Saturday 16 May 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 65


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 65

ฮงกุกยองรีบทูลแก้ตัวกับพระเจ้าจองโจว่า
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ หม่อมฉัน รู้ตัวว่าพูดจาเกินเลยไปบ้าง แต่นั่นเป็นเพราะว่า”
” ช่างเถอะ ที่ข้าอยากคุยด้วย ไม่ใช่เพื่อตำหนิท่าน เรื่ององค์ชายวานพง ถือว่าพระมเหสีตัดสินใจถูก หมู่นี้ในวังไม่ค่อยสงบ ให้ไปอยู่ข้างนอกซักพักก็ดีเหมือนกัน ฉะนั้น ท่านก็เลิกโต้แย้งนางซะที”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
” ที่ให้มาคุยตามลำพังไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่เพราะหลายวันที่ผ่าน,มีฎีกาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เหมือนสมรู้ร่วมคิด พูดในเรื่องเดียวกัน ข้าว่า ที่ขุนนางแห่กันไปในทิศทางเดียว คงเพราะพระหมื่นปีคอยชี้นำ หรือท่านเห็นว่าไง ที่ข้ายอมให้นางคืนตำแหน่งใหม่ เพราะเชื่อในคำสัญญาของท่าน ว่าจะกันไม่ให้นางยุ่งกับการเมือง แล้วนี่กลายเป็นอะไร อย่าบอกนะว่า ท่านไม่รู้เรื่องเอาซะเลย”
“เอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉัน”
” ข้า จะไม่มีวันยอมให้พระหมื่นปี มาก้าวก่ายเรื่องการเมืองอีก เพราะฉะนั้น ท่านไปสืบเบื้องหลังเรื่องนี้ ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมั้ย ถ้ามีจริง สาเหตุเป็นเพราะอะไร เข้าใจหรือเปล่า ทำไมไม่ตอบล่ะ”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะทำตามพระบัญชา”
ฮงกุกยองแยกจากพระเจ้าจองโจก็เจอกับแชซังกุง
“หาข้ามีธุระอะไร” ฮงกุกยองถาม
“พระหมื่นปีมีรับสั่งให้ไปเฝ้าโดยเร็วน่ะค่ะ ดูเหมือนจะเกี่ยวกับเรื่ององค์ชานวานพง อยากให้ท่าน”
“เรื่องนี้ ข้ามีวิธีจัดการ แต่อย่าเพิ่งมาติดต่อดีกว่า”
แชซังกุงอึ้ง “หา”
“ช่วงนี้ไม่ค่อยปลอดภัย เราต้องอยู่เงียบๆ ไปทูลพระนางตามนี้ เข้าใจมั้ย”
“ค่ะใต้เท้า หึ”
คิมซังกุงได้รับของขวัญจากโชบีก็ดีใจ
“ของแบบนี้เจ้าทำเองเป็นด้วยหรือ”
“เป็นเจ้าค่ะ ข้างในใส่เครื่องหอม ช่วยให้สดชื่นด้วยนะคะ”
คิมซังกุงดมกลิ่น “เครื่องหอมหรือ แหม ทำไมรู้ว่าข้าชอบของพวกนี้ล่ะ”
“หึ นึกแล้วต้องถูกใจท่าน ข้าถือว่า การได้รับใช้ท่าน เป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับตัวเองน่ะค่ะ”
“อุ๊ย เกียรติเกิดอะไรกัน เจ้าไม่ได้รับใช้ข้าซักหน่อย เป็นคนสนิทของซองซังกุงต่างหาก”
“แหม ก็เหมือนกันล่ะค่ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ มีโอกาสข้าก็อยากรับใช้ท่านบ้างน่ะค่ะ หึๆๆ”
“หึ ฟังพูดเข้า คนอื่นเข้าวังแรกๆ แทบจะอยู่ไม่ได้ เครียดไปซะหมด แต่ดูเหมือนเจ้าจะปรับตัวเก่งมาก”
” นั่นสิคะ ข้าก็คิดอย่างงั้น ใส่ชุดคนในวังก็แสนจะอบอุ่น มองไปทางไหนก็มีแต่ความคุ้นเคย ยังกะชาติก่อนเคยเกิดเป็นชาววัง โอ๊ย เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกน่ะค่ะ หึๆ”


