Friday 5 June 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ดอนที่ 74


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ดอนที่ 74

พระมเหสีโยอึยและพระพันปีเฮคยองเสด็จไปที่วัด เพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยหวังว่าอาการป่วยของพระสนมซองซงยอนจะทุเลาขึ้น พระเมตตาของพระมเหสีโยอึยที่มีต่อพระสนมซองซงยอนทำให้พระพันปีเฮคยองทรงตื้นตันพระทัยไม่น้อย
พระสนมซองซงยอนให้เทซูช่วยตามซองซงอูมาพบ
“ทำไมยืนอยู่ล่ะจ๊ะ นั่งเร็วเข้า หึ นึกๆ ดู ข้าช่างไม่เอาไหนจริงๆ เหลือไว้ให้เจ้า มีแต่เรื่องเศร้าโศกเสียใจทั้งนั้น”
“ทำไมรับสั่งอย่างงั้นล่ะพะยะค่ะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ ทำไมพระสนมถึงได้ ฮือ”
“ซงอู”
ซองซงอูร้องไห้อย่างไม่อาย “ฮือๆๆ”
“หึ มาเยี่ยมก็ดีแล้ว ร้องไห้ทำไม พี่ไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ”
“ฮือ พระสนม”
ทางด้านพระเจ้าจองโจทรงตามหมอข้างนอกมาตรวจ หมอได้แต่มองว่าอาการของพระสนมซองซงยอนยากจะรักษา เพราะปล่อยไว้นานเกินไป ซองซงอูมาขอเข้าเฝ้า
“ฝ่าบาท”
“มาแล้วหรือ”
“พะยะค่ะ”
“ได้พบซงยอนแล้วหรือยัง”
“พบแล้วพะยะค่ะ”
“อาการของนาง นับวันจะยิ่งทรุดหนักลง หมอทุกคนที่มาดู ต่างบอกว่าหมดทางเยียวยาทั้งนั้น แต่ว่าข้าไม่อยากเสียนางไปแบบนี้ จะไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด ถ้าหมอในโชซอนเกินความสามารถ ข้าจะให้หมอที่อื่นมารักษาดู ไม่ว่าใครก็ตาม ขอเพียงรักษานางได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธเลย”
“ฝ่าบาท”


“ที่ข้าตามเจ้ามา ก็เพื่อจะปรึกษาเรื่องนี้ คิดว่าเจ้า น่าจะมีความรู้ทางนี้มากกว่า”
“เอ่อ หม่อมฉันมีความรู้ ทรงหมายถึงเรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ”
พระเจ้าจองโจคิดจะให้หมอต่างชาติมารักษา นัมซาโชได้ยินก็ตกใจ
“ฝ่าบาท จะให้หมอต่างชาติมารักษาหรือพะยะค่ะ”
“ใช่ เห็นว่าทุกวันนี้ หมอฝรั่งไปทำงานที่ต้าชิงมากมาย และข้าก็รู้มาว่า คนที่มาเผยแพร่นิกายชอนจู มีบางส่วนรู้เรื่องการแพทย์ของชาติตะวันตก”
“เกี่ยวกับการแพทย์ตะวันตก หม่อมฉันก็เคยได้ยินคนร่ำลือเหมือนกัน แต่วิธีรักษาของพวกเขา มักนิยมใช้การผ่าตัด กรีดเฉือนอวัยวะต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นวิธีโหดร้ายเกินจะรับได้นะพะยะค่ะ” แชจีคยอมว่า
“ข้าก็รู้ว่าวิธีเหล่านี้ คนทั่วไปมักจะกลัวและไม่เชื่อถือ แต่พวกเขาก็ใช้แนวทางนี้ รักษาโรคร้ายมาหลายชนิดจนหายเป็นปกติไม่ใช่หรือ”
