Tuesday, 31 March 2009

รวมบทความ "ละครประวัติศาสตร์ฟื้นฟูชาติ" บทที่ 1 โดย วรณัย : จาก “คิงส์จูมง” ถึง “หมอโฮจุน”


วรณัย : จาก “คิงส์จูมง” ถึง “หมอโฮจุน” ชวนดูละครแล้วย้อนประวัติศาสตร์
วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤศจิกายน 2550

เรื่องราวทางมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี สหวิทยาการและมุม Gossip
Permalink : http://www.oknation.net/blog/voranai


ในตอนนี้ผมรู้สึกว่า ตัวเองกำลังเป็นโรค “ติดละครซี่รี่ย์เกาหลี” ไปแล้วครับ ติดมาตั้งแต่เรื่อง "แดจังกึม หมอโฮจุน ซองดองโย จนมาถึงมหาบุรุษจูมง" ในวันนี้

ตั้งใจว่าจะไม่ดูเพราะกลัวจะติด จนทำให้ทุกเย็นวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีเวลาไปไหน เพราะ “ติดทีวี” แต่ก็ติดจนได้ อย่างเรื่องแดจังกึม ก็ไม่ดูตอนเด็กเลย แต่พอนางเอกโตแล้วค่อยมาดู พอดูแค่สองวัน ...ก็ติดทันที ก็นางเอกเขาน่ารักจริง ๆ นี่ครับ...

มาซี่รีย์ที่สองที่ชวนให้ติดตาม เป็นเรื่องของ"หมอโฮจุน" มีเนื้อหากินใจ แอบแฝงด้วยคำสอนปรัชญาให้เกิดความเพียรพยายามและอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงนางเอกจะไม่ค่อยสวย ออกจะหมวยมากไปหน่อย ก็ติดจนจบอีกนั่นแหละ เพราะลุ้นอยากให้หมอเขียนตำราแพทย์ให้เสร็จก่อนตาย เป็นคุณูปการต่อชาวโลก สมดังที่ตั้งใจไว้

มาถึงเรื่องที่สาม "ซอดองโย" ตั้งป้อมอย่างแข็งขันว่า....ไม่อยากดูแล้ว เบื่อละครเกาหลี !!! แต่พอผ่านไปแค่สองสามเดือน ก็เริ่มติดเป็นตังเม ทั้งเรื่องราวของเหล่าสารพัดช่าง ช่างน้อย ช่างใหญ่ การแย่งชิงราชบัลลังก์ เรื่องของแคว้นชิลลาและแพคเจ กับความสวยงามของนางเอกและนางร้ายผู้น่าสงสาร สะกดวิญญาณให้ผมนั่งเฝ้าหน้าทีวีทุกเย็น เฝ้าลุ้นให้พระเอก รวบหัวรวบหางมันทั้งสองนาง(น่ารักทั้คู่)จะได้ไม่ต้องมาแย่งกัน แต่ดูพระเอกจะทันสมัยไปหน่อย รักเดียวใจเดียวเสียเหลือเกิน (ทั้ง ๆ ที่ตามจริงแล้วกษัตริย์สมัยก่อนสามารถมีเมียได้มากมาย)

จนมาถึงเรื่องปัจจุบัน "จูมง มหาบุรุษกู้บัลลังก์" ละครฟอร์มยักษ์ที่ได้ข่าวว่าทุ่มทุนสร้างกว่า 1 พันล้านบาท เป็นเรื่องราวของพระเอกหน้าตี๋ นางเอกสวยน้อย (ในสายตาของผม) กับสงครามของบ้านเมืองเกาหลีในยุคที่ยังเป็นชนเผ่ายุคโลหะ เอาละวะ...เรื่องนี้ไม่ดูแน่นอน อ้างในใจว่าไม่ชอบนางเอก ไม่ชอบหนังสงคราม และไม่ชอบโน้น ไม่ชอบนี่....ชุดเกราะก็เว่อร์ ....ชนเผ่าโบราณอะไรทำเครื่องแต่งกายอย่างกับทหารโรมัน !!!

ผ่านมาได้สักสองเดือน ก็เพิ่งมารู้ตัวว่าได้มานั่งดูอยู่หน้าจออย่างอัตโนมัติ รอหมดข่าว 5 โมงเย็นอย่างใจจดใจจ่อ นั่งดูนางเอกที่เคยว่าไม่สวย ก็ดูสวยขึ้นแล้วแฮะ .....เรื่องไม่ชอบหนังสงคราม ผมคงเป็นพวกเกลียดปลาไหลกินน้ำแกงแน่ ๆ ชอบจะตายชักกับเรื่องทะเลาะวิวาทของชาวบ้านตั้งแต่เรื่องข้างบ้านยันจนถึงระดับสงครามระหว่างผู้คนทุกยุคสมัย แหมทำเป็นไม่ชอบไปได้....แล้วไงล่ะ

สุดท้ายถึงวันนี้ ผมก็กำลังนั่งลุ้นให้องค์ชายจูมง (Jumong) แห่งกองกำลังทาโม สถาปนาอาณาจักรโคกูรยอให้ได้ซักที แบบว่าหากไม่มีธุระจริง ๆ ก็จะไม่มีทางไปไหนแน่ ๆ แต่ก็พลาดท่าเสียทีมาหลายครั้ง อย่างเช่นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่าน ก็ตายต้องพรากจากจูมงอันเป็นที่รักไปร่วม Workshop OK Trip กับเพื่อน ๆ ชาว Blog ที่จังหวัดกาญจนบุรี ทำให้พลาดชมจูมงไปอีกตอนหนึ่ง ....

โรคติดละเม็งละคอน คงจะไวรัสชนิดหนึ่ง ที่พอเข้ามาอยู่ในใจ อยู่ในสมองแล้ว ทำให้ครุ่นคิดกระวนกระวาย หายใจเข้าเป็นแดจังกึม หายใจออกเป็นจูมง แต่ผมว่า ผมคงไม่ได้ติดเฉพาะไวรัสตัวนี้ ผมติดไวรัสอีกตัวหนึ่งด้วย มันเรียกว่า "ไวรัสประวัติศาสตร์" ครับ

เมื่อผมติดละครซีรีย์จากแดนกิมจิหรือภาพยนตร์จากประเทศไหนก็ตาม ผมมักจะเลือกชมหนังที่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องหรือมีพื้นหลังของการสร้างมาจากเรื่องจริงหรือเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นสำคัญครับ

แสดงว่าที่ผมติดละครเกาหลี ก็เพราะผมกำลังติดตามและสนใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชนชาติเกาหลีที่แสดงผ่านออกมาในโลกดราม่า จากเพียงแค่ความสนุกสนานในอารมณ์ของผู้คนที่โลดแล่นตามบทละคร นำพาผมไปสู่ความสนใจใคร่รู้ในประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวที่น่าจะเกิดขึ้นจริงในอดีตของละครเรื่องนั้น ซึ่งทั้งสี่ซี่รีย์ของเกาหลีที่ถูกสร้างขึ้น ล้วนนำโครงเรื่องมาจากเรื่องจริงในทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น เรื่องราวในอดีตที่ถูกดัดแปลงมาให้เราได้ดูกันในรูปของละเม็งละคร

