัชทายาทแห่งโชซอน มีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างรู้มั้ย”
“รู้พะยะค่ะ ช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ ดูแลทุกข์สุขของราษฎร ทำนุบำรุงบ้านเมือง”
“ถูกต้องแล้ว ถ้าอย่างงั้น กับผู้ใหญ่ในวังล่ะ เจ้าควรทำตัวยังไง”
“มีมรรยาทและความกตัญญู”
“หึ ถูกต้องแล้วลูก จะทำอะไรต้องรู้จักแยกแยะผิดถูก มีความยุติธรรม ไม่ลำเอียง สิ่งที่แม่พูด เจ้าต้องจำไว้ด้วยล่ะ”
“พะยะค่ะเสด็จแม่ หม่อมฉันจะจำไว้”
“หึ หึ แค่นี้แม่ก็พอใจ ไม่หวังอะไรอีกแล้วลูก ต่อไปต้องเป็นเด็กดี สืบทอดเจตนารมณ์ของเสด็จพ่อ เป็นพระราชาที่ดีในอนาคตนะจ๊ะ”
“เสด็จแม่”
พระเจ้าจองโจทรงประกาศแต่งตั้ง
” รัชทายาท คือเสาหลักอีกต้นของบ้านเมือง การมีตำแหน่งนี้ เป็นหลักปฏิบัติที่ยึดถือ มาแต่สมัยโบราณ ฉะนั้นในวันนี้ ข้าจึงขอประกาศ ให้เป็นที่รู้กัน ว่าองค์ชายมุนโฮ ขึ้นเป็นรัชทายาท โดยสิทธิ์อันชอบธรรม รับหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎร เป็นหลักชัยแห่งบ้านเมือง วันหน้าเจ้าต้องทำนุบำรุงบ้ านเมืองให้เจริญต่อจากพ่อล่ะ”
“พะยะค่ะเสด็จพ่อ”
“ถวายความเคารพรัชทายาท”
“ทรงพระเจริญๆๆๆ”

จบ ตอนที่ 72

No comments:

Post a Comment