Saturday 21 March 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 3


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 3

องค์ ชายลีซานรวบรวมความกล้าเข้าขวางขบวนเสด็จของพระเจ้ายองโจ พระเจ้ายองโจทรงทอดพระเนตรภาพวาดขององค์รัชทายาทซาโต พระเจ้ายองโจทรงไม่ทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว ทรงใช้สายพระเนตรที่น่าสะพรึงกลัวจับจ้องไปที่องค์ชายลีซาน องค์ชายลีซานทูลวิงวอนพระเจ้ายองโจให้ทรงปล่อยตัวองค์รัชทายาทซาโต แต่พระเจ้ายองโจกลับทรงมีรับสั่งให้คุมขังองค์ชายลีซานซึ่งเป็นพระราชนัดดา อย่างเลือดเย็น
ฮงพงฮันช่วยทูลกล่อม “ฝ่าบาท องค์ชายยังเด็กไม่รู้ความ ทรงอภัยด้วยเถอะพ่ะยะค่ะ”
“ท่านเสนาซ้าย ข้าบอกว่าห้ามขอร้องแทนเขาไง”
” ฝ่าบาท เสด็จพ่อใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ถูกขังอยู่ในลังไม้ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก รับสั่งก็ไม่มีเสียง หายใจก็ลำบาก ฮือ จริงๆ แล้ว หม่อมฉันก็รู้ดี เหมือนที่เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็ทรงเป็นห่วงเสด็จพ่อเหมือนกัน เพราะทรงเป็นพระบิดา ทรงเป็นพระบิดาของเสด็จพ่อไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ฮือ และด้วยความที่เป็นโอรส เสด็จพ่อจึงไม่เคยตำหนิฝ่าบาทเลย ถือว่าสงสารเสด็จพ่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่ ได้โปรด ได้โปรดเมตตาเสด็จพ่อของหม่อมฉันด้วย ฮือๆๆ”
“ข้าช่วยไม่ได้หรอก เพราะข้าไม่ได้เป็นแค่พ่อ ยังเป็นพระราชาด้วย จับองค์ชายลีซานไปกรมอาญา แล้วข้าจะไต่สวนความผิดด้วยตัวเอง”
เหล่าขุนนางทูลพร้อมกัน “ฝ่าบาท ขอทรงไตร่ตรองด้วยเถอะ อย่าถือสาองค์ชายน้อยเลย”
“ฝ่าบาท ฮือๆๆ” ลีซานร้องไห้
“ก็ได้ พวกเจ้าไม่กล้าลงมือใช่ไหม งั้นข้าเอง ลุกขึ้น”
“เสด็จปู่” ลีซานเงยหน้ามองพระเจ้ายองโจ
“บอกให้ลุกขึ้น”
“เสด็จปู่ ฮือ”
ทันใดนั้นนายกองก็เข้ามาทูลว่า “ฝ่าบาทๆๆ หึ ฝ่าบาท มีข่าวว่ารัชทายาท รัชทายาททรง สิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่มัน นี่มันหมายความว่าไง รัชทายาทสิ้นพระชนม์ แปลว่าเสด็จพ่อตายแล้วงั้นหรือ” ลีซานทั้งอึ้งทั้งตกใจ
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ลีซานฟังชัดเจนเช่นนั้นก็ร้องไห้อย่างหนัก
พระเจ้ายองโจทรงตรัสถามขึ้นว่า “เขาตายเมื่อไหร่”
“เมื่อซักครู่นี้ หลังเที่ยงไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮือ เป็นไปไม่ได้ ใครบอกว่าเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์แบบนี้ ฮือ ข้าไม่เชื่อ ฮือๆๆ เสด็จพ่อ ฮือ เสด็จพ่อ ฮือ เสด็จพ่อ ฮือๆๆ เสด็จพ่อ”