จากซี่รี่ย์ดราม่า ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของประเทศเกาหลีทั้งสี่เรื่องนี้ วันนี้ผมจึงขอนำเพื่อน ๆ ชาว OKNation ผู้ติดเชื้อไวรัส"ประวัติศาสตร์" อย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม มาร่วมสัมผัสย้อนเวลากันอีกครั้งในแดนกิมจิ จากละครสู่เรื่องราวในประวัติศาสตร์พอสังเขป ช่วยมิให้การดูละครของท่านเป็นเพียงความบันเทิงและฉาบฉวย ช่วยเพิ่มคุณค่าของเวลาในขณะที่ท่านนั่งดูทีวี กับเรื่องราวนอกกรอบ ในมุมมองประวัติศาสตร์ของเกาหลีด้วยกันครับ

เริ่มกันที่เรื่อง “จูมง มหาบุรุษกู้บัลลังก์” กันครับ หลายครั้งในเรื่องที่จูมง พูดถูกอาณาจักร "โชซอนโบราณ" อาณาจักรเก่าแก่ ที่เป็นต้นแบบและเป้าหมายของการสร้างดินแดนหรือสถาปนาอาณาจักรใหม่ของเขา



โชซอนโบราณหรือ โคโชซอน (KOCHOSUN) เป็นอาณาจักรในตำนาน อายุ 3,000 ปี สถาปนาขึ้นโดย กลุ่มชาวจีนที่ถูกเนรเทศ มีผู้นำชื่อ กีเซ (Ki Tse) ชื่อโชซอนมีความหมายว่า “ ดินแดนแห่งยามเช้าที่สงบสุข” (Land of the Morning Calm)

ในอีกนิทานปรัมปรา (Myth) หนึ่งก็เชื่อว่า อาณาจักรโชซอนโบราณ สถาปนาขึ้นโดยปฐกษัตริย์ “ตันกุน” (Dungun) เมื่อประมาณ 4,300 ปี ตันกุนเป็นกษัตริย์ในเทพนิยาย ปกครองแผ่นดินโคโชซอนนานกว่า 1,000 ปี จึงสวรรคต ราชโอรสปกครองต่อแต่ก็มาปราชัยให้กับกีเซ

ในยุคต้นของประวัติศาสตร์หลายชาติ มักเป็นการผสานเรื่องราวของสองหลักฐาน ทั้งจากทางวรรณกรม ที่เป็นตำนานเรื่องเล่า นิทานหรือบันทึก กับหลักฐานทางโบราณคดีเชิงวิทยาศาสตร์ครับ

ร่องรอยทางโบราณคดีบนคาบสมุทรเกาหลีเริ่มต้นที่ประมาณ 50,000 ปีมาแล้ว มีการขุดพบแหล่งฝังศพ สุสานที่มีภาชนะดินเผารูปทรงเฉพาะและเครื่องมือหินประเภทต่าง ๆ กระจัดกระจายไปทั่วภูมิภาค มีร่องรอยการตั้งถิ่นฐานบริเวณริมชายฝั่งทะเลในช่วงแรก ๆ ก่อนจะขยายตัวเข้ามาในภูมิภาคเพื่อทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์

กลุ่มคนกลุ่มแรก ๆ ของคาบสมุทรเกาหลีแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มทางเหนือ บริเวณแม่น้ำยาลู (Yalu River) และกลุ่มทางใต้คาบสมุทรครับ

กลุ่มทางเหนือจะมีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มทางใต้ชัดเจน ทั้งวัฒนธรรม ชาติพันธุ์และภาษา ชนเผ่าทางใต้จะมีลักษณะคล้ายกลุ่มคนทางภาคใต้ของญี่ปุ่น เกาะลูซู ซึ่งเชื่อกันว่าคนกลุ่มนี้อพยพขึ้นมาจากมลายู ในขณะที่คนกลุ่มทางเหนือ มีลักษณะคล้ายคลึงกับคนจีน

ชนเผ่าของคาบสมุทรเกาหลีในยุคประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว อาศัยอยู่ตามถ้ำเป็นส่วนใหญ่ รวมกันเป็นกลุ่มครอบครัวและรวมตัวกันเป็นโคตรตระกูลใหญ่ มีคติความเชื่อในเรื่องของอำนาจเหนือธรรมชาติ (Animism) จึงมีลัทธิพ่อมด หมอผี และผู้สื่อสารกับเทพเจ้า

จนเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว กีเซได้อพยพผู้คนที่ถูกเนรเทศจากราชวงศ์เจา เข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำเหลียว บริเวณทิศเหนือของทะเลเหลือง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์และรวบรวมผู้คนชนเผ่าต่าง ๆ ในคาบสมุทรสร้างขึ้นเป็นอาณาจักรโชซอนโบราณ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปยองอัน (Phyong An) ตั้งอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศเกาหลีในปัจจุบันครับ



กลุ่มคนชาวจีนราชวงศ์ซาง ที่มาสร้างอาณาจักรโชซอนโบราณ ได้ผสมผสานทางชาติพันธุ์กับพวกชนเผ่าพื้นเมืองทั้งเหนือและใต้เดิม อีกทั้งยังได้นำศิลปะวิทยาการและเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองเดิม จากที่เคยอยู่อาศัยในถ้ำ ก็กลายมาเป็นการสร้างบ้านเรือนด้วยไม้และระบบปล่องไฟในฤดูหนาว การเกษตรกรรมทำไร่ทำนา การเลี้ยงตัวไหม การทอผ้า การถลุงเหล็ก และประเพณีการฝังศพแบบเนินดินหรือการทำฮวงซุ้ยแบบเดียวกับชาวจีน

อาณาจักรโคโชซอนมีการจัดระบบการปกครองและสร้างระบบกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรก ๆ ครับ ในระหว่างความรุ่งเรืองอันยาวนานกว่า 900 ปี ก็มีชาวจีนอพยพเข้ามาสู่ดินแดนโชซอนโบราณหลายครั้ง ทั้งในสมัยปลายราชวงศ์เจา จนถึงสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ และเมื่อราว 2,100 ปี กลุ่มผู้เดินทางเข้ามาใหม่จากราชวงศ์จิ๋น ก็ได้ก่อการรัฐประหาร ขับกษัตริย์เชื่อสายของกีเซออกจากราชบัลลังก์เมืองปยองอัน อาณาจักรโชซอนโบราณจึงเริ่มอ่อนแอลง

ในเวลาเดียวกันก็มีชนเผ่าข้างเคียงที่ไม่ได้ถูกผนวกรวมอยู่ในอาณาจักรโชซอนโบราณ เช่น เผ่าพูยอ อยู่บริเวณแมนจูเรียเหนือ เผ่าโคกูรย เผ่าโอกจอ ทั้งสามเผ่าใหญ่นี้อยู่นอกประเทศเกาหลีในปัจจุบันครับ อีกทั้งยังมี เผ่าทงเย เผ่ามาฮัน ชินฮัน และพยอนฮัน ตั้งอยู่บริเวณทางภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี เผ่าต่าง ๆ ก็มีแลกเปลี่ยนไปมาหาสู่และค้าขายกัน แต่หลายครั้งก็ทำสงครามระหว่างกัน