ชองยายงทูลว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันก็เคยได้ยินพะยะค่ะ มีการใช้น้ำแข็งทำให้เนื้อชา,หรือใช้ยาระงับความเจ็บปวด จากนั้นก็ตัดเอาชิ้นส่วนที่เป็นเนื้อร้าย ปล่อยให้ร่างกายสมานเอง”
“ถูกต้อง จริงอยู่ เป็นการรักษาที่ค่อนข้างเสี่ยง แต่คราวก่อนมีทูตไปต้าชิง ใต้เท้าชางชุงซกบอกว่า เขาเคยเห็นหมอฝรั่งคนหนึ่งใช้วิธีผ่าตัด รักษาคนที่เป็นเนื้อร้ายให้หายได้”
“แต่ว่าฝ่าบาท แม้จะเคยมีตัวอย่างมา แต่พระสนมเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของเรา ถ้าใครรู้ว่ามีการลงมีดกับพระวรกาย หม่อมฉันเกรงว่า เหล่าขุนนางอาจไม่เห็นด้วยก็ได้” นัมซาโชทูลแย้ง
“ยังไงก็ช่างเถอะ ขอเพียงรักษาพระสนมให้หายได้ จะด้วยวิธีไหนก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น”
พระเจ้าจองโจเรียกเทซูมาพบ และทรงมีรับสั่งว่า
“เจ้าไปต้าชิงได้ไหม”
“ฝ่าบาทจะทรงทำอย่างงั้นแน่หรือพะยะค่ะ แม้ว่า หม่อมฉันจะไม่รู้เรื่องการแพทย์ก็จริง แต่ว่า เกี่ยวกับการเฉือนเนื้อ ผ่าตัดร่างกาย มิเสี่ยงไปหน่อยหรือพะยะค่ะ”
“เจ้ากลัวใช่ไหม ใช่ บอกตรงๆ ว่าข้าก็กลัวเหมือนกัน ข้ากลัวที่จะทำอย่างงั้น”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“แต่เทียบกับผ่าตัดแล้ว ข้ายิ่งกลัวว่าเวลาผ่านไปแต่ละ วัน โดยไม่มีประโยชน์ และไม่รู้ว่าวันไหน ซงยอนจะไปจากข้า นี่คือสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด ไม่แน่ว่านี่อาจเป็น ความหวังสุดท้าย สำหรับชีวิตนางก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น รบกวนเจ้าไปต้าชิงซักครั้ง ถ้าเจอหมอที่เก่ง ก็รีบพามาให้เร็วที่สุด”
ลีชองรู้เรื่องที่พระเจ้าจองโจให้เทซูไปตามหาหมอที่ต้าชิงก็กลับมาเล่าให้ทุกคนฟัง และชวนทุกคนช่วยกันอธิษฐาน ขอให้พระสนมซองซงยอนหายจากโรคร้ายไวๆ
ขณะที่พระสนมซองซงยอนรู้เรื่องก็ห้ามไม่ให้เทซูไป
“รับรองว่าไม่ต้องทรงรอนานนัก หม่อมฉัน จะรีบหาหมอที่เก่งมารักษา”
“อย่าเสียเวลาอีกเลย ได้ยินหรือเปล่า ไม่ต้องไป ทางด้านฝ่าบาท ข้าจะทูลให้เอง”
“พระสนม”
“เป็นการเสียแรงเปล่า เชิญมาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะข้า อาการหนักเต็มทีแล้ว”
“ใครว่าอาการหนัก หม่อมฉันไม่ให้รับสั่งอย่างงั้น มันยังไม่สายไป ทุกอย่างยังไม่สายเกินแก้”
“ไม่หรอกเทซู เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ข้าไม่อยาก ไม่อยากให้ฝ่าบาท ทรงคาดหวังในการรักษาข้าอีก”
