Monday, 1 June 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 70


ดูออนไลน์ : ลีซาน ตอนที่ 70 พระสนมซงยอนเจรจาทูตต้าชิง(พากย์ไทย) โดย SUMUNEE



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 70

นัมซาโชทูลพระเจ้าจองโจว่าทหารทั้งสองฝ่ายใช้กำลังกัน จนมีบางส่วนได้รับบาดเจ็บ พระเจ้าจองโจรีบเสด็จไปดู หัวหน้าองครักษ์ทูลว่า
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ ที่จริงเราน่าจะเลี่ยงการปะทะ ใช้การเจรจา ให้พวกเขาอ่อนข้อก็ยังดี”
“ไม่หรอก พวกเขายืนกรานมาแต่แรก ไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเราท่าเดียว แล้วพวกเขามีคนบาดเจ็บหรือเปล่า”
เท ซูทูลว่า “คิดว่าไม่มีใครเจ็บหนักพะยะค่ะ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง คนของเราจึงใช้สันดาบต้านรับ และ ที่ฝ่ายเราบาดเจ็บมากกว่า ก็เพราะสาเหตุนี้แหละพะยะค่ะ”
“แต่ว่า ถึงเราไม่ใช้กำลังก็ใช่จะแก้ปัญหาได้” ซอจังบูทูล
คังซกกีทูลต่อว่า “ในเมื่อสองฝ่ายเกิดการปะทะแล้ว ถ้าเจอหน้าอีก โอกาสจะเกิดซ้ำก็มีมากขึ้นพะยะค่ะ”
“ใช่ น่าจะเป็นอย่างงั้น” พระเจ้าจองโจทรงเห็นด้วยเช่นกัน
แชซกจูกล่าวว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่อง ชางแทวูคิดว่าเป็นแผนที่ทางต้าชิงวางไว้ ชางยายงจึงทูลพระเจ้าจองโจว่า
” ข้อนี้หม่อมฉันก็สงสัยพะยะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาทกำลังเจรจากับท่านทูตอยู่ แทนที่พวกเขาจะรอฟังผลก่อน กลับสั่งให้ใช้กำลังต่อสู้ หม่อมฉันว่าเรื่องนี้ น่าจะมีการวางแผนไว้แต่แรก”
“แต่ว่า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าแปลกใจ พอรู้ว่าสองฝ่ายเกิดการปะทะ สีหน้าท่านทูตก็ตกใจมาก ถ้าพวกเขาเตรียมการไว้ก่อน แล้วที่ท่านทูตแสดงความตกใจ เราจะอธิบายยังไง ข้าว่าเรื่องนี้ น่าจะมีอะไรแอบแฝงมากกว่า ลำพังแค่จะช่วยพ่อค้าไม่กี่คน ทำไมต้องมีท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้ ต้นสายปลายเหตุ รีบไปสืบให้รู้ ให้เวลาถึงคืนนี้ ทำได้หรือเปล่า”
“ไม่ต้องนานขนาดนั้น หม่อมฉันจะสืบให้ได้ก่อนเย็นนี้”
พระเจ้าจองโจก็ทรงคิดว่าทำไมทางต้าชิงถึงดึงดันให้ปล่อยคนถึงขนาดนี้
พระพันปีเฮคยองให้ลีซังกุงไปตามซองซงยอนมาเฝ้าด่วน
“เหตุปะทะระหว่างทหารต้าชิงและคนของเรา เจ้าคงรู้แล้วใช่ไหม”
“เอ่อ ทราบเพคะ”
“หึ แล้วมีวิธีแก้ปัญหามั้ย ข้าถามเจ้าว่าสามารถคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายได้หรือเปล่า”
“หม่อมฉันคงไม่อาจให้คำมั่นในตอนนี้ แต่ว่า จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพคะ”
” งั้นหรือ ถ้างั้น ข้าจะอนุญาตให้เจ้าออกจากวังซักครั้งก็ได้ ฉะนั้น ไม่ว่ายังไง ถ้าเป็นสิ่งที่เจ้าทำได้ ต้องพยายามช่วยฝ่าบาทให้เต็มที่ เข้าใจหรือเปล่า”



“ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉัน จะทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้”