กว่า 100 ปี ของสงครามกลางเมืองโคโชซอน แต่ละฝ่ายต่างก็ไปยืมมือชนเผ่าใหญ่ข้างเคียงมาช่วยสู้รบ ฝ่ายกบฏมีชัยสามารถขับไล่ราชวงศ์เก่าให้หนีลงมาทางใต้ จนเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว จักรพรรดิหวู่ตี๋แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ได้ส่งกองทัพเข้าทำลายอาณาจักรโคโชซอนและได้จัดระเบียบการปกครองขึ้นใหม่เป็น 4 มณฑล คือ มณฑลนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮยอนโท ซึ่งอยู่ในเขตประเทศจีนและเกาหลีเหนือในปัจจุบัน ชาวฮั่นปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังได้เพียงมณฑลเดียว ส่วนมณฑลอื่นก็ปกครองตนเองเป็นส่วนใหญ่ อิทธิพลของราชวงศ์ฮั่นได้นำเอาวัฒนธรรมธรรมและเทคโนโลยีเข้ามาสู่ผู้คนในชนเผ่าต่าง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้ง ภาษา ตัวอักษร ศาสนาและการติดต่อค้าขาย



เรื่องราวของ “จูมง” หรือพระเจ้าดงเมียงซอง (Dongmyeongseong) ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคกูรยอ มีหลักฐานเป็นเพียงตำนาน (Legend)เท่านั้นครับ ส่วนในบทภาพยนตร์เป็นการสร้างเรื่องให้สมบูรณ์ตามวิถีชีวิตของมนุษย์จริง ๆ ที่เป็นไปได้ สวมทับลงไปบนตำนานอีกทีหนึ่ง
ตำนานเล่ากันมาว่า จูมง เป็นโฮรสของ แฮโมซู (Haemosu) ซึ่งเป็นบุตรของพระอาทิตย์ กับ ยูฮวา (Yuhwa) ซึ่งเป็นธิดาของเทพแห่งแม่น้ำแห่งเมืองฮาแบ แฮโมซูรักกับยูฮวา แต่เทพแห่งแม่น้ำได้ขัดขวางความรักของพวกเขา แฮโมซูก็ต้องกลับไปยังท้องฟ้าในขณะที่ยูฮวาก็ถูกขับไล่ไปอยู่เมืองอื่น ทำให้เธอได้พบกับ อ๋องกึมวา (Geumwa) กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งแคว้นพูยอ (Buyeo) ยูวาตั้งครรภ์จากแสงอาทิตย์และคลอดบุตรเป็นไข่ อ๋องกึมวา พยายามทำลายไข่นั้นทุกวิถีทางแต่ไม่สามารถทำได้ และไข่ใบนั้นได้กลายมาเป็นเด็กชาย ผู้ถูกตั้งชื่อว่า “จูมง” อันมีความหมาย "นักยิงธนูผู้สามารถ" (Skilled archer)



ในปีที่ 37 ก่อนคริสตศักราช จูมงได้ทำสงครามเอาชนะมณฑลนังนัง จึงสถาปนาแคว้นโกคูรยอ (Goguryeo) ขึ้น การกำเนิดของอาณาจักรโคกรูยอมีลักษณะคล้ายกันกับการรวมตัวของชนเผ่าโคโชซอน คือรวมตัวกันในสายตระกูลหลายตระกูล มีการจัดระเบียบการปกครองที่มีประสิทธิภาพและมีสภาพสังคมที่ดี ผู้คนที่มารวมตัวกันในอาณาจักรโคกูรยอเป็นพวกนักรบที่มีความสามารถและเข้มแข็ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ให้อาณาจักรโคกูรยอสามารถขยายอิทธิพลออกไปได้อย่างกว้างขวาง สามารถครอบครองดินแดนเดิมของอาณาจักรโชซอนโบราณ อีกทั้งยังสามารถผนวกแคว้นพูยอและโอกจอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรได้เป็นผลสำเร็จ



การปกครองอันทรงประสิทธิภาพของอาณาจักรโคกูรยอ เกิดขึ้นจากระบบ "การกระจายอำนาจ" ไปยังกลุ่มโคตรตระกูลต่าง ๆ ที่ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักร กษัตริย์จะทรงแต่งตั้งเสนาบดีผู้มีความสามารถขึ้นมาช่วยบริหารราชกิจ โดยแบ่งเสนาบดีออกเป็น 16 ระดับและแยกไปตามกระทรวง แบ่งเขตการปกครองอาณาจักรออกเป็น 5 มณฑลใหญ่ โดยแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการไปปกครองเป็นเจ้าเมืองในแต่ละเขต มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารท้องถิ่น บัญชาการทหาร และการจัดเก็บภาษี ได้อย่างเต็มที่



ในเวลาต่อมา ยีโซยา พระชายาองค์แรกของคิงส์จูมงพร้อมด้วยบุตรชาย ก็ได้หนีออกจากแคว้นพูยอเพื่อมาตามจูมง ยีโซยาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น พระมเหสีเอก ซึ่งก็ทำให้โซซอโนเป็นทุกข์มากและตัดสินใจออกจากแคว้นโกคูรยอไปพร้อมกับบุตรชายทั้งสองในเวลาต่อมา

จูมงแต่งตั้งให้ยูริเป็นองค์รัชทายาท ปกครองอาณาจักรโคกูรยอสืบต่อจากพระองค์ กษัตริย์จูมงสวรรคตลงด้วยวัยเพียง 40 พรรษา องค์รัชทายาทได้ถวายพระนาม “พระเจ้าดงเมียงซอง” ให้กับพระราชบิดา

อาณาจักรโกคูรยออันยิ่งใหญ่ที่คิงส์จูมงได้สถาปนาขึ้นไว้ มีกษัตริย์สืบทอดมาถึง 28 พระองค์ ในระยะเวลายาวนานถึง 700 กว่าปี จนในปีพ.ศ. 1070 แคว้นซิลลา (Silla) มหาอำนาจทางตอนใต้ของคาบสมุทร ก็สามารถยึดครองดินแดนภาคใต้ของโคกรูยอไว้ได้

ถึงปี พ.ศ.1210 อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่จูมงได้สร้างไว้ก็ถึงแก่กาลอวสาน ในรัชสมัยของกษัตริย์โบจัง (Bojang) เมื่อถูกแคว้นซิลลาร่วมมือกับราชวงศ์ถัง ยกกองทัพเข้าบดขยี้ !!!