“พระสนม”
“ฮือ เข้าใจหรือเปล่า ฝ่าบาทจะทรงเป็นทุกข์ แต่ละครั้งที่ทรงคิดว่ามีทางรักษาข้า มันจะกลายเป็น ภาระที่หนักอึ้งสำหรับพระองค์ ฉะนั้น ถ้าทรงทำพระทัยให้ยอมรับแต่เนิ่ นๆ อาจจะดีกว่า”
“ทำใจอะไร หม่อมฉันยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เลย”
“เทซู”
“ทรงลืมแล้วหรือว่า พระสนมมีความสำคัญต่อฝ่าบาทแค่ไหน ตลอดเวลาที่ผ่าน ฝ่าบาททรงอยู่มาได้ยังไง พระสนมไม่รู้บ้างหรือ เพราะมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาพระสนม ทำให้ฝ่าบาทมีกำลังพระทัยที่จะอยู่ หม่อมฉันรู้ดีว่า ทุกวันนี้ ที่ฝ่าบาทอยู่มาได้ก็เพราะความเชื่อในส่วนนี้ ถ้าหากให้พระองค์สิ้นหวัง ฝ่าบาทจะทรงเป็นทุกข์แทบอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมพระสนมทรงยอมแพ้ง่ายๆ นัก ทำไมรับสั่งว่า สิ่งที่เราทำเป็นการเสียแรงเปล่า”
“เทซู”
“ฮือ หม่อมฉัน จะรีบออกเดินทางไปต้าชิงเดี๋ยวนี้ จะไม่หยุดพัก ไม่หยุดรอแม้แต่นิดเดียว เป็นตายร้ายดีก็จะพาหมอฝรั่งมารักษาพระสนมให้ได้ ขอแค่ทรงรอหม่อมฉัน อย่าทรงท้อซะก่อน จนกว่าหม่อมฉันจะกลับมา พระสนมต้องทรงเข้มแข็งเอาไว้”
พระสนมซองซงยอนได้แต่ร้องไห้ตื้นตันใจมาก
พระสนมซองซงยอนทรงลุกขึ้นมาเพื่อจะเขียนรูปถวายพระเจ้าจองโจ แม้ว่าทุกคนจะคัดค้าน
“เจ้าบอกว่าไงนะ จะเขียนรูปให้ข้าหรือ”
” เพราะมันเป็น สิ่งที่หม่อมฉันตั้งใจมานานเพคะ กะว่าทุกๆ ปี จะเขียนพระรูปให้ฝ่าบาทหนึ่งรูป เผื่อว่าแม้เวลาจะผ่านไป หม่อมฉันยังมีพระพักตร์ของฝ่าบาท ประทับอยู่ในใจ และจารึกไว้เป็นภาพเขียน ด้วยเหตุนี้ แม้จะรู้ว่าผิดต่อธรรมเนียมของฝ่ายใน ก็อยากให้ฝ่าบาททรงอนุญาตเพคะ”


“แต่ว่า เจ้าจะเขียนรูปได้ยังไง ในเมื่อร่างกายอ่อนแอ ยังจะถือพู่กันไหวหรือ ถ้าอยากเขียนรูปข้าจริงๆ ไว้หายดีก่อนแล้วค่อย”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันถือว่านี่คือ กำลังใจที่จะอยู่ต่อเพคะ เหมือนที่ฝ่าบาท ทรงคาดหวังว่ายังไงหม่อมฉันต้องรักษา ได้ หม่อมฉันก็เช่นกัน หวังว่าจะเขียนพระรูปให้ฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งใจอย่างงั้นจริงๆ หวังจะให้เสร็จสมบูรณ์ และทุกๆ วัน ได้เห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท เพื่อเป็นกำลังใจที่ดี แค่นี้หม่อมฉันก็มีหวัง ที่จะอยู่ต่อไปได้แล้ว”
“ซงยอน”