“นั่นสิ ข้าก็ว่าเจ้าเหมือนคุ้นๆ ยังไงชอบกล”
“หา จริงหรือคะนายหญิง ท่านรู้สึกคุ้นหน้าข้าจริงหรือ”
” นี่ ปล่อยนะ อย่ามาจับไม้จับมือ มาตีสนิทอะไรนักหนา เชอะ ที่ว่าคุ้นเคย อาจเพราะชาติก่อนเคยเป็นคู่กัดกันมา ชาตินี้เลยต้องมาปะทะอีก ฮึ”
โชบีอึ้ง “อะไรนะคะ ฮึ”
คิมซังกุงมาทูลพระมเหสีโยอึยว่าเห็นคังซังกุงกับแชซังกุงอยู่ด้วยกัน
“คังซังกุงกับแชซังกุงอยู่ด้วยกันแล้วทำไม แค่นี้มีอะไรแปลกนักหนา”
” หม่อมฉันเห็นพวกนางแลกเปลี่ยนจดหมายด้วยเพคะ ถ้าบ่าวไพร่แลกเปลี่ยนจดหมาย แสดงว่าผู้เป็นนายต้องมีอะไรกัน แชซังกุงเคยรับใช้พระสนมวอนพิน เป็นคนที่ใต้เท้าฮงแนะนำมา ส่วนคังซังกุงก็เป็นคนสนิทของพระหมื่นปีนะเพคะ เอ่อ เอางี้ดีมั้ยเพคะ หม่อมฉันจะไปตามแชซังกุงมาสอบถาม ว่านางทำอะไร”
“ไม่ต้อง เรื่องนี้เราอย่ายุ่งดีกว่า”
“แต่หม่อมฉันว่า มันต้องมีอะไรแปลกๆ จะไม่ทรงสนพระทัยบ้างหรือเพคะ”
ทางด้านฮงกุกยองก็สั่งให้ซอจังบูไปเฝ้าบ้านเดิมของพระมเหสีโยอึย
“อะไรนะครับ ให้ไปเฝ้าบ้านเดิมของพระมเหสีหรือ”
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ตั้งแต่วันนี้ไป ให้จับตาดูญาติพี่น้องของพระมเหสีว่าทำอะไรบ้าง เห็นอะไรมีพิรุธ รีบมารายงานข้าให้หมด”
“เอ่อ แต่ว่าใต้เท้า ทำเพื่ออะไรล่ะครับ มีความจำเป็นอย่างงั้นเชียวหรือ”
” เดี๋ยวนี้แม้แต่เจ้าก็พูดมากแล้วหรือ สั่งอะไรก็ไปทำ ไม่ต้องสงสัยได้ไหม เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครรู้ ฉะนั้น ให้ทำงานอย่างลับๆ เข้าใจมั้ย”
“ครับ ใต้เท้า”
พระเจ้าจองโจสั่งให้นัมซาโชเรียกแชจีคยอมมาพบ เพราะอยากปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องโยกย้ายตำแหน่ง
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทำไมไม่ทรงหารือกับใต้เท้าฮงล่ะพะยะค่ะ”
“เพราะว่า มันเกี่ยวข้องกับใต้เท้าฮง”
เวลาเดียวกันซองซงยอนก็มาพบเทซูและพาไปเข้าเฝ้าพระมเหสีโยอึย
“พระมเหสี”
“หึ มาแล้วหรือ”


“เอ่อ รับสั่งให้หาหรือพะยะค่ะ”
” หึ ข้ารู้มาว่า เจ้ากับซองซังกุงรู้จักมาแต่เล็ก ซ้ำยังเป็นเพื่อนกับฝ่าบาทเคยช่วยเหลือกันมา ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเรื่องบางอย่างจะขอรบกวน อยากให้เจ้า ช่วยสืบเบื้องหลังของใต้เท้าฮงหน่อย”
“เอ่อ หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม สืบเบื้องหลังใต้เท้าฮง ทรงหมายความว่าไงหรือพะยะค่ะ”
“จริงๆ แล้วข้ารู้สึกสงสัยพฤติกรรมของเขา ฉะนั้น จึงอยากให้เจ้าช่วยสืบหน่อย”
“เอ่อ แต่ว่าพระมเหสี เขาเป็นผู้บังคับบัญชาของหม่อมฉัน หม่อมฉันคงไม่อาจ”
” เรื่องนี้ข้ารู้ แต่ว่า ถ้าเราเห็นใครเดินทางผิด ก็ควรชี้แนะให้เขาตาสว่างไม่ใช่หรือ ตอนนี้ในวัง กำลังมีเรื่องรัชทายาท เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ข้ากลัวว่า เบื้องหลังจริงๆ อาจมีพระหมื่นปีคอยบงการอยู่”
ซองซงยอนตกใจ “พระมเหสี”
พระมเหสีโย อึยทรงหนักพระทัย “ข้าก็ภาวนาให้ตัวเองคิดผิดเหมือนกัน แต่ถ้าโชคร้าย พระหมื่นปีเป็นคนบงการใต้เท้าฮงจริง เพื่อเห็นแก่ฝ่าบาท เราก็ควรยับยั้งเขาไว้ก่อน”
เมื่อออกมาซองซงยอนบอกกับเทซูว่า
“เทซู ในเมื่อพระมเหสีรับสั่งแบบนี้ คงมีสาเหตุบางอย่างแน่”
“แต่ว่า ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ให้ข้าจับตาความเคลื่อนไหวของใต้เท้าฮง มันน่าลำบากใจน่ะครับ”
ซองซงยอนเข้าใจ “หึ”