“ฝ่าบาท” ฮงพงฮันสงสารองค์ชายลีซาน
พระเจ้ายองโจทรงตัดบทว่า “ช่างเถอะ เรื่ององค์ชายน้อย ข้าจะไม่ถือสาอีก ถือว่าพ่อเขา มาแลกกับชีวิตของลูก เดินทางกลับวัง”
องค์ชายลีซานเอาแต่ร้องไห้ มีซองซงยอนกับเทซูคอยปลอบ
เท ซูไปคุยอวดเพื่อนๆ ว่าเขาเป็นเพื่อนกับองค์ชายลีซาน ทำให้รู้จากเพื่อนว่า ทหารเตรียมการจะมอบยาพิษให้องค์ชายลีซานเสวย เทซูไม่เชื่อเพราะเขาเองก็ได้รับการอภัยโทษมาแล้ว แต่เด็กชายคนนั้นเตือนเทซูว่าถ้าไปพูดกับใครว่าเป็นเพื่อนองค์ชายลีซาน สักวันอาจถูกจับประหาร
ราชเลขามาถึงที่บ้านองค์ชายลีซาน ให้สองแม่ลูกเข้าเฝ้าโดยเร็ว เฮคยองอดปรารภกับลีซานไม่ได้ว่า
” มีพระบัญชาให้เราไปเข้าเฝ้าโดยเร็ว ดูจากรูปการตอนนี้คงยากจะคาดเดาได้ว่า จะทรงอภัยโทษให้เจ้าจริง หรือว่า รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า เมื่อเสด็จปู่มีพระบัญชา เราก็ต้องรีบไปเข้าเฝ้า”
“หม่อมฉันไม่คิดจะไป ไหน และไม่คิดขอให้เสด็จปู่ทรงยกโทษให้ด้วย หม่อมฉันจะไม่ทำตามที่เสด็จแม่ทรงคาดหวัง ให้หม่อมฉันแทนตำแหน่งของเสด็จพ่อเป็นอันขาด หม่อมฉันจะไม่มีวัน สืบทอดบัลลังก์ของเสด็จปู่อย่างแน่นอน”
“หึ ข้าไม่ได้หวังให้เจ้า แบกภาระเพื่อเป็นพระราชาองค์ใหม่ เพียงแต่ นี่เป็นการช่วยชีวิตเจ้าเอง ไม่ได้หวังให้เจ้าเป็นใหญ่ เพื่อวงศ์ตระกูลของเรา ไม่ได้หวังให้เจ้า ไปเสวยสุขเป็นพระราชาที่มีอำนาจล้นฟ้า แต่ถ้าไม่คิดครองราชย์ เจ้าก็ต้องตาย เข้าใจหรือเปล่า มันเป็นชะตาของเจ้าอยู่แล้ว แม่ยังเชื่อมาตลอดว่า เสด็จพ่อของเจ้ายอมตายเพื่อจะช่วยเจ้าไว้ เขาต้องคิดอย่างงั้นแน่ และเขาเป็นคนอย่างงั้นด้วย เพราะเป็นเสด็จพ่อ ที่รักเจ้าดั่งดวงใจ ยิ่งกว่าห่วงชีวิตตัวเองซะอีก ถึงเจ้าจะไม่พอใจแม่ แม่ก็ไม่ถือสาเจ้า แต่ว่า เสด็จพ่อที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คงอยากให้เจ้าอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้น เห็นแก่ความตั้งใจของเสด็จพ่อ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องครองราชย์ เข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเป็นพระราชา และอยู่ต่อไปให้ดีด้วย”
ซองซงยอนกับเทซูพยายามหาทางมาจนได้พบกับองค์ชายลีซานอีกครั้ง องค์ชายลีซานเองก็ดีใจมากที่ได้พบหน้าเพื่อนทั้งสอง
“หึ วิเศษเลย ไม่นึกว่าจะได้เจอพวกเจ้าอีก ข้าดีใจมาก พวกเจ้าเป็นไง ยังถูกลงโทษเพราะเรื่องนั้นอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรแล้ว เราสองคนปลอดภัยดี”
” แล้วองค์ชายล่ะ ข้าได้ยินเรื่องน่ากลัวบางอย่าง ถ้าองค์ชายเข้าวัง อาจมีอันตรายก็ได้ อ้อ ไม่ใช่ๆ คงเป็นแค่ข่าวลือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” เทซูรีบบอก