“หึ ที่สำคัญ อยากให้ทรงรับปากเรื่องหนึ่ง เพื่อเห็นแก่หม่อมฉันด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทต้องทรงเข้มแข็ง อยู่ต่อไปเหมือนปกติ เหมือนที่หม่อมฉันได้อยู่กับฝ่าบาท เพราะความมุ่งมั่นที่ไม่เคยเปลี่ยน จึงอยากให้ฝ่าบาท ทรงเห็นแก่ความรักที่หม่อมฉัน มีให้มาอย่างยาวนาน ต้องทรงสัญญาว่าฝ่าบาทจะเข้มแข็ งนะเพคะ ที่สำคัญ ยังมีลูกของเราอีกคน”
“ซงยอน”
“ขอเพียงแค่นี้แหละเพคะ สิ่งที่หม่อมฉันจะขอ ก็มีเพียงแค่นี้ ฮือ จึงอยากให้ฝ่าบาททรงรับปากหม่อมฉัน และต้องทำให้ได้นะเพคะ”
“ได้ ข้ารับปากเจ้า ข้าจะเข้มแข็ง อยู่ต่อไปเหมือนเดิม เมื่อข้าให้สัญญาแล้ว ก็ต้องทำให้ได้”
“ฮือ ฝ่าบาท”


วันต่อมาหมอหลวงมาตรวจอาการของพระสนมซองซงยอน พระมเหสีโยอึยทรงเสด็จมาถาม
“พระสนมเป็นไงบ้าง”
“เอ่อ ชีพจร ดูจะเต้นอ่อนลงพะยะค่ะ เฮ่ย”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรหรอกเพคะ พระมเหสีไม่ต้องเป็นห่วง”
“หึ ซงยอน หึ อีกไม่นาน เทซูคงจะพาหมอจากต้าชิงมาได้ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเข้มแข็งไว้นะ ที่แล้วมา เจ้าไม่เพียงเป็นเพื่อนของฝ่าบาท ยังนับว่า เป็นเพื่อนกับข้าด้วย เพราะฉะนั้น ถือว่าเห็นแก่ข้า เจ้าต้องอดทนให้มากล่ะ”
“พระมเหสี”
ทุกคนต่างเฝ้ารอการกลับมาของเทซู ดัลโฮถึงกับออกไปรอที่ชานเมืองพร้อมกับพวกซอจังบูและคังซกกี แล้วไม่นานก็เห็นเทซู ทุกคนดีใจมาก เทซูบอกว่าหมอกำลังตามมา คังซกกีรีบให้เทซูไปเฝ้าพระเจ้าจองโจ
พระเจ้าจองโจทรงดีพระทัยรีบไปหาพระสนมซองซงยอนแต่ปรากฏว่าพระสนมซองซงยอนหายไปจากตำหนัก ทุกคนพากันออกตามหา แล้วพระเจ้าจองโจก็ทรงพบพระสนม
“ซงยอน หึ ซงยอน อึ๊บ ซงยอนๆๆๆ หา ฮือ”
“ฝ่าบาท”
“นี่มันอะไรกัน ไม่สบายแล้วมาเดินแถวนี้ทำไม”
“เพื่อจะหา ของสิ่งนี้เพคะ หึ” พระสนมซองซงยอนทูลแล้วก็สลบไป
” ซงยอน เจ้าเป็นไรไป ซงยอนๆๆ ทุกคนมานี่หน่อย ไปตามหมอหลวงเร็วเข้า ซงยอน เจ้าอย่าเพิ่งหลับนะ เทซูกลับมาแล้ว เขาหาหมอมารักษาเจ้าได้ ได้ยินหรือเปล่า เจ้ามีทางรักษาแล้ว ฮือ”
“หึ ฝ่าบาท”
“ฮือ อดทนอีกหน่อยได้ไหม หมอต้าชิงกำลังจะเดินทางมา เพราะฉะนั้นแข็งใจไว้ แข็งใจอีกหน่อยก็พอแล้ว”
“หึ หึ ทรงอภัยด้วยเพคะ หึ หม่อมฉัน คงต้องจากฝ่าบาท ไปอยู่กับเซจาซะก่อน หึ”
” พูดอะไรอย่างงั้น เจ้าจะไปหรือ เจ้าจะทิ้งข้าลงคอได้ยังไง ไม่มีทาง ข้าไม่ยอมให้เจ้าไป ซงยอน ได้ยินหรือเปล่า อย่านะ ข้าไม่ให้เจ้าไปแบบนี้ ฮือ ข้าไม่ให้เจ้าทิ้งข้าไป ฮือๆๆ”