จากเรื่องราวอาณาจักรโคกูรยอของจูมง ก็จะต่อด้วยเรื่องของ "ซอดองโย สายใยรักสองแผ่นดิน" ครับ

ซอดองโย (Seo Dong Yo) เป็นประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวในยุคสมัยของ King Mu กับนายช่างประดิษฐ์คิดค้นของแคว้นแพคเจ ในช่วงปลายยุคสามก๊กของคาบสมุทรเกาหลี ที่มีอาณาจักรโคกูรยอ แค้วนชิลลา และแพ๊คเจ เป็นอาณาจักรใหญ่ โดยมีแคว้นคายา (Kaya) เป็นแคว้นเล็ก ๆ แทรกตัวอยู่ทางตอนใต้สุด แคว้นนี้เป็นที่รวมของกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ โดยมีสายสัมพันธ์อันดีกับเกาะญี่ปุ่นครับ

อาณาจักรชิลลา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พัฒนาขึ้นมาจากเผ่าซาโร แต่อาณาจักรนี้ไม่เข้มแข็งมากนักในช่วงแรก ดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับอาณาจักรโคกูรยอมาโดยตลอด จนกระทั่งหลังสงครามระหว่างอาณาจักรโคกูรยอกับอาณาจักรแพกเจ อาณาจักรชิลลาจึงเริ่มเข้มแข็งมากขึ้น จนสามารถยึดครองลุ่มแม่น้ำฮันและลุ่มแม่น้ำนักดงจากอาณาจักรแพกเจ ซึ่งมาจากชนเผ่าพูยอกลุ่มหนึ่งได้



ซอดองโย เป็นเรื่องราวความรักระหว่าง King Mu กับ เจ้าหญิง Sun Hwa แห่งแคว้นชิลลา Silla ชื่อเดิมของ King Mu ก่อนครองแคว้นแพคเจคือ Seo Dong หรือจาง (Jo Hyun Jae) มีชาติกำเนิดเป็นพระโอรสของกษัตริย์ แต่โชคชะตาผลิกผันทำให้เขาเติบโตมาอย่างยากลำบากในกลุ่มชนชั้นต่ำในเมือง Iksan Namji แต่เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี เฉลียวฉลาดและเป็นตัวของตัวเอง เขาเป็นนักคิดชั้นเยี่ยมและรักความยุติธรรม



ด้วยซอดอง (Seodong) เป็นเด็กซุกซนเพราะความเฉลียวฉลาด มารดาของเขาจึงตัดสินใจส่งเขาไปอยู่กับนายช่างใหญ่โมราซู (Mokrasu) เพื่อให้ได้รับการอบรมวินัยและการศึกษาศิลปะวิทยาการ อย่างไรก็ตามโซดองมักจะก่อความวุ่นวายในสำนักช่างอยู่เป็นประจำ

ซอดองได้มีโอกาสมาพบกับเจ้าหญิงซันวาผู้เลอโฉม ราชธิดาแห่งกษัตริย์อาณาจักรชิลลา ศัตรูบนคาบสมุทรเกาหลี ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตนเอง ความใฝ่ฝันของซอดอง คือการเป็นช่างนักประดิษฐ์ หลังจากผ่านอุปสรรคนานัปการ เขาจะเป็นผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ขึ้น ภายหลังซอดองเดินทางกลับมายังราชสำนักแพคเจอีกครั้ง แล้วพบว่าตนเองเป็นเจ้าชาย ทำให้เขาต้องลำบากใจกับบทบาทใหม่ไม่น้อย

ซอดองเริ่มเติบโต มีความเข้าใจโลกมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมรอบคอบ เขาได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงซันวาและซาเต็คคิรู (Sataekgiru) จนได้ครองราชย์ในที่สุด เขาเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่รักของประชาชน มีความเป็นผู้นำสูง และนำพาอาณาจักรแพคเจสู่ความรุ่งเรือง



เจ้าหญิงซันวา เป็นธิดาองค์ที่ 3 ของกษัตริย์จินปูรยอง (Jinpyeong) แห่งอาณาจักรชิลลา ความงามของเจ้าหญิงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว นางได้มีโอกาสรู้จักซอดองมาตั้งแต่เด็ก และตกหลุมรักกันและกันนับแต่นั้นมา เจ้าหญิงเป็นคนเฉลียวฉลาด และชอบกลั่นแกล้งซอดองเมื่อครั้งเยาว์วัย นางรู้สึกผิดต่อซอดองไม่น้อยที่พลาดพลั้งทำให้เขาต้องหนีไป นางเป็นผู้สอนหลักคำสอนขงจื้อแก่ซอดอง



ภายหลังเจ้าหญิงซันวามีบทบาทสำคัญในการช่วยซอดองให้ก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ อย่างไรก็ตามหลังจากการที่นางได้ช่วยเหลือเจ้าชายแห่งแคว้นศัตรูได้ถูกเปิดเผย นางจึงถูกตราหน้าเป็นผู้ทรยศและโดนไล่ออกจากแคว้นชิลลา เจ้าหญิงต้องทนทรมานกับการจากบ้านเกิด แต่นางก็เลือกความรักแท้ที่มีต่อซอดอง
ในที่สุดเจ้าหญิงซันวาก็ได้เป็นราชินีของ King Mu และสามารถสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้นทั้งสองได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง



เมื่ออาณาจักรชิลลาเข้มแข็งขึ้น อาณาจักรแพกเจจึงหันไปผูกมิตรกับอาณาจักรโคกูรยอ ส่วนอาณาจักรชิลลาหันไปผูกมิตรกับราชวงศ์สุ่ยและราชวงศ์ถัง กองกำลังผสมระหว่างจีนและชิลลาสามารถเข้ายึดครองแคว้นแพกเจได้เมื่อ พ.ศ. 1203 และสามารถทำลายอาณาจักรโคกูรยอได้ในพ.ศ. 1211 โดยจีนเข้ามาปกครองอาณาจักโคกูรยอในช่วงแรก ต่อมาอาณาจักรชิลลากับราชวงศ์ถังเกิดขัดแย้งกัน อาณาจักรชิลลาจึงเข้ายึดอาณาจักรโคกูรยอจากจีนและเข้าปกครองคาบสมุทรเกาหลีอย่างเด็ดขาดเมื่อ พ.ศ. 1278 สถาปนาขึ้นเป็น สหอาณาจักรซิลลา (Unified Silla)

ส่วนทางตอนเหนือที่เป็นเขตของอาณาจักรโคกูรยอเดิมในแมนจูเรียของประเทศจีนในปัจจุบัน ก็ได้สถาปนาตนเองเป็น อาณาจักรปัลเฮ (ยุคอาณาจักร เหนือ-ใต้)

จากเรื่องของ ซอดองโย ก็มาถึงเรื่องของจอมนางแห่งวังหลวง “แดจังกึม” และ "หมอโฮจุน" ครับ ทั้งสองเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหลังจากการล่มสลายของสหอาณาจักรซิลลาประมาณ เกือบ 700 ปี

หลังจากยุคสหอาณาจักรชิลลา ที่สามารถครอบครองคาบสมุทรเกาหลีได้อย่างสมบูรณ์ประมาณ 300 ปี ราชสำนักถังก็เสื่อมอำนาจ การควบคุมของจีนที่มีต่ออาณาจักรโคกูรยอเก่าได้ยุติลง ในขณะที่สหอาณาจักรชิลลาก็เกิดการจลาจลและความวุ่นวาย จนถึงปี พ.ศ. 1478 ขุนพลวังเกียน (Wang Kien) แห่งชิลลา ได้ก่อการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์พระองค์สุดท้าย และประกาศนโยบายที่จะนำดินแดนโคกูรยอในแมจูเรียที่เสียไปคืนให้กับราชวงศ์ถังคืนกลับมา

วังเกียนสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งอาณาจักรโคเรีย "KOREA" อันเป็นที่มาของชื่อประเทศเกาหลีในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 1486 ครับ