“ใช่ ไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะ คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่า นี่อาจเป็นวันสุดท้ายของเรา หลังจากเข้าวังไปแล้ว ข้าคงไม่มีโอกาสได้เจอพวกเจ้าอีก”
“งั้นเราจะเข้าวังเอง ถ้าองค์ชายออกมาไม่ได้ เราจะเข้าวังไปหาองค์ชายเอง”
“ใช่แล้ว ข้ากับซงยอนจะไปด้วยกัน เมื่อเข้าวังแล้ว เราจะได้ช่วยองค์ชายอีก”
“เทซู” องค์ชายลีซานซาบซึ้งใจนัก
“แต่ยังไงก็ตาม องค์ชายต้องรอเราด้วยนะ เราจะหาทางเข้าไปให้ได้ และก่อนที่เราจะเข้าวัง องค์ชายต้องดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ”
” ฮือ ตกลง ถ้าเป็นเพื่อนจริงก็ต้องสัญญากับข้าไว้ นี่คือสัญญาของเรา ไม่ว่ากี่เดือนกี่ปี ข้าก็ไม่มีวันลืม หึ ข้าจะรอพวกเจ้าจนกว่าจะเข้าวังมา เพราะฉะนั้น ยังไงก็ต้องมาหาข้าล่ะ”
ซองซงยอนพยักหน้า “อึม”
“ข้าก็ไม่ลืมสัญญา คราวนี้ต่อให้ถูกตัดนกน้อย หรือถูกเฆี่ยนตี ข้าก็จะเข้าวังให้ได้”
เฮคยองกับองค์ชายลีซานเข้าเฝ้าพระเจ้ายองโจ ทรงตรัสขึ้นก่อนว่า
“นั่งลง ไปอยู่บ้านเดิมคงไม่ค่อยสะดวกสบายนัก สีหน้าถึงได้ดูซีดล่ะสิ”
” มิได้เพคะฝ่าบาท ทุกวันนี้หม่อมฉันได้อยู่อย่างสุขสบายก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว หม่อมฉันกับลูกชาย ได้อยู่ต่อโดยไม่มีใครรบกวน เพราะบารมีของฝ่าบาทคอยคุ้มครองเพคะ”
“อึม งั้นหรือ เจ้าคิดอย่างงั้นจริงหรือเปล่า แล้วเจ้าล่ะคิดยังไง เห็นตรงกันกับแม่เจ้าหรือเปล่า”
เฮคยองตอบแทนว่า “ที่หม่อมฉันทูลฝ่าบาทนั้น ปกติก็คุยกับลูกอยู่แล้ว จึงเห็นตรงกันเพคะ”
“ถ้าไงเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับหลานซักครู่” พระเจ้ายองโจตัดบท เฮคยองจำต้องออกไป
” หึ วันนี้แต่งตัวเต็มยศเชียวนะ วันก่อนเห็นเจ้า ใส่ชุดชาวบ้านมอมแมมก็เหมือนจะเหมาะกับเจ้าดี รู้มั้ยว่าบนโต๊ะข้านี่คืออะไร ฎีกาที่มาร้องเรียนว่าเจ้าไม่คู่ควรเป็นองค์ชายอีก ซึ่งก็น่าอยู่หรอก เพราะเจ้าขัดคำสั่งข้า แถมยังทำตัวเสื่อมเสียต่อหน้าผู้คน แล้วจะไม่ให้ชาวบ้านนินทาได้ยังไง คืนนี้ข้าต้องมีคำตอบให้กับฎีกาพวกนี้ บอกซิว่า จะให้ข้าทำไงดี”
“ความหมายของฝ่าบาท คือจะให้คำตอบตามความคิดของหม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้ามีเหตุผลฟังขึ้นได้”
“งั้นทรงตอบว่า จะไม่ทรงลิดรอนสิทธิ์การครองราชย์ของหม่อมฉัน”
“ทำไมอย่างงั้นล่ะ”
“เพราะหม่อมฉันจะอยู่ต่อไป อยู่ต่อไปเพื่อทำหน้าที่ และรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนพ่ะย่ะค่ะ”