“หึ อย่าทรงกรรแสงเพคะ หึ อย่าทรงเสียพระทัยเพราะหม่อมฉัน หึ หม่อมฉันจะนำ ความรักของฝ่าบาท ไปในภพหน้า หึ แค่นี้ ก็พอแล้ว” พระสนมซองซงยอนสิ้นลม
“หา ซงยอน ฮือ ซงยอนๆ” พระเจ้าจองโจทรงกรรแสงออกมาทันที)
เทซูเข้ามาก็แทบช็อก “ท่าน ว่าไงนะครับใต้เท้านัม บอกว่าพระสนม สิ้นพระชนม์แล้วหรือ ใต้เท้า”
“เทซู” นัมซาโชสีหน้าเศร้า ซงอูร้องไห้
” ไม่จริง เป็นไปได้ยังไง ทำ ทำไมเร็วขนาดนี้ ฮือ ฮือ ข้า ข้าพาหมอมาได้แล้ว ฮือ จากต้าชิง ฮือ พาหมอจะมารักษาพระสนม ฮือ อีกนิดเดียวเขาก็มาถึงวังหลวง แค่เย็นนี้เท่านั้น แล้วทำไม บอกว่าพระสนมไปแล้ว ท่านจะมาโกหกข้าได้ยังไง”
“เทซู ใจเย็นก่อน”
” ไม่ ไม่จริง ข้าไม่เชื่อหรอก ฮือ พระสนมเคยตรัสว่า จะรอให้ข้ากลับมา บอกว่า นางจะรอข้า รอจนกว่าหมอจะมาถึง ฮือๆๆ ข้าเชื่อว่า นางไม่ผิดคำพูด นางไม่จากไปแบบนี้หรอก ฮือ พระสนมๆ ฮือๆๆ พระสนม ฮือๆๆ ฮือๆๆ”
ทุกคนพากันร้องไห้เสียใจกับการจากไปของพระสนมซองซงยอน โดยเฉพาะพระพันปีเฮคยองทรงเสียพระทัยมาก
“นางเป็นคนดี ไม่นึกว่าจะอายุสั้นขนาดนี้ เมื่อก่อนข้าน่าจะดีต่อนางให้มาก ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าน่าจะใส่ใจนาง ให้มากกว่าที่แล้วมา ฮือ”

“พระพันปี”
คนที่ศูนย์ศิลปะก็พากันเสียใจมาก เทซูนั่งคิดถึงพระสนมซองซงยอน
“ถึงข้ามีสิทธิ์แค่มองก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่ ให้เจ้าอยู่กับฝ่าบาทมีความสุขชั่ว ชีวิตก็พอแล้ว แต่ว่าทำไมเจ้าถึงด่วนจากไปก่อน แล้วต่อไปจะให้ข้า อยู่เพื่ออะไรอีก นับแต่นี้จะไม่ได้เห็นหน้าเจ้า แล้วจะให้ข้ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ฮือ”
นัมซาโชเข้ามาเตือนพระเจ้าจองโจ “ฝ่าบาท ได้เวลาเสด็จแล้วพะยะค่ะ ฝ่าบาท”
“ไปบอกให้พวกเขารออีกหน่อย ข้ายังมีเรื่องบางอยาง จะพูดกับพระสนม”
พระเจ้าจองโจทรงตรัสกับศพของพระสนมซองซงยอนว่า
” เจ้ารู้หรือเปล่า สมัยที่เรายังเด็ก ข้าเคย ปลดสายคาดเอวไปผูกกับแขนเจ้า ในเวลานั้น ใจข้าก็ได้ผูกกับเจ้าด้วย รู้หรือเปล่า เพราะฉะนั้น เมื่อหัวใจข้าอยู่กับเจ้า ก็จงเอามันไปด้วยกัน ตอนนี้ เจ้าคงได้พบลูกแล้ว อยู่บนสวรรค์ ได้เห็นลูกของเราใช่ไหม เจ้า เจ้าเคยบอกว่า จะเก็บข้าไว้ในความทรงจำ งั้นก็รอหน่อยนะ ซักวัน ข้าจะไปหาเจ้า ไปหาลูกของเรา ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ เจ้าต้องรอพบข้าด้วยนะ”
ชองยายงไปหาคนผลิตเครื่องปั่นด้าย และสอบถามเกี่ยวและขอลองใช้เครื่องปั่นด้าย พอกลับมาก็ทราบว่าพระเจ้าจองโจทรงมารออยู่