” จริงอยู่ที่ว่า หลังๆ เขาเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ค่อยมีเหตุผลเหมือนแต่ก่อน แต่ว่า เขาคงไม่มีวันทรยศฝ่าบาท หันไปร่วมมือกับพระหมื่นปีแน่ เขาเป็นคนนิสัยยังไง ท่านก็เคยรู้มาแต่แรกไม่ใช่หรือ และฝ่าบาท ก็ทรงไว้วางพระทัยใต้เท้าฮงมาก ถ้าทรงทราบว่าเขาเปลี่ยนไป ฝ่าบาทจะรู้สึกยังไง ข้อนี้ข้าก็เป็นห่วงเหมือนกันน่ะครับ”
วันต่อมาซองซงยอนมีอาการหน้ามืด ดีที่โชบีอยู่ด้วย แต่ซองซงยอนกลับบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร
“นายหญิง ไม่เป็นไรแน่นะคะ หรือให้ข้าตามหมอหลวงดีมั้ย”
“ไม่ต้อง อาจเพราะหมู่นี้พักผ่อนไม่พอก็ได้ อย่าตื่นเต้นนักเลย”
” ถ้าบอกว่าพักผ่อนไม่พอ เมื่อก่อนเคยเขียนรูป 3 วัน 3 คืนยังไม่เห็นเป็นไรเลย นายหญิง หมู่นี้ รู้สึกง่วงนอน ร่างกายเพลียๆ อยากกินของเปรี้ยวหรือเปล่า ข้ามีน้องตั้ง 9 คน อาการแพ้ท้อง เห็นมาเยอะแล้ว และท่านก็เข้าวังมาหลายเดือน ฝ่าบาทเสด็จมาหาบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าอาจตั้งครรภ์จริง ๆ ก็ได้”
“ท่านเอาอะไรมาพูดน่ะ ตั้งครรภ์หรือ”
“เป็นไปได้นะคะ อาการแบบนี้น่าจะใช่”
“อย่าพูดเหลวไหล”
“นายหญิง”
“ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่เรื่องแบบนี้ถ้าไม่จริง ห้ามพูดส่งเดช หึ ข้าจะพักผ่อนแล้ว ท่านออกไปเถอะ”
“ค่ะนายหญิง”
องค์ชายอึนยอนไม่ค่อยพอใจฮงกุกยองนัก
“ข้าเคยบอกแล้วก็ไม่เชื่อ ท่านยังมั่นใจนัก แล้วตอนนี้เป็นไง”
“อีกไม่นานองค์ชายวานพงจะได้ไปอยู่ในวังอีก นี่แค่กลับมาชั่วคราว รอให้เรื่องรัชทายาทเป็นจริงก็จะได้กลับไปอีก”
“ใต้เท้าฮง”
” ทุกวันนี้ในราชสำนัก ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งข้า เรื่องนี้ท่านเองก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือ รับรองว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คิด ท่านไม่ต้องเป็นห่วง แค่รอดูเท่านั้น ที่ข้ามานี่ เพื่อจะบอกให้รับรู้ไว้”
ฮงกุกยองกลับมาก็ถามหาซอจังบู แต่ทหารเข้ามาบอกว่าพระเจ้าจองโจรอพบอยู่
“มาแล้วหรือ เห็นว่าไปบ้านองค์ชายอึนยอนมา”
“เอ่อ พะยะค่ะ”

“ระหว่างที่รอท่าน ข้าเลยเปิดดูบันทึกประจำวันไปพลาง ไปเดินเล่นกันมั้ย มีเรื่องบางอย่างจะคุยด้วย”
พระเจ้าจองโจเสด็จออกไปพร้อมกับฮงกุกยอง
” สมัยที่ข้าเป็นองค์ชาย เวลามีเรื่องกลุ้มใจชอบมาเดินที่นี่ เห็นท้องฟ้าแล้ว ความเครียดเหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง มาคิดอีกที ช่วงที่ลำบากที่สุด คงเป็นเวลานั้นกระมัง ตอนอยู่ในสนามสอบ ปรากฎข้อสอบที่ใส่ร้ายการกระทำของเสด็จพ่อข้า แล้วใครๆ ก็ว่าเสด็จพ่อเป็นฝ่ายผิด แม้แต่ข้าเองก็เกือบถูกเพ่งเล็งไปด้วย แต่ยังโชคดี ที่ท่านช่วยให้ข้าพ้นวิกฤติ ยังจำได้ไหม”
“พะยะค่ะ หม่อมฉัน ไม่เคยลืมเรื่องในอดีตเลย”
” ข้าก็ไม่เคยลืม ยังจำครั้งแรกที่ได้รู้จักท่าน มาอยู่ต่อหน้าข้า เป็นคนหนุ่มที่มีอุดมการณ์อันแรงกล้า และเป็นเพราะหนุ่มคนนี้ ข้าจึงได้เป็นพระราชาอย่างที่เห็น”
“ฝ่าบาท”
“บอกตรงๆ ว่าข้าไม่เคยลืมผลงานที่ท่านสร้างไว้ แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ เรื่องบางอย่างท่านก็ควรรู้เหมือนกัน”
“ให้หม่อมฉัน รับรู้อะไรหรือพะยะค่ะ”
” สมัยก่อน ท่านเคยพูดอะไรกับข้า แม้ว่า อาจต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ แต่เมื่อได้มาแล้ว จะใช้ด้วยความมีสติและรอบคอบ แต่ทุกวันนี้เหมือนท่านจะลืมอุดมการณ์ที่เคยตั้งไว้ แต่จะว่าไป โทษท่านฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก เพราะข้าคอยให้ท้าย จนบางทีแกล้งปล่อยปละละเลย ก็มีส่วนผิดเหมือนกัน”
“หา” ฮงกุกยองตกใจไม่น้อย
“ไม่ใช่ ถ้าคิดดีๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”
“ฝ่าบาท”