” เดี๋ยวก่อน เหตุผลยังไม่มีน้ำหนักพอ ถ้าเจ้ายังมีศักดิ์เป็นองค์ชายต่อไป อนาคตจะเป็นผู้กุมอำนาจในการบริหารบ้านเมือง ส่วนเจ้าจะเป็นหรือตาย นั่นเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวของเจ้าถ้ามาพัวพันกับการเป็นองค์ชาย มิเท่ากับทำให้บ้านเมืองหายนะ ราษฎรเดือดร้อนเพราะเจ้าหรอกหรือ”
“ถ้า อย่างงั้น หม่อมฉันจะพิสูจน์ให้ทุกคนดู ว่าหม่อมฉันคู่ควรกับเครื่องแต่งกายชุดนี้ พิสูจน์ให้ฝ่าบาทได้ทรงเห็นว่า หม่อมฉันคู่ควรเป็นพระนัดดา แบบนี้จะดีมั้ยพ่ะยะค่ะ”
“พิสูจน์ให้ทุกคนดูหรือ เป็นความคิดที่น่าขำ ช่างเบาปัญญาซะจริงๆ”
ราชเลขา อ่านประกาศว่า “ความผิดขององค์ชาย คือปกป้องนักโทษ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เป็นเหตุให้ราชสำนักมัวหมอง ซึ่งถือเป็นความผิดอย่างมหันต์ แม้ว่า ทั้งหมดนี้อาจเพราะองค์ชายยังทรงพระเยาว์อยู่มาก แต่ยังไงกฎก็ต้องว่าไปตามกฎ การลงโทษไม่จำเป็นต้องให้เจ็บตัวเสมอไป ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้องค์ชายลีซาน สำนึกในความผิดให้มากขึ้น และให้เรื่องนี้เป็นบรรทัดฐานในการลงโทษต่อไป ฉะนั้น นับแต่นี้จึงให้องค์ชายลีซานเป็น “ตงกุง”รับหน้าที่แทนตำแหน่งรัชทายาทให้ดีที่สุด”
ขุนนางทำการทักท้วง แต่พระเจ้ายองโจทรงให้ราชเลขาอ่านต่อ
” นับแต่นี้ ให้องค์ชายลีซานย้ายที่อยู่ ไปยังตำหนัก “ชาคยอง” เพื่อรับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด โดยมีครูอาจารย์คอยสอนวิชาความรู้ในแขนงต่างๆ ส่วนครูฝึกด้านการป้องกันตัวก็ให้เลือกจากองครักษ์ ทำหน้าที่ถวายการสอนต่อไป”
เหล่าขุนนางทูลพร้อมกัน “ทรงไตร่ตรองใหม่ด้วยเถอะ ฝ่าบาท ทรงไตร่ตรองใหม่ด้วยเถอะ ฝ่าบาท”
จากนั้นองค์ชายลีซานก็ทรงศึกษาหลายวิชาพร้อมกันอย่างหนัก วันนี้ทรงเรียนการปกครอง พระเจ้ายองโจเสด็จมาดู จากนั้นก็ทรงตรัสถามว่า
“เจ้าศึกษาไปถึงไหนแล้ว”
“เรียนรู้ว่าอะไรคือการเมือง พื้นฐานการปกครองต่างๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ ถ้าอย่างงั้น การเมืองคืออะไร”
“การเมืองมาจากคำว่า “ชองจี” หมายถึงความถูกต้อง และรากฐานที่มั่นคง เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ให้รากฝังลึกและเจริญงอกงามพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดใช่ไหม หึ งั้นลองบอกข้าซิว่า อะไรคือการปกครองที่เหมือนไม้ใหญ่ยั่งยืน”
“พระราชาซึ่งเป็นประมุข ควรเปี่ยมด้วยเมตตาและทศพิธราชธรรม และหม่อมฉัน ก็จะทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อ เป็นพระราชา”
“งั้นหรือ พ่อเจ้าบอกให้เจ้าเป็นพระราชาที่ดีหรือไง แล้วคิดว่า พระราชาที่ดีควรเป็นยังไง”