“วันนี้ไปไหนมาอีก”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้เวลา ไปอยู่ที่ไหนกันแน่”
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ เพราะมีเรื่องด่วนบางอย่าง เลยออกไปข้างนอกซักครู่พะยะค่ะ”
“งั้นก็นั่งลง ข้าฟังรายงานจากคนอื่นหมดแล้ว เหลือแต่เจ้าคนเดียว”
“หา เอ่อ”
“ว่าไงล่ะ”
“เอ่อ ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ หม่อมฉันรีบร้อนมาเฝ้า เลยลืมเอารายงานมาด้วย”
“อะไรนะ”
“หม่อมฉันจะรีบไปเอามาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องไปก็ได้ งานที่เจ้ารับผิดชอบ ไปดูสถานที่จริงก็เหมือนกัน”
พระเจ้าจองโจเสด็จไปพลางถามชองยายงว่า
“ค่าแรงคนงานที่มาทำงานที่นี่ จ่ายกันยังไง”
“ทั้งช่างหิน ช่างไม้และช่างอิฐ จ่ายวันละ 4 เฟื้อง คนงานทั่วไปวันละ 2 เฟื้องครึ่งพะยะค่ะ เพราะว่าต้องใช้แรงงานที่แตกต่าง,จึงเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยหลากหลายรูปแบบ ใครถนัดอย่างไหนก็ทำอย่างงั้น เพื่อให้งานเดินเร็วพะยะค่ะ”
“ดีมาก ถึงเราจะมีแรงงานประจำ แต่งานบางอย่างก็ไม่เหมาะกับพวกเขา ชาวบ้านยอมสละเวลามาช่วย,ถือว่าทำงานเพื่อบ้านเมือง เราจึงไม่ควรให้เหนื่อยเปล่า”
พระเจ้าจองโจเสด็จไปดูที่ป้อมและตรัสกับเชกาว่า
“ทำไมมีแต่ป้อมนี้ที่ดูคืบหน้าช้านัก เป็นเพราะอะไร”
“เพราะผนังยิ่งสูง การลำเลียงขึ้นไปก็ยิ่งลำบาก ทำให้ต้องใช้เวลาพะยะค่ะ”
“ถ้าเป็นปัญหานี้ ข้าเคยมอบหนังสือ “พัฒนาด้านวิทยาการ” ให้เจ้าไปศึกษาแล้วนี่นา แล้วยังไง จนป่านนี้ยังหาวิธีไม่ได้อีกหรือ”
“เอ่อ คือ มีปัญหานิดหน่อยพะยะค่ะ”
“ปัญหาหรือ”
ชองยายงพามาดูเครื่องชักรอก แชจีคยอมมองแล้วกล่าวว่า
“อ้อ ลักษณะใหญ่กว่าที่คิดไว้นะพะยะค่ะ”
“หม่อมฉันดัดแปลงจากเครื่องชักรอกในอดีตพะยะค่ะ หากใช้เจ้าตัวนี้ จะสามารถยกของหนักขึ้นที่สูงได้อย่างง่ายดาย”
พระเจ้าจองโจทรงพินิจแล้วตรัสว่า “ต่างจากที่เคยเห็นทั่วไป ปกติเครื่องชักรอก ใช้วิธีเหมือนตักน้ำขึ้นจากบ่อ แล้วทำไม ไม่ทำให้รอกอยู่คงที่ล่ะ”
“นั่นเป็นเพราะ รอกที่อยู่คงที่ ต้องใช้แรงงานคนมากกว่าแขวนลอยถึงสองเท่า แต่หากใช้วิธีนี้ แค่ใช้แรงประมาณ 40 ชั่ง จะรับน้ำหนักได้ถึง 2 หมื่น 5 พันชั่งพะยะค่ะ”
“จริงหรือนี่”
“พะยะค่ะ ด้วยเหตุนี้ หม่อมฉันจึงตั้งชื่อเครื่องนี้ใหม่ว่า เป็นเครื่องยกน้ำหนัก”