ซองซงยอนพยายามจะเข้าพบท่านทูตต้าชิงจางหย่วนเหว่ยให้ได้ แต่ขุนนางต้าชิงซึ่งเป็นอาจารย์ของซองซงยอนไม่ยอมให้พบ
“ต้องขออภัย เห็นทีจะให้เข้าพบท่านทูตไม่ได้”
“แต่ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านทูต รบกวนไปบอกหน่อยได้ไหมคะ” ซองซงยอนอ้อนวอน
“บอกแล้วว่าไม่ได้ ใต้เท้ามีคำสั่ง ห้ามชาวโชซอนมาอยู่ในเรือนรับรองแห่งนี้ ฉะนั้น เชิญท่านกลับไปซะ ไปส่งซังกุงเดี๋ยวนี้”
” เดี๋ยวก่อน คนที่ออกคำสั่ง บอกให้เจ้าแสดงกิริยาสามหาวต่อข้าด้วยหรือ มีเหตุผลอะไรถึงไม่ให้พบ ช่างไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้านนัก อีกอย่าง ชั่วดียังไงข้าก็เป็นสนม อุตส่าห์มาขอร้อง ยังกล้าปฏิเสธซึ่งหน้าอีกหรือ”
จางหย่วนเหว่ยออกมา “ห้ามเสียมรรยาท ทุกคนถอยไปก่อน ขออภัยอย่างยิ่ง เชิญข้างใน”
“แต่ว่าใต้เท้า”
” คนที่เชิญนางมา ก็คือข้า หญิงคนนี้ ข้าเคยรู้จัก สมัยที่นางไปต้าชิง จึงมาเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เข้าใจมั้ย เชิญข้างใน”



ขุนนางท่านนั้นสั่งให้ลูกน้องไปฟังว่าทั้งสองคุยอะไรกัน
“ซองซังกุงสบายดีใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ได้ยินว่าท่านได้เป็นสนม เคยคิดจะไปเยี่ยม แต่เนื่องจากฐานะไม่เอื้อ เลยต้องรบกวนให้มานี่ ต้องขอโทษด้วยนะ”
” อ้อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องแค่นี้อย่าใส่ใจเลย จริงๆ แล้ว ที่ข้ามาวันนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งจะขอถามท่าน เท่าที่ข้ารู้จักท่าน ต่อให้ดูรูปภาพ ยังให้เกียรติผู้เป็นเจ้าของผลงาน ไม่มีทางมาเพื่อกดขี่ชาวโชซอนแน่ เอ่อ สิ่งที่ท่านทำกับเรา ข้าเชื่อว่าคงมีสาเหตุเบื้องหลังบางอย่าง ช่วยบอกได้ไหมว่า อะไรทำให้ท่านตัดสินใจแบบนี้น่ะค่ะ”
“เฮ่อๆๆ แม้แต่วิธีการดูภาพของข้ายังจำได้อีกหรือ อาจเพราะว่า การวิจารณ์ผลงานคนอื่น ต้องอยู่บนพื้นฐานของมรรยาท ว่าแต่ทุกวันนี้ซังกุง คงจะเลิกเขียนรูปแล้วสินะ”
“ใต้เท้า ข้าไม่ได้หมายความอย่างงั้นค่ะ”
” งั้นต้องขออภัย หากจะคุยเรื่องอื่นละก้อ ข้าคงไม่มีเวลา นานๆ ได้พบกัน ขอแค่ถามไถ่ทุกข์สุขตามประสาเพื่อนก็พอแล้ว ฉะนั้น ถ้าจะมาพูดเรื่องอื่นละก้อ เห็นทีจะมาเสียเที่ยวแล้ว”
ซองซงยอนผิดหวังออกมา และพบกับขุนนางที่เป็นอาจารย์
“เมื่อกี้ ต้องขออภัยที่ข้าเสียมรรยาทด้วย”
“หึ ไม่เป็นไรค่ะ ข้าเข้าใจดีว่าท่านเองก็วางตัวลำบาก”
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
“งั้นข้าขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน คือ เอานี่ไปด้วย”
“นี่คืออะไรหรือคะ”
“ท่านทูตบอกว่า ให้เอาภาพนี้มามอบให้ท่านน่ะครับ”
“ท่านทูตหรือคะ”
“เป็นการแสดงความยินดี ที่ท่านได้เป็นสนมของพระราชา ยังมีกลอนอวยพร ให้ท่านมีแต่ความโชคดี”
“กลอนอวยพรหรือคะ”
“ใช่ครับ”
เวลานั้นพระเจ้าจองโจทรงทราบว่าพวกต้าชิงมีการเคลื่อนพลมาที่โชซอน เชกาฟังแล้วก็สงสัย