” นี่คืองานที่จะให้ทำ จะมีการปรับเปลี่ยนโยกย้าย ตำแหน่งในหน่วยงานต่างๆ ให้ลงตัว อีกอย่าง อีก 7 วันข้าจะไปสุสานหลวง ท่านช่วยเตรียมการให้ด้วย นี่อาจเป็นงานสุดท้าย ที่มอบหมายให้ท่าน ในฐานะราชเลขา”
“เอ่อ ฝ่าบาท เป็นงานสุดท้าย ในฐานะราชเลขาคือ”
และเวลาต่อมาแชจีคยอมก็ประกาศในที่ประชุมว่า
” ฉะนั้น เสนาซ้ายชางแทวู ให้ขึ้นเป็นมหาเสนาบดี เจ้ากรมแชซกจูเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา อำมาตย์ ชางกีเชย ให้เลื่อนเป็นราชเลขาคนใหม่ ยังมีอีก อดีตราชเลขาฮงกุกยอง ให้งดดูแลสำนักราชเลขา รับผิดชอบเฉพาะหน่วยทหารพิเศษก็พอ”
เหล่าขุนนางออกมาก็คุยกัน ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“ฮงกุกยองถูกปลดจากตำแหน่งราชเลขา นั่นก็แปลว่า ถูกลดขั้นทางอ้อมหรือเปล่าครับ”
“นั่นสิครับ งานอื่นไม่ต้องยุ่ง ให้ดูเฉพาะหน่วยทหารก็พอ”
ชา งแทวูสะใจไม่น้อย “มันก็สมควรแล้วนี่ นี่คือการลงอาญาของฝ่าบาท ที่ให้ฮงกุกยองรับผิดชอบเรื่ององค์ชายวานพง โทษฐานหมิ่นเบื้องสูงและวางอำนาจ ตามหลักน่าจะไล่ออกจากราชการด้วยซ้ำ”
“เฮ่อๆๆ นั่นสิ มันต้องอย่างงี้ถึงจะสะใจ สมน้ำหน้า เฮ่อๆๆ”
ด้านแชซกจูก็นำเรื่องนี้มาทูลพระหมื่นปีจองซุน
“เมื่อเช้านี้ มีการโยกย้ายตำแหน่ง ทรงทราบมั้ยพะยะค่ะ พระหมื่นปี”
” นึกว่าฝ่าบาทจะปกป้องฮงกุกยองเหมือนเดิมซะอีก ที่ไหนได้ เขาช่างหวงอำนาจไม่ให้ใครมาก้ำเกิน เฮ่อ เราคงต้องทำอะไรบางอย่างก่อนจะแย่กว่านี้ ไปตามฮงกุกยองมาพบข้า”


“แต่ว่า จะพบได้ยังไงพะยะค่ะ อยู่ในวัง การจะพบฮงกุกยองซักครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ขณะที่ฮงกุกยองก็คิดถึงคำตรัสของพระเจ้าจองโจว่า
” สมัยก่อน ท่านเคยพูดอะไรกับข้า แม้ว่า อาจต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ แต่เมื่อได้มาแล้ว จะใช้ด้วยความมีสติและรอบคอบ แต่ทุกวันนี้เหมือนท่านจะลืมอุดมการณ์ที่เคยตั้งไว้ สิ่งที่ข้าจะให้ท่านตอนนี้ คือเวลาในการทบทวน ฉะนั้น อย่าคิดว่านี่คือการลดขั้น แต่มองว่าเป็นโอกาสอีกครั้ง สำหรับการเริ่มต้นใหม่”
แล้วนายกองก็เข้ามาบอกว่ามีเรื่องด่วน
ซอจังบูไปดื่มเหล้ากับเทซูและคังซกกี เทซูพยายามจะปรามให้น้อยๆ
“อย่าห้ามได้ไหม วันนี้ข้าอยากเมาให้หมดสติไปเลย”
“อย่าคิดมากเลยน่า”
“นึกแล้วว่าใต้เท้าฮง ต้องมีวันนี้แน่ ซักวันฝ่าบาทต้องมีพระบัญชาแบบนี้”
“หมายความว่าไงน่ะ พระบัญชาอะไร”
“ที่จริงข้าก็ไม่อยากพูด หลายวันก่อนใต้เท้า สั่งให้ข้าไปจับผิดพระมเหสี แบบนี้มิเท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ จริงมั้ย”
“จับผิดพระมเหสีหรือ” เทซูอึ้ง
“ก็ใช่น่ะซี้ แถมยังว่าถ้าไม่เจออะไรก็ให้สร้างหลักฐานเท็จได้ เฮ่ย ถ้าฝ่าบาทไม่ลงโทษเขา ข้าจะขอลาออกจากตำแหน่งซะเอง เฮ่ย”


เทซูเฝ้าดูพระหมื่นปีจองซุนแล้วก็พบว่าพระนางเสด็จมาที่บ้านแชซกจู เพื่อพบกับฮงกุกยองด้วย
” ทรงมีธุระอะไร ถึงยอมเสด็จออกนอกวังมาพบหม่อมฉัน ทุกวันนี้หม่อมฉันเหมือนไร้ญาติขาดมิตร อนาคตก็ใกล้ดับวูบ พระหมื่นปีจะทรงตัดขาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“ข้าไม่เคยคิดอย่างงั้น เพียงแต่รู้ว่าเหตุการณ์คับขัน เราควรที่จะ”
“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ ถึงจะทรงคิดอย่างงั้น ก็ไม่ใช่ความผิดอะไร หม่อมฉันเอง ยอมมาเฝ้าพระหมื่นปีก็เพื่อจะทูลเรื่องนี้เหมือนกัน”
“อะไรนะ”
” ตลอดเวลาที่ผ่าน หม่อมฉันยอมรับว่าผิดพลาดไปมาก ยังไงก็ตามแต่ หม่อมฉันไม่ควรร่วมมือกับพระหมื่นปี ซึ่งเป็นอริกับฝ่าบาทอยู่ก่อน ที่เราเคยวางแผนบางอย่างร่วมกันมา หม่อมฉันรู้สึกผิดอย่างมาก ฉะนั้น ต่อไปจะไม่ขอพบพระหมื่นปีอีก”
ฮงกุกยองกลับมาก็พบกับเทซู
“นี่ก็ดึกแล้ว ทำไมมาหาข้าอีก เทซู”
“เมื่อกี้ท่านไปไหนมาครับ” ฮงกุกยองอึ้ง
“ไม่ได้ยินหรือครับ ข้าถามว่าท่านไปไหนมา”
“แล้วเจ้าเป็นไรไป ทำไมจู่ๆ มาตั้งคำถามแบบนี้”
“ข้าอยากจะ ฟังคำตอบจากท่านแล้วค่อยว่า ฉะนั้น ตอบมาก่อนว่าท่านไปไหนมา ทำอะไรบ้างและเจอใครหรือเปล่า”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม มีอะไรไว้พรุ่งนี้ เราค่อยคุยดีกว่า”