อาณาจักรโคเรียมีอายุกว่า 450 ปี เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยของพระเจ้ามุนจง เป็นยุคสมัยที่พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองอย่างกว้างขวาง มีการทำสงครามกับชาวยิปึ้น(ญี่ปุ่น)และราชวงศ์หงวนของชาวมองโกล ถูกจีนควบคุมในสมัยราชวงศ์หงวน จนเมื่อราชวงศ์หงวนอ่อนแอลง อาณาจักรโคเรียก็ต้องพบกับปัญหาโจรสลัดญี่ปุ่นและการรุกรานของราชวงศ์หมิง และในที่สุดก็ถูกแม่ทัพใหญ่ ลี ซองเก เข้าปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์โคเรียและสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1935 ครับ

แม่ทัพ ลี ซองเก ได้ใช้อิทธิพลของบรรดานักปราชญ์ที่นับถือลัทธิขงจื๊อ ล้มล้างราชวงศ์โคเรียวที่นับถือศาสนาพุทธ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าแทโจ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน ในยุคสมัยนี้จึงมีการส่งเสริมลัทธิขงจื้อเป็นลัทธิประจำอาณาจักรแทนการส่งเสริมพระพุทธศาสนา

พระเจ้าแทจงได้โปรดให้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองแกซองซึ่งยังคงมีกลิ่นอายและอิทธิพลของพุทธศาสนาอยู่อย่างมากมาย ไปยังเมืองฮันยางหรือกรุงโซล ในปี พ.ศ.1937 (ร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา)

ในราชวงศ์นี้มีการประดิษฐ์อักษรฮันกึล ขึ้นใช้แทนอักษรจีนเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 1986 กษัตริย์ราชวงศ์โชซอนพระองค์ต่อมาปกครองอาณาจักรด้วยความเป็นธรรม ด้วยระบบการปกครองที่มีหลักการตามลัทธิขงจื๊อ การที่จะได้เป็นข้าราชการพลเรือน จำเป็นต้องสอบกวากอ โดยจะต้องสอบความรู้ด้านวรรณกรรมจีนด้วย

ลัทธิขงจื๊อได้กำหนดโครงสร้างของสังคมไว้อย่างชัดเจน ค่านิยมในสังคมทั่วไปคือให้เกียรติผู้มีการศึกษาสูง ดูถูกพ่อค้าและช่างอุตสาหกรรม ชนชั้นสูงของสังคมคือ ยังบันหรือขุนนางนักปราชญ์ ผู้มีอำนาจด้านการปกครองทั้งทางทหารและสังคม ชนชั้นถัดมาคือ ชุงอินหรือชนชั้นกลาง ประกอบด้วยผู้มีอาชีพด้านต่างๆ เช่น ข้าราชการตำแหน่งต่างๆ แพทย์ นักกฎหมาย และศิลปิน ชนชั้นล่างคือ ซังมินหรือสามัญชน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นพวกชาวนาที่ได้รับที่ดินให้ทำไร่ไถนา พ่อค้าและช่างฝีมือก็อยู่ในชนชั้นนี้ด้วย ชนชั้นล่างสุดคือชอนมิน ได้แก่ ข้าติดที่ดิน คนรับใช้ หรือทาสผู้ซึ่งเกิดในวรรณะต่ำ



เรื่องราวของ แดจังกึม เกิดขึ้นในราชวงศ์โชซอนนี้เองครับ ซอจังกึม (서장금) (น้อง ลี ยอง เอสุดสวย) เป็นหมอหลวงคนแรกที่เป็นผู้หญิงในราชวงศ์โชซอน ในปีที่ 18 แห่งรัชสมัยของพระเจ้าจุงจง ที่ครองราชย์ในปี พ.ศ. 2049 – 2087 กษัตริย์องค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์โชซอน เธอเป็นบุคคลที่เชื่อว่ามีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ที่มีการบันทึกเอาไว้ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ถึง 7 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2058 – 2087 และเอกสารทางการแพทย์ "บันทึกของข้าราชการแพทย์แห่งโชซอนเกาหลี" ไว้อย่างชัดเจน แต่ก็มีเนื้อหาและหลักฐานอ้างอิงเพียงสั้น ๆ เท่านั้นครับ



ถึงหลักฐานจะยืนยัน ว่า แด จัง กึม เป็นหมอประจำพระองค์คนแรกที่เป็นผู้หญิงของกษัตริย์แห่งโชซอน แต่ก็ยังมีหลักฐานบางชิ้นระบุคำว่า “จัง กึม” อาจเป็นชื่อของ"ตำแหน่ง"หมอหญิง บันทึกราชวงศ์จึงอาจจะบันทึกมาจากเรื่องราวของหมอหญิงตำแหน่ง “จังกึม” หลาย ๆ คนในอดีต ไม่ใช่จังกึมเพียงคนเดียว ซึ่งก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้

คำว่า "แดจังกึม" มาจากคำว่า "แด" (대) แปลว่า ใหญ่, ยิ่งใหญ่ เป็นบรรดาศักดิ์พระราชทานจากกษัตริย์ และ "แดจังกึม" (장금) คือชื่อตัวเอกของเรื่อง ซึ่งมีชื่อเต็มว่าซอ จัง กึม (서장금) รวมแปลว่า “จังกึมผู้ยิ่งใหญ่”

เรื่องราวสุดท้ายเกิดขึ้นหลังจาก แดจังกึมเสียชีวิตไปประมาณ 50 ปี ก็จะเป็นเรื่องราวของ “คนดีที่โลกรอ หมอโฮจุน” ที่สร้างจากเรื่องจริงของ หมอชาย "Heo Jun" ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ.2089 -2158 ในสามรัชสมัย เริ่มจากพระเจ้าเมียงจง กษัตริย์องค์ที่ 13 พระเจ้าซองโจ กษัตริย์องค์ที่ 14และองค์ชายกวางแฮกุน กษัตริย์องค์ที่ 15 แห่งราชวงศ์โชซอน



“โฮจุน” เป็นบุตรของเจ้าเมืองยองชอน แต่เขามีมารดาอยู่ในฐานะไพร่ ซึ่งในสมัยนั้นจัดเป็นพวกชั้น"ชอนมิน" หรือชนชั้นต่ำ ตามความเชื่อในคติของลัทธิขงจื้อที่มีอิทธิพลต่อชาวโชซอนในยุคนั้นเป็นอย่างมาก จึงทำให้เขามีฐานะต่ำต้อยไม่ต่างไปจากมารดา เขาต้องอดทนต่อการปฏิบัติที่ถูกดูถูกเหยียดหยามและการกีดกันชนชั้นวรรณะ จากความกดดันนี้เอง ทำให้เค้าปฏิบัติตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ชอบต่อยตี เรื่อยไปจนกระทั่งถึงการค้าของเถื่อน ถูกจับเป็นนักโทษและหนีออกมาได้