“เคลื่อนพลอะไรกัน พูดแบบนี้หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่า ต้าชิงคิดจะเปิดศึกกับเราหรือไง”
“น่าจะใช่” ชองยายงตอบ ทุกคนตกใจ
“มีเหตุผลอะไร ทำให้เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเปิดศึกกับเราน่ะ” พระเจ้าจองโจตรัสถาม
” ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี นับแต่ต้าชิงเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ บ้านเมืองก็ได้เกิด จราจลหลายครั้ง ทำให้ผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วน และทางการก็ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการปราบปราม จึงวางแผนก่อความไม่สงบในประเทศรอบข้าง เพื่อกันไม่ให้คนของตัวเองย้ายหนีพะยะค่ะ”



“ข้อนี้ก็อาจเป็นไปได้ แต่แค่นี้ เราจะสรุปว่าพวกเขาต้องการเปิดศึกกับเราได้ยังไง”
“ยังมีอีกเรื่อง เช้าวันนี้มีคำสั่งออกจากที่พักของทูต แต่คนเดินสาส์นไม่ได้ไปทางต้าชิง แต่ไปเมือง กวางจิน แทน”
“กวางจินเป็นเมืองหน้าด่านของทะเล ตงแฮ เส้นทางนี้ ตรงไปเมืองต้าเหลียน ซึ่งเป็นฐานทัพของต้าชิงนี่นา” พระเจ้าจองโจตรัส
” ถูกแล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันเชื่อว่าพวกเขาวางแผนแต่แรกที่จะทำแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเสียเงินไปกับการปราบจราจลหลายครั้ง และชาวบ้านก็เริ่มเบื่อหน่าย เพื่อกู้ศรัทธาคืนมา พวกเขาจึงให้เราเป็นแพะรับบาปแทน”
ซองซงยอนนำภาพที่ได้จากจางหย่วนเหว่ยมาให้พระเจ้าจองโจทอดพระเนตร
“นี่คือภาพที่ท่านทูตมอบให้เจ้าหรือ”
“ใช่แล้วเพคะ แต่ทรงทอดพระเนตรบทกวีที่เขาเขียนให้ก่อน”
” ป่าร้างไม้ผลัดใบ เดียวดายอยู่ในสวน กระทบสายลมเย็นยะเยือก ผสานดวงจิตที่เปลี่ยวเหงาเศร้าซึม เป็นผลงานของกวีชื่อ ชูฮุง ไม่ใช่หรือ”
” เพคะ ถูกต้องแล้ว ท่านทูตบอกว่าเป็นบทกลอนอวยพรให้หม่อมฉัน แต่ดูแล้ว กลับเอาผลงานของ ชูฮุง มาใส่แทน ซึ่งมันน่าแปลก หรือเขาจะมีความหมายอื่นสื่อถึงฝ่าบาทหรือเปล่า แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ออกมา หม่อมฉันจึงได้ทูลเชิญ ให้ฝ่าบาทมาทอดพระเนตรเอง ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมีความเห็นว่า อาจเป็นความนัยบางอย่างที่เขาจะสื่อถึงเราก็ได้”
“อะไรนะ”
” เท่าที่หม่อมฉันรู้จัก ท่านทูตไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบนัก ไม่แน่ว่า จะเป็นเหมือนที่เขาเขียนมา มีเรื่องบางอย่างจะทูลฝ่าบาท แต่เพราะสิ่งแวดล้อมไม่อำนวย ทำให้ไม่กล้าเอ่ยปากก็ได้ ฉะนั้นฝ่าบาท น่าจะทรงหาวิธีอื่น เพื่อคุยกับเขาดีมั้ยเพคะ ถ้าสามารถทำได้จริง ไม่แน่ปัญหานี้อาจคลี่คลายง่ายๆ ก็ได้”
พระเจ้าจองโจทรงคิดใคร่ครวญและสั่งให้ตามแชจีคยอมมาเฝ้า พร้อมให้คนไปที่หอตำราตามทุกคนมาพบ
เวลานั้นทหารโชซอนมาล้อมที่พักของจางหย่วนเหว่ย ทำให้ทุกคนไม่พอใจ ยกเว้นจากหย่วนเหว่ย