“ข้าได้ยินว่าท่าน สั่งให้พี่จังบูไปเฝ้าดูพระมเหสีและคอยจับผิดพระนางใช่ไหม ได้โปรดตอบข้ามาก่อน ทำไมต้องสั่งให้เขาทำแบบนี้”
“หึ แม้แต่เขา ก็เห็นคำสั่งข้าไม่มีความหมายแล้วหรือ อะไรกันนี่ แสดงว่าทุกคน ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม”
” ท่านกำลังเข้าใจผิด เราไม่เคยหมดศรัทธาในตัวท่านเลย แต่เป็นเพราะอะไรกัน ที่เราติดตามท่านมาจนวันนี้ เพราะเลื่อมใสในความคิดและความภักดีของท่าน เพราะฉะนั้น พอแค่นี้เถอะครับ จะด้วยอะไรก็ช่าง สิ่งที่ท่านปิดบังฝ่าบาทและหลอกลวงพวกเรา ขอให้หยุดแค่นี้ได้หรือเปล่าใต้เท้า”
“ให้ข้าหยุดแค่นี้น่ะหรือ หมายถึงอะไร”
“ใต้เท้า”
“กลับไปซะ”
“ใต้เท้า”
” นี่ไม่ใช่ธุระเจ้า หึ เข้าใจหรือเปล่า ต่อไปไม่ว่าข้าจะทำอะไร เจ้าไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย ถึงจะหมดศรัทธาหรืออะไรก็ตาม ไม่ต้องมายุ่งอีก แต่ข้ายังเป็นหัวหน้าเจ้า ไม่ต้องมาสอนข้า ไม่ต้องโต้แย้งอะไรทั้งสิ้น แค่ทำตามคำสั่งก็พอ เข้าใจมั้ย”
วันต่อมาคิมซังกุงก็มาตามฮงกุกยองไปเฝ้าพระมเหสีโยอึย หลังจากฟังรับสั่งของพระมเหสีโยอึยแล้วฮงกุกยองก็ตกใจมาก
“ตกใจอะไรนัก ข้าไม่ได้กุเรื่องใส่ความท่านซักหน่อย”
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ หม่อมฉัน จะติดต่อกับพระหมื่นปีได้ยังไง เป็นเรื่องที่”
” เมื่อคืนนี้ ได้ยินว่าท่านไปบ้านหลังหนึ่งที่ พีตง เพื่อพบพระหมื่นปีและเจ้ากรมแช เห็นทีว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรก ให้วอนพินเข้าวัง รับองค์ชายวานพงเป็นลูกจากนั้นก็แต่งตั้งรัชทายาท คงเป็นการวางแผนของพระหมื่นปีล่ะสิ มิน่าพวกขุนนางเก่าถึงได้สนับสนุนท่านไปซะทุกเรื่อง”
“เอ่อ ไม่เป็นความจริงพะยะค่ะ หม่อมฉันเพียงแต่”
“เรื่องทั้งหมด ข้าให้บ่าวไพร่ส่วนตัว จับบ่าวที่อยู่บ้านนั้นมาสอบปากคำแล้ว ฉะนั้น ถ้าคิดปฏิเสธละก้อ อย่าเสียเวลาดีกว่า”
“หึ หึ” ฮงกุกยองอึ้งไป
” เป็นไง นี่หรือคือความภักดีของท่าน ปิดบังพระเนตรพระกรรณ ทำตัวเป็นปรปักษ์ แอบคบคิดกับพระหมื่นปี เหล่านี้ล้วนเป็นความภักดีของท่านใช่ไหม ข้าเคยคิดว่า จะให้อภัยท่านเกี่ยวกับการเสียชีวิตของวอนพิน เพราะเห็นฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านนัก เลยคิดว่า อย่างน้อยท่านคงภักดีต่อฝ่าบาทด้วยความจริงใจ แต่ทุกอย่างนี้ คือการตอบแทนความไว้วางพระทัยงั้นหรือ ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังจะบอกว่าสิ่งที่ทำเพราะความภักดีหรือเปล่า”
“เอ่อ พระมเหสี”
“รอให้กลับจากสุสานหลวงซะก่อน ข้าจะทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ”
ฮงกุกยองยิ่งตกใจ “หา”
” ฉะนั้น ถ้าฉลาดก็จงไปสารภาพผิดกับฝ่าบาทซะ ที่สำคัญ ยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ชดใช้กับสิ่งที่ละเมิดเบื้องสูงและเห็นบ้านเมืองเป็นของเล่นด้วย”