“แล้วทำไมยังมีปัญหาอีก เท่าที่ฟังดู เจ้าเครื่องนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อการก่อสร้างของเราไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ นั่นเป็นเพราะ หม่อมฉันขอทูลตรงๆ มันมีการทรงตัวไม่สมดุล จึงใช้ไม่ค่อยดีนัก”
“งั้นหรือ ถ้าจะใช้เครื่องมือตัวนี้ ต้องให้คนดึงเชือกทั้งสองข้างพร้อมกัน ไม่งั้นมันจะเสียสมดุล ทำให้ของตกลงไป”
“ถูกแล้วพะยะค่ะ แต่ว่า เนื่องจากเวลามีน้อย เรา ผูกเชือกทั้งสองด้าน แล้วออกแรงดึงจากตรงกลางได้ไหมพะยะค่ะ”
“ทำแบบนี้ยิ่งไม่ได้ เกิดจับเชือกไม่แน่นหรือทานน้ำหนักไม่ไหวล่ะ มิเท่ากับทำให้คนงานบาดเจ็บหรอกหรือ เรื่องนี้ เกี่ยวพันถึงชีวิตผู้คน ต่อให้ใช้เวลาแค่ไหน ก็ต้องหาวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”
“เอ่อ ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันใจร้อน เลยไม่ได้คิดรอบคอบ”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าหรอก อย่าคิดมากไปเลย”
“ฝ่าบาท”
“ข้าจะให้เวลาอีก 5 วัน พอหรือเปล่า จะหาวิธีแก้ไขได้ไหม”
“ได้พะยะค่ะ หม่อมฉัน จะพยายามทำให้ดีที่สุด”
มินจีซูให้ลูกน้องเฝ้าสังเกตแล้วนำเรื่องนี้ไปบอกแชซกจู จากนั้นแชซกจูก็นำทูลพระหมื่นปีจองซุน
“งานก่อสร้างที่เมืองซูวอนใกล้เสร็จแล้วหรือ งั้นก็แสดงว่าฝ่าบาท เตรียมลับมีดที่คมกริบ เพื่อจะเอามาเล่นงานพวกเรา”
” แล้วจะทำไงดีพะยะค่ะ เรื่องมาถึงขั้นนี้ เราจะนิ่งดูดายได้หรือ นับแต่ปรับโครงสร้างในหน่วยทหาร ทำให้ 5 กองพลแทบไม่มีความสำคัญ เพราะเรื่องนี้ ทำให้แม่ทัพหลายฝ่ายล้วนไม่พอใจต่อฝ่าบาทอย่างมาก”
“แล้วยังไง”
“พระหมื่นปี ให้พวกเขามาเข้าเฝ้าดีมั้ยพะยะค่ะ คนที่ไม่พอใจฝ่าบาท ไม่แน่อาจจะรวมตัว หันมาช่วยเราก็เป็นได้ พระหมื่นปี”
เวลานั้นพระเจ้าจองโจทรงเรียกขุนนางประชุมที่ท้องพระโรง และทรงรับสั่งให้เทซูเฝ้าจับตาดูพวกพระหมื่นปีจองซุน
ที่ประชุมท้องพระโรง ชางแทวูทูลพระเจ้าจองโจว่า
“ฝ่าบาท รับสั่งว่าจะทรงพัฒนาเมืองซูวอน และให้ขุนนางบางส่วนไปอยู่ที่นั่นหรือพะยะค่ะ”
” ใช่ ข้าจะขอประกาศ ให้เมืองซูวอนเป็นเมืองชั้นเอก และป้อมปราการที่สร้างขึ้นใหม่ ให้ชื่อว่า “ฮวาซอง” พวกท่านไม่ต้องคัดค้าน หน่วยงานไหนที่จะถูกย้ายบ้าง ข้าได้คัดเลือกไว้แล้ว อีกสองวันจะบอกให้รู้”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลว่า เรื่องนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งพะยะค่ะ เมืองซูวอน อยู่ไกลจากเมืองหลวง สภาพก็แร้นแค้น ให้ผู้คนไปอยู่ แต่สิ่งปลูกสร้างไม่เพียงพอ แล้วยังจะย้ายหน่วยงานราชการไปอีก แล้ว “ฮันยาง” ซึ่งเป็นเมืองหลวงแต่โบราณจะมีความหมายอะไรอีก”