“ใต้เท้า เราเป็นทูตจากต้าชิง,พวกเขายังมาปิดล้อม ทำไมโชซอนถึงได้บังอาจขนาดนี้ ทำแบบนี้ แสดงว่าจงใจเป็นศัตรูกับเราชัดๆ”
จางหย่วนเหว่ยย้อนว่า “แล้วยังไง ท่านอยากให้โชซอนบาดหมาดกับเราอยู่แล้วนี่”
“ใต้เท้า ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
“ตอนนี้ก็ถือว่าสมใจแล้ว ที่เหลือ ก็รอแค่ทหารชิงยกทัพมาเปิดศึกเท่านั้น”
“ใต้เท้า ยังไงเราก็ไม่อยู่เฉย กลายเป็นตัวประกันของโชซอน ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายกว่านี้ เราต้องทำอะไรบางอย่าง”
แชจีคยอมมาพบจางหย่วนเหว่ย ซึ่งจางหย่วนเหว่ยบอกว่า
“ข้าต้องการจะขอเข้าเฝ้า จะไปวังหลวงเดี๋ยวนี้เพื่อเฝ้าฝ่าบาท ปัญหาทุกอย่างจะมีการเจรจาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ถอนทหารไปก่อน”
” เรื่องนี้เราเห็นจะทำตามไม่ได้ ฝ่าบาทมีรับสั่ง จะไม่ทำตามเงื่อนไขของพวกท่าน ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ที่แล้วมา เรามีแต่ความเป็นมิตร แต่พวกท่านจ้องจะทำให้เราไม่สบายใจ จึงไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ อีก แต่ว่า เพื่อไม่ให้บีบคั้นจนเกินไป และเพื่อแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้ต้าชิง จึงอนุญาตให้ท่าน ไปเข้าเฝ้าคนเดียว ฉะนั้นถ้าจะมีอะไรทูลอีก ก็เชิญไปเข้าเฝ้าเพียงลำพัง”
จางหย่วนเหว่ยมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“ท่านมาแล้วหรือ เชิญนั่ง”
“พะยะค่ะ”
“คิดว่าท่านคงจะรู้ ว่าการเชิญมาที่นี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”
“เป็นเพราะว่า ซองซังกุงเข้าใจความหมายที่หม่อมฉันจะสื่อให้ฝ่าบาททรงทราบใช่ไหม”
” ถูกต้อง ตอนที่นางให้ข้าดูภาพนี้ ยังได้ย้ำเตือนว่า ท่านคงมีเรื่องบางอย่างจะพูด ถ้านางเดาไม่ผิดละก้อ เมื่อท่านมานี่แล้ว พอจะบอกข้าได้ไหม”
“ทุกวันนี้ต้าชิง พยายามทำทุกอย่างเพื่อเรียกศรัทธาจากผู้คนคืนมา เพราะก่อนหน้านี้ ได้เสียเงินเพื่อปราบจราจล จนท้องพระคลังร่อยหรอไปมาก ด้วยเหตุนี้ ทำให้เหล่าขุนนางยิ่งเกิดความแตกแยก จึงมีบุคคลบางกลุ่ม หวังจะเปิดศึกกับโชซอน หากได้ชัยชนะก็จะได้ทั้งคำชมและสิ่งของ”
“แต่ว่า การทำแบบนี้ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ถ้าเกิดสงครามจริง รังแต่ทำให้สองฝ่ายยิ่งสูญเสีย พวกเขาไม่คิดบ้างหรือ”
” หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกับฝ่าบาท การเปิดศึกกับประเทศอื่น เพื่อกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจของตัวเอง ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูก แต่ว่า การจะต่อต้านพวกเขา โดยหม่อมฉันเพียงคนเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้”
“ไม่หรอกท่าน ท่านคิดผิดซะแล้ว”
“ฝ่าบาท”



” ถ้ายอมมาร่วมมือกับเรา ท่านจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือจะว่าไง ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งมานาน และเห็นว่า น่าจะเป็นทางออกที่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว ก็คือผลประโยชน์ต่างตอบแทน”