“ห่วงใยและรู้จักฟังเสียงของราษฎร ก็คือพระราชาที่ดี”
“เสียงของราษฎรมีอะไรบ้าง”
“เอ่อ ก็คือ พ้นจากความยากไร้ ทุกคนได้กินดีอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วถ้าเจ้าเป็นพระราชา สิ่งแรกที่จะทำคืออะไรบ้าง”
“ลดภาษีและการส่งส่วย จัดระเบียบสังคมให้มีแบบแผน”
“ผิดแล้ว ตอบใหม่ซิ”
“เอ่อ คือ ไม่ให้ขุนนางรังแกราษฎรตามใจชอบ เข้มงวดต่อพวกเขา”
“ผิดอีก”
“ถ้า ถ้าอย่างงั้น ก็ต้องเป็น ให้ทหารบางส่วนปลดระวาง ไปทำการค้าเลี้ยงดูครอบครัว”
” ตอบผิดทั้งนั้น สิ่งแรกที่พระราชาควรทำคืออะไรยังไม่รู้ แล้วยังคู่ควรเป็นหลานข้าอีกหรือ หึ ไปหาคำตอบมาซะ ให้เวลาสามวันในการหาคำตอบ ถ้าตอบไม่ได้ละก้อ เจ้าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เคยพูดกับข้าไว้”
องค์ชายลีซานทรงคิดทบทวนคำ พูดของพระเจ้ายองโจ แล้วก็ทรงไปขอให้เจ้าหน้านำฎีกาที่ราษฎร์ถวายมาให้อ่านให้หมด แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ จึงลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านทานอาหารกับชาวบ้าน แต่เกิดอาการคลื่นไส้
องค์ชายลีซานไม่เข้าใจว่าทำไมยังทรงหาคำตอบไม่ได้ แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องให้คำตอบแด่พระเจ้ายองโจ
“ว่าไง ได้คำตอบแล้วหรือยัง ไหนลองว่ามาซิ”
“เพื่อเห็นแก่ราษฎร สิ่งแรกที่พระราชาควรทำก็คือ ปกป้องชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ ถูกชนชั้นสูงกดขี่และเอารัดเอาเปรียบพ่ะย่ะค่ะ”
” ผิดอีกแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง สิ่งที่เจ้าพูดมา แม้เป็นหน้าที่ของพระราชาก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน จะให้ตอบครั้งสุดท้าย บอกมาเร็ว บอกให้พูดไงเล่า”
“หม่อมฉัน ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันคิดแล้วคิดอีก ยังหาคำตอบไม่ได้ ไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เจ้าไม่กินไม่นอนก็เพื่อจะหาคำตอบใช่ไหม ในเมื่อทำตามสัญญาไม่ได้ ก็ถอดชุดได้แล้ว”
“เอ่อ ฝ่าบาท ขอได้โปรด ให้เวลาหม่อมฉันอีกวันเถอะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน”
” ฮึ่ม นั่นคือ บัญชีการเบิกจ่ายที่เจ้าหน้าที่คลังหลวงส่งมาถึงข้า มีการจดบันทึกไว้ว่า เจ้าเบิกค่าใช้จ่ายสำหรับตำหนัก “ตงกุง” ไปใช้ส่วนตัวจนหมด บอกมาซิ เอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ”
“ฝ่าบาท” องค์ชายลีซานตกใจ
” ถลุงเงินมากๆ ทำให้สบายใจหรือไง เพิ่งไปอยู่ตำหนักตงกุงไม่เท่าไหร่ก็ใช้เงินยังกะเบี้ย มีอย่างที่ไหนกัน บอกมาซิ เงินตั้ง 3 พันตำลึง เจ้าเบิกไปทำอะไรกันแน่”
“นั่น นั่นเป็นเพราะ”