“ใช่ ฮันยางจะถูกลดความสำคัญลงไป แล้วยังไง ท่านจะบอกว่าทำไม่ได้ใช่ไหม”
แชซกจูอึ้ง “เอ่อ”
“อีกหน่อยซูวอนก็จะเหมือนฮันยาง กลายเป็นศุนย์กลางแห่งใหม่ ข้ามีความเชื่อว่า สิ่งที่ทำทั้งหมด ล้วนเป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศ แล้วทำไมพวกท่านมีแต่คัดค้านท่าเดียว เพราะเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวงจนชิน บางคนก็ครอบครองที่ดินมหาศาล ปักหลักจนไม่อยากไปไหนแล้วใช่ไหม”


“ฝ่าบาท”
“รอให้ป้อมปราการสร้างเสร็จก่อน ข้าจะบอกให้ชาวบ้านโยกย้าย เพราะที่นั่น จะมีทุกอย่างไว้รองรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ และข้าจะให้จัดงานฉลองวันประสูติของพระพันปีที่ป้อมฮวาซอง รวมถึงเซ่นไหว้พระวิญญาณของเสด็จพ่อด้วย และยังมีอีกเรื่อง ที่ข้าขอบอกไว้ก่อน ต่อให้ใครมาถวายฎีกาท่วมหัว หรือจะกดดันหน้าตำหนักก็ช่าง ความตั้งใจของข้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยน จงรับรู้ไว้ด้วย”
แชซกจูส่งข่าวให้พระหมื่นปีจองซุนทราบ พระหมื่นปีจองซุนสั่งให้แม่ทัพ 5 กองพลมาพบคืนนี้ เพราะในจดหมายแชซกจูบอกว่า
“ตอนนี้ ทางเลือกสำหรับพวกเรา มีแค่ทางเดียวเท่านั้น และทุกคนคงรู้ว่า นี่เป็นทางที่ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน ในเมื่อฝ่าบาททรงบีบให้เราจนตรอก เราก็ต้องให้พระองค์ ได้รับการตอบแทนในสิ่งเดียวกัน”
ขณะที่พระเจ้าจองโจทรงคิดถึงคำพูดสุดท้ายของพระสนมซองซงยอนที่ให้พระองค์ทรงเข้มแข็ง
” ใช่ สิ่งที่รับปากเจ้า ข้าไม่เคยลืม ข้าจะอยู่ต่อไปแน่นอน จนถึงวาระสุดท้าย แห่งการเป็นพระราชา ข้าจะทำหน้าที่ของข้า เพื่อราษฎรอย่างดีที่สุด”
เทซูกลับมาทูลรายงานพระเจ้าจองโจว่า
“คนที่ไปชุมนุม ไม่เพียงแต่พวกขุนนางเก่า ยังมีแม่ทัพ ลีซกจอง และเจ้าเมือง โนแทจู ด้วยพะยะค่ะ”
พระเจ้าจองโจทรงพยักหน้าเข้าใจ “อึม”
“จะทรงทำไงดีพะยะค่ะ ถือโอกาสนี้กวาดล้างพวกเขา”
” อย่าเพิ่ง นี่ยังไม่ใช่เวลา ลำพังแค่ไปชุนนุมอยู่ข้างนอก เอาผิดพวกเขาไม่ได้หรอก ถ้าจะให้ดี เราต้องรอให้โอกาสสุกงอมกว่านี้ คิดว่าทุกอย่าง น่าจะจบที่เมืองซูวอน พวกเขาต้องวางแผน เล่นงานข้าที่ป้อม “ฮวาซอง” แน่ และข้าก็จะอยู่นั่น รอพวกเขา รอให้มาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา”

จบดอนที่ 74

No comments:

Post a Comment