“ฝ่าบาท วิธีของพระองค์ก็คือ”
“ข้าจะช่วยท่านแก้ปัญหา ในขณะที่ท่าน ก็ช่วยข้าอีกแรงได้หรือเปล่า”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
พระเจ้าจองโจทรงตรัสถามชองยายงและพวกเชกาว่าของที่สั่งไปถึงไหนแล้ว
“เรากำลังตรวจสอบที่มีอยู่ในคลังเสบียงทั้งหมด”
“หากไม่พอจริงๆ จะให้ขุนนางท้องถิ่นส่งมาเพิ่ม คิดว่าคงไม่มีปัญหาพะยะค่ะ”
“หึ นี่คือข้อเสนอที่เราจะต่อรองกับทูตต้าชิง ส่งไปให้เจ้ากรมวังช่วยจัดการด้วย”
“พะยะค่ะ” แชจีคยอมน้อมรับ
“การประชุมที่ท้องพระโรงล่ะ”
“ตอนนี้ขุนนางทั้งหลาย มารออยู่แล้วพะยะค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น ข้าคงต้องไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเชื่อฟัง”
ทางด้านจางหย่วนเหว่ยก็นำเรื่องนี้ไปบอกเหล่าขุนนางต้าชิง
“อะไรนะ สัมปทานการค้าโสมหรือ”
” ใช่ ให้การค้าโสมเป็นสิทธิ์ของทางการ นี่คือสิ่งที่พระราชาโชซอนเสนอมา ที่แล้วมาโสมจากโชซอน ส่วนใหญ่ผ่านการลักลอบซื้อขาย ทำให้ราคาสูงมาก ยังความเสียหายต่อเศรษฐกิจของเรา และปริมาณความต้องการ ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ในประเทศ ฉะนั้น ถ้ากำหนดให้การค้าโสมเป็นสิทธิ์ของทางการซะ การซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้น พลอยให้ราคาถูกลง ส่วนเราก็จะได้ค่าตอบแทนปีละเป็นหมื่นตำลึง”
เวลาเดียวกันพระเจ้าจองโจก็ทรงตรัสกับเหล่าขุนนาง
” เฉพาะเงื่อนไขนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างมาก ถ้าเปลี่ยนจากการลักลอบซื้อขายเป็นสัมปทาน เราจะได้ประโยชน์สามสถานด้วยกัน ข้อหนึ่ง มีการปลูกโสมมากขึ้น เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร สอง เราส่งโสมไปขาย พ่อค้าก็จะได้เงินมากขึ้น ส่วนข้อสุดท้าย ทางการได้เก็บภาษีจากการขายโสม เพิ่มรายได้ให้แก่บ้านเมือง นี่คือสิ่งที่ ข้าคิดมานาน หวังจะใช้ช่องทางนี้ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับต้าชิงโดยการใช้โสม แม้ว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องพูดคุย แต่ว่า รอให้เรื่องนี้สำเร็จก่อน ค่อยเพิ่มเติมทีหลัง ก็ยังไม่สายนัก”
ชางแทวูทูลว่า “แต่ว่าฝ่าบาท พวกเขาจะยอมรับเงื่อนไขนี้หรือพะยะค่ะ”
” การที่พวกเขาพยายามจะก่อกวนเรา เพราะท้องพระคลังร่อยรอย และราษฎรก็เริ่มลำบาก เมื่อเราเสนอวิธีนี้ออกมา ต้าชิงจะได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนเรา ก็ได้ประโยชน์ตามที่เราคิดไว้ ถ้ามีหัวคิดหน่อย คงไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้แน่”
ฝ่ายจางหย่วนเหว่ยก็ถามเหล่าขุนนางต้าชิงว่า