“ไม่เอาไหนจริงๆ เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ในวังอีกแล้ว พรุ่งนี้เช้าออกจากวังไปซะ”
“ฝ่าบาท” ลีซานพยายามจะอธิบาย
“ไม่ต้องพูดมาก บอกให้ถอดชุดแล้วออกจากวังเดี๋ยวนี้”
องค์ ชายลีซานทรงสะอื้น เฮคยองรีบมาทูลขอพระเจ้ายองโจ แต่ก็ไม่ได้ผล วันรุ่งขึ้นองค์ชายลีซานเตรียมตัวจะออกจากวังหลวง มหาดเล็กก็มาตามตัวองค์ชายลีซานให้รีบไปที่ห้องรับฎีกา บอกว่าพระเจ้ายองโจทรงให้เข้าเฝ้าด่วน และทูลพระเจ้ายองโจว่า
“ปกติใน ตัวเมือง จะมีผู้ใช้แรงงานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ปะปนกัน แต่พอทางการออกกฎใหม่ ห้ามใช้แรงงานเด็กเยี่ยงทาส ทำให้บรรดาพ่อค้าคิดรวยทางลัด เอาเด็กที่หมดประโยชน์ไปขายให้ต้าชิงเป็นแรงงานต่อไป ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้ เกิดมาก็กำพร้าพ่อแม่อยู่แล้ว ยังอุตส่าห์เขียนฎีกาด้วยความลำบาก แสดงว่าทนถูกกดขี่ไม่ไหวจริงๆ แม้ว่า หม่อมฉันรู้ดีว่าไม่ควรทำอย่างงั้น แต่ได้ยินว่าเมื่อวานจะมีเรือจากต้าชิงมาเทียบท่า ด้วยความจำเป็นก็เลย”
“จากนั้น เจ้าเลยเอางบประมาณของตำหนักไปไถ่ตัวพวกเขาใช่ไหม”
” หม่อมฉันตั้งใจว่าปีหน้าจะประหยัดกินประหยัดใช้ เพื่อชดเชยกับปีนี้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรู้ว่าทำผิดใหญ่หลวง ขอทรงลงอาญาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ ทำไมถึงปิดเงียบ ไม่มีใครมาบอกให้ข้ารู้เลย”
“ขอทรงอภัยพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากฎีกาบางฉบับเขียนด้วยลายมือโยกโย้ อ่านลำบากก็เลยถูกพักไว้ก่อน”
” ไม่เอาไหนจริงๆ เสียทีเป็นขุนนาง เห็นความเดือดร้อนของราษฎรเป็นเรื่องเล็ก พักได้พักไว้ก่อนงั้นหรือ สั่งปลดเจ้าหน้าที่รับฎีกาให้หมดทุกคน แล้วไปที่ตัวเมือง สืบให้รู้ว่าใครจับเด็กไปขาย เอาตัวมันกลับมา ได้ยินมั้ย”
ทุกคนน้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ”
“พาองค์ชายกลับไปตำหนักเหมือนเดิม”
“แต่ว่าหม่อมฉัน”
“สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ ก็คือการปกครอง ทำดีมาก”
พระเจ้ายองโจทรงขอบคุณแชจีคยอม
“ขอบคุณท่านมาก วันนี้ถ้าไม่ได้ท่าน ข้าคงทำอะไรผิดไปแน่”
“ขอบพระทัยที่ทรงชม แต่ว่า คำถามที่ฝ่าบาททรงถามองค์ชายนั้น ไม่ต้องการคำตอบแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านก็รู้คำตอบแล้วไม่ใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ คุณสมบัติข้อแรกที่ผู้ครองเมืองควรจะมีนั้น หม่อมฉันเห็นว่า คือจิตใจที่เป็นห่วงราษฎรและบ้านเมืองอยู่ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”