ปาร์คยองมุนมาดูงาน เห็นว่าไม่คืบหน้าเท่าไหร่จึงต่อว่า
“อะไรกันนี่ ป่านนี้แล้วงานซ่อมแซมตำราทั้งหมด ยังไม่เสร็จอีกหรือ”
ลีชองตอบว่า “ครับใต้เท้า ยังต้องไปอีกหลายวันกว่าจะเสร็จน่ะครับ”
ใต้เท้าคังบ่น “ทำไมอย่างงั้นล่ะ ตอนแรกว่าสองวันน่าจะเสร็จนี่”
ช่างเขียนตั๊กบอกว่า “เอ่อ เพราะว่า ฝ่าบาททรงสะสมหนังสือมากขึ้น มากกว่าแต่ก่อนเกือบ 2 เท่าแน่ะครับ”
ลีชองรีบสนับสนุน “ใช่ๆ”
“อึม เอาเถอะๆ แต่ว่า คงต้องเร่งมือหน่อย เพราะอีกไม่นานต้องเตรียมตัว ตามเสด็จไปสุสานหลวง”
“ทราบแล้วครับใต้เท้า”
“ยืนเฉยทำไม รีบไปทำงานซี่ ไปนะครับใต้เท้า”
“ข้าว่า มันน่าสงสัยน่ะครับท่าน” ใต้เท้าคังว่า
“งั้นหรือ น่าสงสัยยังไง”
“พวกเขาแกล้งทำงานช้า เพื่อจะได้เข้าวังไปพบซองซังกุงบ่อยๆ ไงล่ะครับ”
“หา จริงหรือนี่ เฮ่อๆๆ”
เชกานำฎีกาจากทุกอำเภอ ตามเส้นทางที่พระเจ้าจองโจจะเสด็จไปสุสานหลวง มา
“ฎีกาจากเขตไหนมีมากที่สุด”
“จากการประเมิน ดูเหมือนเขต พยองแล และ ซงชู จะมากที่สุดพะยะค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น ข้าจะรับเรื่องร้องทุกข์จากชาวบ้านใน 2 เขตนี้ก่อน ส่งข่าวแจ้งไปยังทุกอำเภอด้วย”
“พะยะค่ะ”
“มีอีกเรื่องพะยะค่ะ การเสด็จคราวนี้ พระมเหสีทรงดำริจะประทานอาหารด้วย”
“เลี้ยงอาหารหรือ”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาททรงรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ ฝ่ายในก็จะช่วยอีกแรง โดยการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ยากไร้พะยะค่ะ”
“งั้นก็ได้ ไปสั่งห้องเครื่องเตรียมเสบียงให้พร้อมละกัน ส่วนทหาร ก็ดูแลด้านความปลอดภัย”
“พะยะค่ะ”
พวกเชกาออกไปแล้ว พระเจ้าจองโจทรงตรัสถามนัมซาโชว่าฮงกุกยองทำอะไรบ้าง และเสด็จไปพบ
“ดึกป่านนี้ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ”
“พะยะค่ะ กำลังวางแผนเรื่องถวายอารักขาอยู่”
” หึ นึกแล้ว ต้องทำงานจนเพลินแน่ แต่ก็อย่าฝืนตัวเองนัก ข้ายังอยากมีคนสนิทอย่างท่านไว้ใช้งานนานๆ ห้ามกลับบ้านดึก นี่คือคำสั่ง ได้ยินมั้ย”
“ฝ่าบาท หม่อมฉัน มีเรื่องบางอย่าง จะขอบังอาจทูลถามพะยะค่ะ”
“เรื่องอะไร ถามมาได้”
” เอ่อ ถ้าหากว่าหม่อมฉัน ทำเรื่องผิดต่อฝ่าบาทจริง จะทรงทำยังไง ถ้าหม่อมฉัน มีอะไรที่ปิดบังฝ่าบาท ทำเรื่องที่เป็นความผิดใหญ่หลวง ฝ่าบาทจะทรง”