” เป็นไงบ้าง ฟังอย่างงี้แล้ว ท่านยังจะทำตามแผนเดิมต่อไปหรือเปล่า ถ้าหากว่า จะยืนกรานความคิดเดิมต่อไป งั้นก็ได้ ข้าจะกลับต้าชิงเดี๋ยวนี้ และไปทูลฮ่องเต้ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง ท่านจงคิดให้ดีละกัน สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการ คือสงครามหรือว่า ผลประโยชน์ทางการค้า”
เชกาไปตรวจของ เพราะพรุ่งนี้ทูตต้าชิงก็จะไปแล้ว ขณะที่พระเจ้าจองโจตรัสกับจางหย่วนเหว่ยว่า
“พ่อค้าต้าชิงที่ถูกควบคุมตัว จะถูกไต่สวนตามกระบวนการของเรา ส่วนจะรับโทษยังไง ข้าจะหารือกับท่านอีกที”
“ได้พะยะค่ะ แต่หม่อมฉันอยากทูลขอ ให้ฝ่าบาททรงเมตตา ลงโทษเป็นการหลาบจำก็พอ”
“เรื่องคดีความ เราจะไม่มีการลำเอียง ผิดถูกก็ว่ากันไป ขอให้ท่านเชื่อใจข้าได้”
” แน่นอน หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาทอยู่แล้ว ขอทูลตามตรง หม่อมฉันรู้สึกชื่นชม ต่อพระดำริของฝ่าบาทยิ่งนัก ทรงเป็นพระราชาที่ทรงปราดเปรื่อง อนาคตของโชซอนเห็นจะรุ่งเรืองแน่”
“เฮ่อๆๆ ท่านก็ชมเกินไป ข้าเพียงแต่ หาวิธีที่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”
“แต่น้อยคนจะคิดได้แบบนี้ ขนาดต้าชิงยังรู้แต่ใช้กำลังแก้ปัญหา ในฐานะเป็นทูต หม่อมฉันรู้สึกละอายนัก”
” การที่สวรรค์ให้คนๆ หนึ่งมีอำนาจ ไม่ใช่ให้เขาไปกดขี่คนที่อ่อนแอกว่า แต่ต้องการให้ช่วยคนที่ลำบากยากเข็น เปรียบเหมือนกับ ต้าชิงที่เป็นเมืองใหญ่ทรงอิทธิพลก็เช่นกัน การช่วยเหลือประเทศที่เล็กกว่า ร่วมกันสร้างอนาคตที่ดี ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เป็นหลักการที่ควรจดจำไว้”
“พะยะค่ะ หม่อมฉัน จะไม่ลืมคำสอนของพระองค์ ต่อไปจะสนับสนุนให้ต้าชิงและโชซอน เป็นบ้านพี่เมืองน้องที่ดีตลอดไป”
“ขอบคุณท่านทูตมาก”
ลี ซังกุงเข้ามาทูลพระพันปีเฮคยองถึงความเรียบร้อย และยังชื่นชมที่ซองซงยอนเป็นคนกลางให้พระเจ้าจองโจกับทูตต้าชิงได้ปรับความ เข้าใจกัน
พระมเหสีโยอึยก็ทรงชื่นชมซองซงยอน
“เห็นว่าคราวนี้เป็นผลงานของเจ้า ช่างลำบากแท้ๆ ถือว่าเจ้ามีความดีความชอบต่อบ้านเมืองของเรา”
“ไม่หรอกเพคะ เป็นเรื่องเล็กน้อย หม่อมฉันเพียงแต่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างฝ่าบาทและท่านทูต นอกนั้นก็ไม่มีอะไร”
“ใครบอกล่ะจ๊ะ นี่แหละคืองานใหญ่ล่ะ ถ้าวันก่อนเจ้าไม่กล้าออกหน้าทำอะไรเลย ปัญหานี้ คงไม่ได้จบลงง่ายๆ แน่”
“หึ ขอบพระทัยที่ทรงชมเพคะ”
ซองซงยอนออกมาก็พบกับพระพันปีเฮคยอง
“พระพันปี”
“เพิ่งออกจากตำหนักพระมเหสีใช่ไหม”
“ใช่แล้วเพคะ”
“งั้นไม่มีอะไร กลับไปเถอะ”
“เพคะ”


ผลการทดสอบความรู้ขุนนาง ชองยายงได้ที่หนึ่ง แต่เขากลับต้องไปฝึกยิงธนูกับเทซู ซึ่งชองยายงยิงธนูไม่ได้เรื่องเลย จนเทซูบ่น
“นี่ ข้าว่าเจ้าไม่ต้องฝึกหรอก ไปนอนซะดีกว่า”
“นอนได้ไง ไม่ได้หรอก นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท ยังไงก็ต้องฝึกยิงธนูให้เป็น แหะ”
เทซูถึงกับถอนหายใจ “แต่ข้าว่า เจ้ายังไม่เหมาะที่จะถือคันธนู”
“หา แล้วยังไง”
” บัณฑิตยิงธนูไม่เป็น ส่วนใหญ่เพราะกำลังแขนไม่พอ ทำให้ง้างไม่เต็มที่ เอางี้ ก่อนจะยิงต่อ เรามาฝึกกำลังแขนก่อน มา มา ไม่พอ ยกขึ้นสูงอีก”