” ถูกต้อง คือจิตใจที่ห่วงราษฎร และพยายามทำเพื่อบ้านเมืองด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ นั่นคือการปกครองที่แท้ แต่ไม่รู้ว่าองค์ชาย จะรู้คำตอบเหมือนที่เรารู้หรือเปล่า หึ”
ทางด้านขุนนางที่ไม่ชอบองค์ชายลีซาน ก็พยายามคิดแผนการทำให้องค์ชายลีซานผิดใจกับพระเจ้ายองโจ
วันนี้ครูได้พานักเรียนจากข้างนอกมาเรียนกับองค์ชายลีซานและทดสอบวิชาจากตำรา ซาซอ
“ใครจับได้หัวข้อไหน ก็ให้ท่องตามที่เรียนมาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายลีซานจับได้ป้ายเขียนคำว่า “โชซู”
อาจารย์บอกว่า “วันนี้ขอสอบเฉพาะแค่ปรัชญา พวกตำรา “โชซู” ยังไม่สอบพ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้ายองโจเสด็จมา “ยังไม่ได้เรียนตำรา “โชซู” หรือไง”
“อาจเพราะเพิ่งเรียนไม่นาน องค์ชายจึงจำไม่ค่อยได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่องไม่ได้หรือไง” พระเจ้ายองโจตรัสถามองค์ชายลีซาน
” เอ่อ ไม่พ่ะย่ะค่ะ หึ ท่าน “โชกง” บอกว่า ผู้ดีต้องให้เกียรติ ไม่ถือตนเป็นใหญ่ รู้ว่า อะไรควรไม่ควร รู้จัก ความผิดถูก เมื่อเป็น ผู้น้อย ก็ควรจะ ควรจะ”
แชจีคยอมถอนใจ พระเจ้ายองโจทรงตรัสถามนักเรียนคนอื่น
“นักเรียนคนอื่นล่ะ มีใครได้เรียนเล่มนี้มาบ้าง”
อาจารย์ตอบว่า “ส่วนใหญ่จบเพียงแบบเรียนเบื้องต้นพ่ะย่ะค่ะ”
ชองโฮคยอมเสนอตัวทันที “หม่อมฉันขอท่องเองพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นดี เจ้าลองท่องมาซิ”
“ผู้น้อยต้องรู้จักปรนนิบัติผู้ใหญ่ เป็นบุตรต้องรู้จักดูแลพ่อแม่ รู้ผิดถูก รู้ดีชั่ว รู้ละลาย รู้สำนึก ถึงเป็นยอดคนพ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้ายองโจตรัสต่อว่า “อธิบายความหมายได้ไหม”
ชองโฮคยอมน้อมรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
“พูดมาเร็ว”
” คนเราต้องรู้จักลำบากก่อน ถึงค่อยเสพสุข จึงจะรู้ว่าความบากบั่นมีความหมายแค่ไหน เช่นเดียวกัน พ่อแม่ที่ทำงานหนัก แต่ลูกหลานกลับห่วงแต่สบาย จะไม่มีวันได้ดีกว่าพ่อแม่ พ่อแม่ควรสอนให้รู้จักคำว่าหนักเอาเบาสู้ การเจริญรอยตามผู้ใหญ่ คือนำส่วนที่ดีมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“หม่อมฉันชองโฮคยอมพ่ะย่ะค่ะ”
“ชองโฮคยอมหรือ ดูอายุเจ้าก็ไม่ห่างจากองค์ชายมากนัก แต่ท่องได้ฉะฉาน เป็นเด็กฉลาดจริงๆ”
“ขอบพระทัยที่ทรงชม ที่จริงหลักสำคัญ องค์ชายได้ทรงท่องหมดแล้ว หม่อมฉันแค่เติมในส่วนย่อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ทีหลังถ้าจะเรียน ให้เด็กคนนั้นเข้าวังมาด้วย จะได้เป็นเพื่อนเรียนกับองค์ชาย”