“ไม่หรอก ท่านจะไม่พลาดขนาดนั้น จำได้ว่าเมื่อก่อน ข้าเคยบอกว่า เชื่อใจท่านเหมือนเชื่อใจตัวเอง ท่านเองก็คงคิดอย่างงั้นเหมือนกัน ความผิดเล็กๆ น้อยๆ คงมีบ้าง ถึงอย่างงั้น ก็ไม่ใช่อะไรที่มาหลอกลวงข้า นิสัยท่านเป็นคนยังไง ข้ารู้ดีกว่าใคร ฉะนั้นไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
“หึ ฝ่าบาท”
เมื่อได้ฟังคำตรัสของพระเจ้าจองโจ ฮงกุกยองก็ไปเฝ้าพระมเหสีโยอึย
“พระมเหสี หม่อมฉันมีเรื่องบางอย่างจะทูล”
“ให้ทุกคนไปที่ตำหนักก่อน”
“ทราบแล้วเพคะ”
“มีเรื่องอะไร”
” หึ หึ เรื่องของหม่อมฉัน ทรงปิดเป็นความลับได้ไหม หึ หม่อมฉัน ไม่อยากลาจากฝ่าบาทด้วยข้อหาไม่ซื่อ ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง ฮือ จนทุกวันนี้ ฝ่าบาทยังทรงไว้วางพระทัยหม่อมฉัน จนหม่อมฉันไม่อาจ ทูลความจริงให้ทรงทราบได้ โปรดทรงให้โอกาส อีกเพียงครั้งเดียว ให้โอกาสหม่อมฉันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะพะยะค่ะ”
“ใต้เท้าฮง”
“หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว พระนางอาจไม่ทรงเชื่อ แต่หม่อมฉันสำนึกผิดที่ไปเข้ากับพระหมื่นปีจริงๆ ขอทรง”
” ข้าไม่เชื่อท่าน ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง ข้าก็ไม่อาจเชื่อคำพูดท่านได้อีก เพราะมันสายเกินไป ในเมื่อรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงผิดหวังอย่างมาก ท่านก็ไม่ควรเดินทางผิดแต่แรก ถ้าจะพูดแค่นี้ละก้อ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยิน เชิญท่านกลับไปซะ”
ฮงกุกยองกลับมาก็เข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ เพื่อทูลบอกเรื่องเส้นทาง
” การเสด็จคราวนี้ รอบข้างจะมีทหารม้าอารักขา ส่วนด้านหน้าคือหน่วยทหารพิเศษ องครักษ์นั้น จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม ไปอยู่ตามแต่ละอำเภอพะยะค่ะ”
“เอาตามนี้”
“แต่ได้ยินว่า พระมเหสีจะตามเสด็จด้วยหรือพะยะค่ะ”
” ใช่ ระหว่างที่ข้าไปเยี่ยมราษฎร พระมเหสีกับซองซังกุงจะรับผิดชอบเรื่องงานเลี้ยง ฉะนั้น ความปลอดภัยของพวกนางก็ต้องให้ท่านดูแลเหมือนกัน”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะไปสั่งการไว้”
“ดีมาก ออกไปได้แล้ว”
“พะยะค่ะ”
และเมื่อขบวนพระเจ้าจองโจและพระมเหสีโยอึยเสด็จมาถึงเมืองยางจู เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเจ้าเมือง ยางจู พะยะค่ะ”
“ทำไมแถวนี้ไม่เห็นมีราษฎรเลย ข้าบอกว่าจะมารับฟังปัญหาที่นี่ไงล่ะ”
“คือว่า ที่นี่ไม่มีเรื่องราวร้องทุกข์พะยะค่ะ ถ้าฝ่าบาทจะเสด็จผ่านไป ก็ขอให้วางพระทัยได้”
“ไม่ ข้าจะไปดูตามหมู่บ้านแต่ละแห่ง ท่านช่วยนำทางให้หน่อยซิ”
“หา พะยะค่ะ”
และระหว่างทางพระเจ้าจองโจรับสั่งถามเจ้าเมืองว่าชาวบ้านทำอะไรกันอยู่
“เอ่อ ไม่มีอะไรพะยะค่ะ”
นัมซาโชทูล “หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ที่ๆ ชาวบ้านกำลังเผาทิ้ง เหมือนเป็นแปลงปลูกต้นฝ้ายพะยะค่ะ”
“ฝ้ายเป็นผลิตผลสำคัญของถิ่นนี้ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมชาวบ้านอยู่ดีๆ เผาแปลงปลูกฝ้ายทิ้งซะล่ะ”
เจ้า เมืองอึกอัก พระเจ้าจองโจทรงเรียกนัมซาโชให้ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะหันมาบอกเจ้าเมืองว่าพระองค์จะพักให้ช่วยจัดที่พักด้วย สักพักพวกเชกากลับมาทูลรายงาน
“อะไรนะ การปลูกฝ้ายในแถบนี้ ผลผลิตลดลงกว่าครึ่งงั้นหรือ”
“ใช่แล้วพะยะค่ะ”
“ทำไมถึงลดลงได้ การปลูกฝ้าย เป็นอาชีพทำกินของชาวบ้านแถบนี้ ทำไมกลับเผาทิ้งซะล่ะ”
” นั่นเป็นเพราะ ฝ้ายที่ปลูก ไม่มีแหล่งจำหน่ายพะยะค่ะ แถบนี้ถือเป็นแหล่งปลูกฝ้ายที่สำคัญเพื่อส่งต่อไปยังเมืองหลวง แต่หลายปีนี้ เนื่องจากมีฝ้ายนำเข้าจากต้าชิงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ พ่อค้าจึงไม่ง้อฝ้ายพื้นเมืองของเราอีก หนำซ้ำ เจ้าเมืองก็ไม่ให้การเหลียวแล ทำให้ปัญหายิ่งสั่งสมมาจนทุกวันนี้”
“แล้วทำไมเจ้าเมืองถึงไม่สนใจการทำกินของชาวบ้านล่ะ ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ทางการมัวไปทำอะไรกันอยู่”
” เพราะฝ้ายจากต้าชิง คุณภาพดีและราคาถูกกว่า จึงไม่มีปัญหาต่อคนในตัวเมือง แม้ว่าอาจทำให้เกษตรกรลำบาก แต่สำหรับคนในเมืองแล้ว กลับได้ซื้อของถูกกว่าซะอีก”
“แต่ว่า ถึงอย่างงั้น เราก็ไม่ควรปล่อยให้ชาวบ้านที่นี่หมดทางทำมาหากินซะทีเดียว ข้าจะอยู่นี่ซักหลายวัน ดูว่าปัญหานี้จะแก้ยังไง”
ทางด้านพระมเหสีโยอึยทรงมีรับสั่งกับซองซงยอนว่า
” ก่อนกลับวังหลวง อาจจะมีการจัดเลี้ยงหลายครั้ง งานพวกนี้แรกๆ อาจรู้สึกวุ่นวาย แต่ว่า นี่เป็นสิ่งที่เราควรทำ เจ้าจึงต้องศึกษาไว้บ้าง”
“ทราบแล้วเพคะพระมเหสี”
“แต่เจ้า ทำไมวันนี้ดูหน้าซีดชอบกล ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เอ่อ ไม่มีหรอกเพคะ หม่อมฉันสบายดี ทรงวางพระทัยได้ หึๆ”
เวลานั้นฮงกุกยองก็ไปพบหมออย่างลับๆ เพื่อเอายาพิษ
“นี่คือยา แทวัง จากต้าชิง ต่างจากพิษชนิดอื่นตรงที่ออกฤทธิ์ช้า ต้องกินเข้าไปซักครึ่งชั่วยามถึงจะเห็นผล”
“คำว่าเห็นผลคือเป็นยังไง”
“จะเริ่มหายใจติดขัด มือเท้าชาและสั่น ไม่นานก็จะหยุดหายใจ เอ่อ ว่าแต่ ท่านต้องการยาชนิดนี้ ไปทำอะไรครับไ
ฮงกุกยองไม่ตอบ เขาคิดถึงคำพูดของพระมเหสีโยอึยแล้วตอบในใจว่า
“ไม่หรอกพระมเหสี ตอนนี้ยังไม่สาย หม่อมฉันสามารถยืนหยัดขึ้นใหม่อีกครั้ง”
พระเจ้าจองโจทรงชวนท่านเจ้าเมืองคุย
“ได้ยินว่า ท่านเป็นคนเห็นชอบให้ชาวบ้านเผาต้นฝ้าย หรือไม่ก็สนับสนุนให้ปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน สาเหตุเป็นเพราะอะไร”
” ฝ่าบาท นั่นเป็นเพราะว่า เทียบกับฝ้ายจากต้าชิงแล้ว ของเราคุณภาพด้อยกว่า ซ้ำเวลาขาย ราคาก็สูงกว่า พ่อค้าที่รับซื้อ จึงหันไปหาสินค้าคุณภาพดีกว่าพะยะค่ะ”
“ใช่ ถ้ามองในแง่คนค้าขาย ท่านพูดก็มีเหตุผล แต่ว่า ข้าไม่เข้าใจว่าทำไม ท่านถึงชี้แจงแบบไม่รู้สึกอะไรเลย”
“หา อะไรนะ”
” การปลูกต้นฝ้ายเป็นอาชีพดั้งเดิมของผู้คนที่นี่ และชาวบ้านก็กำลังจะหมดที่ทำกินแล้ว ท่านเป็นเจ้าเมืองแท้ๆ ปล่อยให้ราษฎรลำบาก กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ”
“หา เอ่อ”
“เป็นนักปกครองแต่ไม่ใยดีชาวบ้าน ท่านยังกล้าพูดอีกหรือว่า นี่คือการดูแลทุกข์สุขน่ะ”
เจ้าเมืองอึ้งไป “เอ่อ”
” เป็นที่รู้กันว่า ฝ้ายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเรา ผลผลิตที่ได้จากที่นี่ ทางการจะรับซื้อไว้ก่อน ส่วนท่านก็ไปหาวิธี ปลูกต้นฝ้ายให้ได้คุณภาพดีพอๆ กับต้าชิง”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”