จากพ่อค้าของเถื่อน จนมาพบกับ “ยูอึยเท” หมอเทวดาชื่อดังแห่งเมืองซันยอง โฮจุนเกิดความเลื่อมใสในตัวหมอจึงขอฝากตัวเองเป็นศิษย์ ด้วยความขยัน ฉลาดและอดทนต่อสภาพแวดล้อมทั้งผู้คนและวรรณะ เขาจึงสามารถเรียนรู้วิชาแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว และก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น ๆ จนเป็นที่อิจฉาและคอยกลั่นแกล้ง

หลังจากผ่านความยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจมาหลายต่อหลายครั้ง หมอโฮจุนก็สามารถสอบเข้าเป็นหมอหลวงได้สำเร็จ

แต่ภายในสำนักหมอหลวงนี้ โฮจุนได้พบกับการขัดขวาง กีดกันและถูกกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากศัตรูเก่าและใหม่ที่เกิดขึ้นจากความอิจฉาริษยา จนกระทั่งโฮจุนได้พิสูจน์ฝีมือโดยการรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคปากบูดเบี้ยวในเชื้อพระวงศ์ได้เป็นผลสำเร็จ จึงสามารถเอาชนะต่อศัตรูมากมายที่คอยมุ่งร้ายเขาทุกวิถีทาง โฮจุนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นหมอหลวงขั้น 7



ต่อมาเรื่องในอดีตที่โฮจุนเคยเป็นนักโทษค้าของเถื่อนถูกเปิดเผย ทำให้เขาได้กลั่นแกล้งให้รับโทษประหารชีวิต แต่ด้วยผลงานทางการแพทย์ ที่สามารถรักษาพระอาการของพระมเหสีและโอรสทั้งสองได้ ทำให้พระราชาได้พระราชทานอภัยโทษให้แก่โฮจุนท่ามกลางการคัดค้านของขุนนางทั้งหลาย

ต่อมาไม่นานนัก เกิดสงครามระหว่างโชซอนและญี่ปุ่นขึ้น เพื่อความปลอดภัยของพระราชา จึงได้มีการอพยพผู้คนหนีออกจากวัง ส่วนโฮจุนกลับเป็นห่วงตำราแพทย์จึงตัดสินใจกลับไปนำตำราแพทย์ที่วังหลวงออกมาด้วย ซึ่งทำให้เขาพลัดพรากกับครอบครัว เมื่อตามไปถึงพระราชากลับทรงไม่เข้าใจ ด้วยความเกรงพระอาญาโฮจุนจึงหนีไปและได้ออกตามหาครอบครัวที่พลัดพรากจากกันในช่วงอพยพ

ในระหว่างนี้เองศัตรูของหมอโฮจุนได้กลับมาอยู่กับสำนักหมอหลวงแทนเขา และได้ถวายการรักษาองค์ชาย แต่ไม่สามารถรักษาได้จริงเพราะความรู้ไม่ถึงขั้น จึงถูกลงอาญาให้จำคุก ภายหลังพระราชาประชวร จึงจำต้องเรียกตัวหมอโฮจุนกลับมาถวายการรักษา โฮจุนแสร้งทำเป็นแขนเจ็บไม่สามารถฝังเข็มได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ศัตรูของเขาฝังเข็มแทน จนกระทั่งสามารถรักษาพระราชาได้สำเร็จ ทำให้ศัตรูพ้นโทษและกลับกลายมาเป็นกัลยาณมิตร ส่วนหมอโฮจุนก็ได้รับความดีความชอบมากมาย และได้เลื่อนขั้นเป็นหมอหลวงขั้นที่หนึ่ง



แต่ด้วยความวุ่นวายในการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ทำให้เขาต้องถูกเนรเทศไปแดนใต้ ระหว่างที่โฮจุนถูกเนรเทศนั้น มีชาวบ้านผู้ที่ได้ยินกิตติศัพท์โฮจุนเข้ามาขอรับการรักษา โฮจุนทนคำรบเร้าของชาวบ้านไม่ได้ จึงออกรักษาชาวบ้านอีกครั้ง โดยขอให้ชาวบ้านปิดเรื่องนี้เป็นความลับพร้อมกันนี้ ศัตรูผู้กลับมาเป็นมิตรก็ได้แอบส่งตำราแพทย์และข้อมูลต่าง ๆ มาให้แก่โฮจุน จนกระทั่งโฮจุนสามารถเขียนตำราแพทย์แผนใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ

เมื่อองค์ชายกวางแฮกุน พระราชองค์ใหม่ได้ทอดพระเนตรเห็นตำราแพทย์ฉบับนี้ จึงมีพระบรมราชโองการอภัยโทษแก่โฮจุน และมีคำสั่งให้เรียกตัวหมอโฮจุนกลับคืนมาสู่วังหลวง แต่หมอโฮจุนกลับทูลปฏิเสธพระราชา และเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรักษาชาวบ้านต่อไป

ภายหลังเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้น หมอโฮจุนตรวจรักษาคนไข้โดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง จนกระทั่งตนเองติดโรคระบาดนั้น แต่เขากลับนำยาทั้งหมดมารักษาคนไข้ จนในที่สุดร่างกายที่อ่อนล้าไม่สามารถทนไหว ในที่สุดหมอโฮจุนก็จบชีวิตลง

ราชวงศ์โชซอนในยุค"หมอโฮจุน" ถูกรุกรานโดยกองทัพญี่ปุ่นซึ่งนำโดยขุนศึกโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ บ้านเมืองบนคาบสมุทรเกาลีส่วนใหญ่ถูกปล้นสะดมและทำลาย รวมทั้งผู้คนและช่างฝีมือก็ถูกถูกบังคับ กวาดต้อนกลับไปเป็นทาสที่เกาะญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นที่เริ่มถอนทัพเนื่องจากการเสียชีวิตของฮิเดโยชิ สงครามบนคาบสมุทรจึงสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2141 ภายหลังจากที่สร้างความหายนะให้กับอาณาจักรโชซอนไว้อย่างมากมาย

อาณาจักรโชซอนถูกรุกรานอีกครั้งในปี พ.ศ. 2170 และปี พ.ศ. 2179 โดยชาวแมนจูเรีย ซึ่งสามารถเข้ายึดครองภาคกลางของราชวงศ์หมิงและสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2187



จนถึงปี 2437 รัชสมัยของพระเจ้าโกจง กษัตริย์องค์ 26 พระองค์ทรงหันไปฝักใฝ่รัสเซียเพื่อใช้คานอำนาจญี่ปุ่นที่สามารถเอาชนะราชสำนักชิงและครอบครองคาบสมุทรเหลียวตงไว้ได้ แต่แล้วในปี 2447 ญี่ปุ่นก็ได้ประกาศสงครามกับรัสเซียและได้เข้าโจมตีขับไล่ทหารรัสเซียออกไปจากดินแดนเกาหลี ในปี 2448 เกาหลีจึงจำต้องกลายมาเป็นประเทศในอารักขาของญี่ปุ่น จนถึงปี 2453 ญี่ปุ่นจึงได้ทำการล้มล้างราชวงศ์โชซอนลงอย่างถาวร โดยควบคุมเชื้อสายราชวงศ์โชซอนทั้งหมดไปไว้ที่ญี่ปุ่น เพื่อเป็นตัวประกันไม่ให้สามารถคืนสู่อำนาจได้อีก และได้ผนวกดินแดนของอาณาจักรโชซอนทั้งหมดเข้าเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศ

ประวัติศาสตร์ 4 ยุคสมัยจากละครซี่รีย์เกาหลี ที่เริ่มมาตั้งแต่ในสมัยยุคเหล็ก 2,000 ปี ยุคที่ชนเผ่าแห่งอาณาจักรโคกูรยอได้สร้างตำนานของจูมงขึ้น ห่างจากยุคราชวงศ์โชซอนในสมัยหลังของหมอโฮจุนนานกว่า 2,000 ปี เรื่องราวยาวนานนี้ต้องมีมากกว่าความสนุกสนานและตัวละครทั้งตัวดี ตัวร้าย พระเอก และตัวอิจฉา ที่มาประชันบทบาทกันเป็นแน่

เรื่องราวนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ"ประวัติศาสตร์"ของคาบสมุทรเกาหลี ที่ผมได้นำมาให้ท่านได้ร่วมสัมผัสย้อนอดีตนี่ไงล่ะครับ อีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย อาหาร ภาษา วัฒนธรรมและเรื่องราวอินเทรนด์ของเกาหลีอีกมากมาย ที่กำลังกลายมาเป็นจุดขายทางการตลาดเพื่อดึงดูดส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศเกาหลี เห็นผลประสบความสำเร็จได้อย่างสวยงามในปัจจุบัน โดยดูจากยอดนักท่องเที่ยว และความคลั่งใคร้เกาหลีที่เพิ่มขึ้นมากมาย

องค์ชายรัชทายาทมุนฮโย





องค์ชายรัชทายาทมุนฮโย
ประสูติพ.ศ. 2325 กับสนมเอกซงยอน ตระกูลซอง สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2329
Prince Successor Munhyo (문효세자, 1782-1786),
Only Son of Royal Noble Consort Ui of the Seong clan.

Saturday, 28 March 2009

ลีซาน หนึ่งในละครแม่เหล็กดูดรายได้เข้าสู่ประเทศเกาหลีใต้




ลีซานละครฟอร์มยักษ์ ผลงานของผู้กำกับ Lee Bung Hoon แห่งค่าย MBC ซึ่งมีผลงานมาแล้วมากมาย จนเป็นที่ชื่นชมจาก ผู้ชมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น แดจังกึม ซอดองโย หมอโฮจุน อิมซังฮก ล้วนเป็นละครที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศเกาหลีใต้ได้อย่างมากมายมหาศาล นอกจากนี้ยังกลายเป็นผู้กำกับละครที่ รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องให้ความเคารพยำเกรงอย่างมาก เพราะเขาเป็นผู้นำในการสร้างละคร..ซึ่งสอดแทรกวัฒนธรรมโบราณของประเทศเกาหลีใต้...ผ่านเรื่องราวของละครเรื่องต่าง
ๆ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี...



ลีซาน ..เป็นละครที่โด่งดังไปทั่วภูมิภาคเอเซีย ...แต่เพราะเหตุใดเมื่อเข้ามาที่เมืองไทย..กระแสนิยมถึงไม่สูงตามที่คาดคิด...หรือเป็นเพราะว่าการพากย์ที่ยำแย่ของข่อง 3...หากพิจารณากันให้ดีแล้ว.. คงต้องบอกว่า..มาตราฐานการเขียนบทสำหรับพากษืยังไม่ได้มาตราฐานดีพอ...การใช้ราชาศัพท์หรือการสอดแทรกคำพูดของผู้พากษ์บางครั้งทำให้สถานะของตัวละครดูแล้วไม่เหมาะสม...

ลองติดตามดูจาก website ของต่างประเทศบ้างก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ชม..



30 most influential people in the entertainment/broadcasting of South Korea :
THE TOP 30

01위 - 정연주(KBS 사장) - KBS president
02위 - 안국정(SBS 사장) - SBS president
03위 - 김종학 (김종학 프로덕션 대표이사) - CEO Kim Jong Hak
04위 - 정훈탁 (싸이더스 IHQ 대표) - Sidus IHQ CEO
05위 - 최문순 (MBC 사장) - MBC president
06위 - 김수현 (드라마 작가) - drama writer
07위 - 이수만 (SM 엔터테인먼트 이사) SM entertainment Lee Soo Man
08위 - 배용준 (배우) - Bae Yong Joon actor
09위 - 비 (엔터테이너) - Rain singer/actor
10위 - 신동엽 (DY 엔터테인먼트 대표) - DY entertainment representative
11위 - 손석희 (성신여대 문화정보학부 교수) - professor
12위 - 노성대 (방송위원회 위원장) - broadcasting commission chairman
13위 - 이병훈(Lee Byung-Hoon)(드라마 PD) - producer
14위 - 윤석호 (윤스칼라 대표)
15위 - 임성한 (드라마 작가) - drama writer
16위 - 노희경 (드라마 작가) - drama writer
17위 - 유재석 (MC)
18위 - 고대화 (올리브나인 대표이사)
19위 - 최완규 (드라마 작가) - drama writer
20위 - 박진영 (JYP 엔터테인먼트 프로듀서) - JYP Entertainment Park Jin Young
21위 - 노무현 (대통령) - The President of South Korea
22위 - 김광수 (포이보스 제작이사) - executive producer
23위 - 김사현 (MBC 드라마 국장) - MBC drama director
24위 - 김현준 (KBS 1 팀장) - KBS channel 1 team leader
25위 - 이재규 (드라마 PD) - drama producer
26위 - 이영애 (배우) - Lee young ae actor
27위 - 황인뢰 (드라마 PD) - drama producer
28위 - 공영화(SBS 드라마 총괄국장) - SBS drama director
29위 - 최진용 (MBC 시사교양국 국장) - MBC current events station director
30위 - 강석희 (CJ 미디어 대표이사) - CJ media director

10 most influential in entertainment

1위 - 이수만 (SM 엔터테인먼트 이사) - SM Entertainment Lee Soo Man
2위 - 신동엽 (DY 엔터테인먼트 대표) - DY President
3위 - 비 (엔터테이너) - Rain singer/actor
4위 - 유재석 (MC) -
5위 - 박진영 (JYP 엔터테인먼트 프로듀서) - JYP Entertainment Park Jin Young
6위 - 정훈탁 (싸이더스 IHQ 대표) - Sidus IHQ President
7위 - 박해선 (KBS 예능1팀 팀장) - KBS channel 1 team leader for entertainment?
8위 - 강호동 (MC)
9위 - 김영희 (MBC 예능국 부장대우) - MBC department head for entertainment?
10위 - 김광수 (포이보스 제작이사) - executive producer

10 most influential in the drama section

01위 - 김종학 (김종학 프로덕션 대표이사) - CEO Kim Jong Hak
02위 - 김수현 (드라마 작가) - drama writer
03위 - 정훈탁 (싸이더스 IHQ 대표이사) - CEO of Sidus IHQ
04위 - 배용준 (배우) - Bae Yong Joon actor
05위 - 임성한 (드라마 작가) - drama writer
06위 - 김현준 (KBS 드라마 1 팀장) - KBS channel 1 team leader
07위 - 이병훈 (PD) - drama producer
08위 - 윤석호 (윤스칼라 대표) - some representative?
09위 - 고대화 (올리브 나인 대표이사) - some representative?
10위 - 최완규 (드라마 작가, 에이스토리 대표작가) - drama writer

TWSSG TEAM@Copyright

[VOD] The Memory of Song-yeon 1 - 3


The Memory of Song-yeon 1.