อาจารย์ทั้งสองท่านรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ มีเขาอยู่ใกล้ๆ เจ้าจะได้ดูเป็นแบบอย่าง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทๆๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” มหาดเล็กเข้ามา
“เกิดเรื่องอะไร”
พระเจ้ายองโจเสด็จมาประชุมทันที
” เมื่อซักครู่ มีองครักษ์มาส่งข่าว ว่าหลังจากองค์ชาย ย้ายไปตำหนักตงกุงแล้ว ขณะเก็บกวาดตำหนักเดิมขององค์ชาย พบสิ่งน่าประหลาดบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
“น่าประหลาดอะไรกัน”
“เอ่อ คือ มันเป็น มี มีปืนพ่ะย่ะค่ะ มีปืนและดาบจำนวนมาก อยู่ในตำหนักเดิมขององค์ชายน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง มีอาวุธในตำหนักองค์ชายงั้นหรือ”
“ฝ่าบาท แสดงว่าเป็นการซ่องสุมอาวุธของอดีตรัชทายาท” ขุนนางที่ไม่ชอบองค์ชายลีซานรียกราบทูล
ขุน นางอีกคนสมทบว่า “ยังจำเรื่องราวที่เกิดในปี “ซินซา” ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ อดีตรัชทายาทแอบสะสมอาวุธเพื่อหวังจะก่อกบฎ โชคดีที่มีคนรู้ก่อน จึงได้ทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ”
“แต่ว่า ทำไมยังมีอาวุธหลงเหลืออยู่ในตำหนักองค์ชายน้อย นั่นแปลว่าอะไรหรือพ่ะยะค่ะ” ขุนนางอีกคนแปลกใจ
“นั่นก็คือองค์ชายลีซานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิดกบฏด้วย”
” ฝ่าบาท รับสั่งให้องค์ชายลีซานมาไต่สวนเถอะพ่ะย่ะค่ะ การก่อกบฏเป็นเรื่องใหญ่ สมควรจะสืบให้รู้ เพื่อจะได้ลงโทษคนที่คิดไม่ซื่อให้หมดไป”
“ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย” เหล่าขุนนางทูลพร้อมกันอีก
ขณะที่องค์ชายลีซานมาดู แล้วก็ตกใจว่าของพวกนี้มาอยู่ในตำหนักได้อย่างไร ทันใดนั้นพระเจ้ายองโจก็เสด็จมาถึ
” เดือน 4 ปีซินซา มีคนมาบอกว่าพ่อเจ้าคิดไม่ซื่อ ซ่องสุมกำลังและเก็บอาวุธไว้ในตำหนักเป็นจำนวนมาก แต่ว่าถึงเขาจะวู่วามขนาดไหน คงไม่ทำอะไรประเจิดประเจิดให้ใครรู้ ข้าเลยไม่อยากเอาเรื่องอีก แล้วทำไมของพวกนี้ จู่ๆ มาโผล่ที่ตำหนักของเจ้าได้ ทำไมถึงมีอาวุธมากมายอยู่ในตำหนักของเจ้า เพราะพ่อเจ้าสั่งไว้ ให้เก็บรักษาแทนเขาใช่หรือเปล่า”
“เอ่อ ไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่รู้ว่า ของพวกนี้มาจากไหน”
“แต่นี่เป็นตำหนักเก่าของเจ้า ที่เจ้าอยู่อาศัยมาหลายปี ถ้าเจ้าบอกว่าไม่รู้ แล้วใครจะรู้อีก”
” เอ่อ จริงนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่รู้อะไรจริงๆ ฮือ ทำไมของพวกนี้มาอยู่ตำหนักหม่อมฉันได้ หม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยซักนิด ขอฝ่าบาททรงเชื่อหม่อมฉันด้วย”

จบ ตอนที่ 3

No comments:

Post a Comment