พวกชาวบ้านสรรเสริญ “เป็นพระกรุณายิ่งแล้วพะยะค่ะ”
ฮงกุกยองเรียกลูกน้องมาสั่งแผนการ
“จำไว้ แผนของข้าถ้ามีอะไรผิดพลาด หลังจากนั้นจะให้เจ้าลงมือต่อ แต่ห้ามทำร้ายคนอื่นเข้าใจมั้ย”
“ข้าจะเลือกคนที่เป็นนักแม่นปืนจริงๆ ไม่ต้องห่วงครับ”
” อึม หึ นี่คือทิศเหนือ มีหอคอยอยู่แถวนี้ ข้าจะไม่ให้ทหารไปเฝ้า ส่วนพวกเจ้า ใช้ทางลัดเส้นนี้ ก็จะถึงหอคอยทันที ถ้ามีทหารไปตรวจการณ์ จะเดินแค่ตรงนี้เข้าใจมั้ย”
ฮงกุกยองเรียกเทซูมาบอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วย
“ครับใต้เท้า เชิญสั่งมาได้”
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยง ข้าไม่อยากให้ซองซังกุง เข้าร่วมงานนี้จะดีกว่า ฉะนั้น เจ้าช่วยไปบอกนางตามนี้หน่อยได้ไหม”
เทซูตกใจไม่เข้าใจ “หา”
“ถ้าเจ้าไปพูด นางคงยอมฟัง”
“ทำไมต้องทำอย่างงั้น.ทำไมซองซังกุง ถึงห้ามไปร่วมงานเลี้ยง มีเหตุผลหรือเปล่า”
” ข้าได้ยินมาว่า จะมีชาวบ้านประท้วงเรื่องการปลูกฝ้าย ซึ่งอาจมีอันตรายต่อซองซังกุง ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการขอร้อง ฉะนั้น ไม่ต้องถามอะไรมากอีก ทำตามที่สั่งได้ไหม”
จากนั้นฮงกุกยองก็นำห่ออาหารมามอบให้แชซังกุง
“ก่อนเที่ยงวันนี้ จะมีการเลี้ยงอาหารเป็นครั้งสุดท้าย จงเอาของห่อนี้ ใส่ในเครื่องเสวยของพระมเหสี”
ฮงกุกยองยังได้มาสั่งคังซกกีอีกว่าให้ย้ายทหารจากหอคอยไปอยู่ด้านนอก เฝ้าตามทางเข้าออกก็พอ
และภายในงาน ซองซงยอนเกิดหน้ามืดขึ้นมา ทุกคนต่างช่วยกันดูแลซองซงยอน พระเจ้าจองโจเองก็ทรงเป็นห่วงมากรีบเสด็จมาดูแล
“ซงยอน”
“อ้อ ฝ่าบาท”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ เป็นลมได้ล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ อาจเพราะหม่อมฉันสุขภาพอ่อนแอ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกเพคะ”
“ไม่ให้ห่วงได้ไง พอรู้ว่าเจ้าเป็นลม ข้าก็ไม่เป็นอันทำงานแล้ว”
“ฝ่าบาท”
พระมเหสีโยอึยตรัสว่า “อาจเพราะเดินทางหลายวัน ทำให้นางไม่ชินกับความระหกระเหินน่ะเพคะ”

จบ ตอนที่ 65

No comments:

Post a Comment