ชองยายงถึงกับร้องโอดครวญ จนพระเจ้าจองโจเสด็จมาเห็นทรงเข้าไปถาม
“เป็นไงบ้าง พอจะยิงเข้าเป้าหรือยัง”
“แหะ อย่าว่าแต่เข้าเป้า แค่เฉียดยังไม่มีเลยพะยะค่ะ” เทซูทูล
“ถ้าอย่างงั้น เจ้าต้องเคี่ยวให้หนักจนกว่าจะเป็นล่ะ”
“พะยะค่ะ”
” เอ่อ ฝ่าบาท ทรงปล่อยหม่อมฉันไปเถอะ หม่อมฉันทำไม่ได้จริงๆ ขอแค่ไม่ต้องใช้กำลัง เรื่องอื่นหม่อมฉันไม่เกี่ยง ทรงอนุโลมซักครั้งเถอะพะยะค่ะ”
“ไม่ได้หรอก ถึงเป็นขุนนางพลเรือน ถ้าไม่ออกกำลังบ้าง จะทำงานหนักได้ยังไง ยิงให้ข้าดูซิ”
“ฝ่าบาท”
“ไม่ต้องพูดมาก”
ผลออกมาชองยายงยิงไม่โดนเลย
“ครบกำหนดแล้วยังฝึกไม่ได้ ข้าคงต้องลงโทษซะแล้ว”
ชองยายงตกใจ “หา”
“โทษของเขาคือการเนรเทศ ตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
ทุกคนพากันตกใจ เทซูรีบทูล “อะไรนะพะยะค่ะ ฝ่าบาท รับสั่งว่าเนรเทศหรือ”
“ใช่ เนรเทศ เร็ว ไปลงเรือซะ”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“ข้างหน้าคือที่กักกันของเจ้า จนกว่าจะมีคำสั่งให้กลับมา เจ้าไปฝึกความอดทนที่นั่น เพื่อไม่ให้ตัวเองขี้เกียจ”
“หึ พะยะค่ะฝ่าบาท”
“อีกอย่าง มีการบ้านให้ทำในระหว่างเนรเทศด้วย คิดว่าต้องทำยังไง ถึงให้คนกว่าพันคนสามารถข้ามฟากในเวลาเดียวกัน”
“รับสั่งว่า ให้คนนับพัน ข้ามฟากในเวลาเดียวกันหรือ”
“ใช่”
“แล้ว ทำไมคนตั้งเยอะ ต้องข้ามฟากพร้อมกันด้วยล่ะพะยะค่ะ”
“สาเหตุเพราะอะไรนั้น ไว้เจ้าหาวิธีได้แล้ว ข้าจะบอกเอง ยืนเฉยทำไม ไปได้แล้ว”
“เอ่อ คือ” ชองยายงคบคิดปัญหาแล้วถอนใจ
ปาร์คยองมุนมาบอกทุกคนว่าทางการจะรับทหารจำนวน 2 พันอัตรา ให้ทุกคนเตรียมทำงานหนัก
ขณะที่แชซกจูก็มาปรึกษากับพระหมื่นปีจองซุน
” ฮึ่ม จู่ๆ จะรับทหารเพิ่มอีก 2 พันนาย หม่อมฉันว่าคิดก่อตั้งกองกำลังชุดใหม่แน่ นับแต่มีหน่วยทหารพิเศษ ฝ่าบาทก็ทรงมีดำริจะก่อตั้งกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ และคราวนี้ก็จะเป็นโอกาสดี ที่ได้สร้างเสถียรภาพให้แก่ราชบัลลังก์”
” ครองราชย์มาหลายปี เป็นใครก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น ทุกวันนี้ฝ่าบาทยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้น ในขณะที่ข้ายิ่งถดถอย คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง ที่สำคัญ จนวันนี้ยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทมีอะไรอยู่ในมือกันแน่ ที่จะชี้ชะตาข้าได้”
“ทรงอดทนหน่อยเถอะพะยะค่ะ หม่อมฉันกำลังสืบอยู่ เชื่อว่าไม่นานคงจะรู้”
หมอหลวงมาตรวจอาการของซองซงยอนอีกครั้ง และยืนยันว่าซองซงยอนตั้งครรภ์แน่นอน พระมเหสีโยอึยทรงดีพระทัยมาก
“เจ้าเก่งมาก มีผลงานชิ้นใหญ่อีกแล้ว”
“ยินดีด้วยนะคะ”
“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ”
” ต่อไปต้องระวังตัว จะลุกจะนั่งก็ควรช้าๆ ไว้ จนกว่าลูกในท้องจะแข็งแรงและคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ไม่ว่าทำอะไรก็อย่าให้กระเทือนถึงเด็กได้ล่ะ”
“หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ”
“แล้วทำไมข้ายังอยู่นี่ ต้องรีบไปทูลฝ่าบาทซะแล้ว คงจะดีพระทัยยิ่งกว่าใครทั้งหมด ข้าจะไปตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้”
“หึ เพคะพระมเหสี”
พระมเหสีโยอึยทรงไปทูลบอกข่าวดีต่อพระเจ้าจองโจ
“เจ้าบอกว่าไงนะ”
“หึ ซองซังกุงตั้งครรภ์แล้วเพคะ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย”
“หึ เป็นความจริงหรือ”
“จริงเพคะ เมื่อกี้หมอหลวงไปตรวจและให้การยืนยันแล้ว”
พระเจ้าจองโจทรงดีพระทัยมาก เสด็จมาหาซองซงยอนทันที
“หึ ซงยอน”
“ฝ่าบาท”
“เฮ่อ นี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ ที่มีความหมายที่สุดในชีวิต ขอบใจเจ้ามากนะ”
“ฝ่าบาท”
“หึ มา นั่งก่อนเร็ว ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ”
“ไม่เหนื่อยเพคะ”
“มานั่งใกล้ๆ ข้าซิ หึ ถ้าเหนื่อยก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ หรือถ้าหงุดหงิด ก็ระบายอารมณ์ออกมาได้ ข้ายอมให้เจ้าอาละวาดเลย”
“ขอบพระทัยเพคะ”
พระสนมวาพินทราบก็มาเยี่ยมซองซงยอน
“หึ พระสนมเสด็จมาเยี่ยมด้วยตัวเอง ขอบพระทัยเพคะ”
” ไม่เป็นไร นี่เป็นข่าวดีของราชสำนัก ข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่แล้ว จริงสิ เสด็จแม่รับสั่งอะไรหรือเปล่า ในที่สุดฝ่าบาทก็จะมีทายาทที่ทรงรอนาน เสด็จแม่คงดีพระทัยมาก จริงหรือเปล่า”
“เอ่อ หม่อมฉัน ยังไม่ได้เข้าเฝ้าเสด็จแม่เลยเพคะ”
“หา อะไรนะ ยังไม่ได้เฝ้าเสด็จแม่อีกหรือ ป่านนี้น่าจะทรงรู้ข่าวว่าเจ้าตั้งครรภ์ ทำไมยังไม่ให้เข้าเฝ้า เพื่อปูนบำเหน็จอีกล่ะนี่”
พระเจ้าจองโจเองก็ทรงทราบว่าพระพันปีเฮคยองยังไม่ให้ซองซงยอนเข้าเฝ้าจึงเสด็จไปหาพระพันปีเฮคยอง
“เจ้าจะมาพูดอะไรกับแม่อีก ไหนๆ ซองซังกุงก็ตั้งครรภ์ น่าจะมีหนังสือแต่งตั้งให้นางซะ จะมาพูดเรื่องนี้ใช่ไหม”
” เสด็จแม่ ที่หม่อมฉันจะทูล ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ซองซังกุงเข้าวังมา จนวันนี้ก็เกือบครบปีแล้ว ถ้าเสด็จแม่ได้ทรงสังเกตนางบ้าง จะเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ทรงคิด เสด็จแม่”
“พระพันปี ซองซังกุงมาขอเฝ้าเพคะ”
“ให้เข้ามาได้”
ซองซงยอนเข้ามา “ฝ่าบาท”
” นั่งลง ที่แม่ให้นางมาพบ เพราะมีเรื่องสำคัญจะพูด แต่ว่า เรื่องนี้เจ้าก็ควรรับรู้เลยฟังพร้อมกันก็ได้ เอานี่ไป หนังสือแต่งตั้งให้เจ้าเป็นสนมอย่างเป็นทางการ”
“หึ พระพันปี” ซองซงยอนดีใจมาก
“แม่จะให้นางเป็นสนมขั้นสาม ตำแหน่ง โซยอง ฉะนั้น ตอนนี้เจ้าคงไม่ต้องพูดมากอีก”
“เสด็จแม่”
” ถือว่าเจ้าได้รับการแต่งตั้งตามกฎของฝ่ายในอย่างถูกต้อง และข้าก็ยอมรับเจ้าเป็นสะใภ้ นับแต่นี้ ไม่ต้องเรียกข้าว่าพระพันปีอีก ให้เรียกเสด็จแม่เหมือนคนอื่นก็ได้ เข้าใจมั้ย”
“เอ่อ เพคะ”

จบ ตอนที่ 70

No comments:

Post a Comment