The Memory of Song-yeon 2.


The Memory of Song-yeon 3.

เรื่องย่อ ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 48


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 48

พระ เจ้าจองโจทรงมีรับสั่งให้ฮงกุกยองปรับปรุงกำลังพลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อพี่น้องซึ่งเป็นพรรคพวกเทซูได้ยินว่าหน่วยงานที่พวกตนสังกัดอยู่จะถูก ยุบ ทุกคนก็เกิดความรู้สึกน้อยใจที่พระเจ้าจองโจทรงไม่เห็นถึงความภักดีของพวกตน พวกตนไม่เพียงไม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ซ้ำร้ายกลับเป็นข่าวร้ายที่หน่วยงาน ที่พวกตนสังกัดอยู่จะถูกยุบ ทุกคนเกิดความขุ่นข้องหมองใจขึ้นมา เมื่อทุกคนเห็นเทซูก็พากันระบายความอัดอั้นตันใจให้เทซูฟัง



เทซูไม่ อยากเชื่อว่าพระราชาและฮงกุกยองจะลืมบุญคุณคน แต่ความจริงก็ทำให้เทซูและพวกต้องเชื่อว่า ฮงกุกยองทรยศหักหลังพวกตน เทซูและพวกพากันไปสอบถามความจริงจากฮงกุกยอง แต่เมื่อไปถึงที่พักฮงกุกยองกลับถูกทหารยามขัดขวางไม่ให้เข้าพบฮงกุกยองโดย อ้างว่าฮงกุกยองงานยุ่ง ไม่มีเวลาให้เทซูและพวกเข้าพบ เมื่อเทซูและพวกได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบันดาลโทสะ
วันหนึ่ง ฮงกุกยองได้พบกับพระเจ้าจองโจที่ระเบียงอุทยานโดยบังเอิญ ฮงกุกยองทูลขอปรึกษาหารือพระเจ้าจองโจ ฮงกุกยองทูลถามการปรับปรุงกำลังพลจากพระเจ้าจองโจ พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งว่าทหารใหม่ที่มีวรยุทธสูงจะได้รับการคัดเลือกเป็น ทหารองครักษ์
ฮงกุกยองตกใจมากเมื่อได้ยินรับสั่งจากพระเจ้าจองโจ เนื่องจากในเวลานี้ผู้ก่อการกบฏได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว เหตุใดจึงต้องสรรหากำลังพลเป็นจำนวนมาก ฮงกุกยองเข้าใจเองว่าหรือเพียงเพื่อถวายอารักขาพระราชา หลังจากที่ฮงกุกยองทูลลาพระเจ้าจองโจแล้ว ฮงกุกยองก็รู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าจองโจทรงทำลงไปนั้นเพียงเพื่อพระองค์เอง เท่านั้น ไม่ได้ทรงทำเพื่อพสกนิกร เมื่อฮงกุกยองรู้สึกเช่นนั้นก็ทำให้ฮงกุกยองเกิดความผิดหวังในพระเจ้าจองโจ ขึ้นมา
ต่อมา เทซูและพวกได้พบกับฮงกุกยองที่ระเบียงทางเดิน เทซูสอบถามถึงเรื่องที่จะยุบหน่วยงานที่พวกตนสังกัดอยู่นั้นเป็นความจริง หรือไม่ แต่เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ฮงกุกยองไม่สบอารมณ์ต่อรับสั่งของ พระเจ้าจองโจสักเท่าใดนัก ดังนั้นจึงได้แต่นิ่งเงียบโดยไม่ได้ตอบคำถามของเทซูและพวกแต่อย่างใด
ฮงกุก ยองบอกให้เทซูและพวกพากันกลับไปกันก่อน เนื่องจากในเวลานี้ตนมีภารกิจมากมายที่ต้องกระทำ หลังจากที่ฮงกุกยองกล่าวจบก็จากไป เทซูและพวกรู้สึกผิดหวังเมื่อถูกฮงกุกยองและพระราชาทรยศหักหลังทำลายความไว้ วางใจ
อีกด้านหนึ่งนั้น ดัลโฮ อาของเทซูบอกเทซูว่าจะแต่งงาน เมื่อแต่งงานแล้วก็จะย้ายไปอยู่บ้านฮูหยิน ทำให้บ้านมีเพียงเทซูและซงยอนเท่านั้น เดิมทีเทซูไม่เชื่อคำพูดอาสักเท่าใดนัก ที่ไม่เชื่อเนื่องจากอาเป็นขันที ไม่มีผู้หญิงคนใดแต่งงานกับอาอย่างแน่นอน แต่อากลับยืนยันเสียงแข็งว่าเป็นความจริง



ซองซงยอนแสดงความยินดีกับ ดัลโฮ อาของเทซู นางรับปากว่าจะวาดภาพที่มีความหมายเป็นของขวัญแต่งงาน เทซูซึ่งยังคงเคลือบแคลงสงสัยว่าอาเป็นขันทีจะแต่งงานได้อย่างไรนั้น กลับถูกซองซงยอนห้ามไม่ให้สืบสาวราวเรื่องต่อไป แต่แล้วเทซูก็แสดงความยินดีต่ออาที่ได้แม่ศรีเรือนมาเป็นคู่ชีวิต
ตก ดึกอาถามเทซูว่าคิดอย่างไรกับซองซงยอน เนื่องจากในภายภาคหน้าอาจะต้องย้ายไปอยู่กับอาหญิง บ้านหลังนี้ก็จะมีแต่เทซูและซองซงยอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง ซึ่งชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันตามลำพังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามธรรมนอง คลองธรรมสักเท่าใดนัก ที่สำคัญทั้งเทซูและซองซงยอนไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกัน ไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน เช่นนี้ก็จะเป็นที่ครหานินทาของคนทั่วไป
จาก นั้นดัลโอก็ถามย้ำเทซูว่ารู้สึกอย่างไรกับซองซงยอน ดัลโฮสนับสนุนให้เทซูเปิดเผยความรู้สึกต่อซองซงยอน เนื่องจากรู้มานานแล้วว่าเทซูหลงรักซองซงยอน บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เทซูต้องเปิดเผยความรู้สึกให้ซองซงยอนรู้ เมื่อเทซูถูกจี้ใจดำก็ยิ้มกริ่มโดยไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อซองซงยอน แต่อย่างใด
วันรุ่งขึ้น หัวหน้าหอศิลป์ประกาศเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้ช่างเขียนลีกับช่างเขียน ตั๊กเป็นจิตรกรระดับแปด ทั้งสองต่างพากันดีใจ จากนั้นก็พากันกล่าวขอโทษซองซงยอน เนื่องจากการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้นั้นไม่มีชื่อของซงยอนได้ เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งด้วย ซองซงยอนได้ยินเช่นนั้นกลับตอบว่านางไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งสักเท่าใดนัก
หลังจากที่ซองซงยอนจากไปแล้ว ปาร์กซายองก็พูดกับพวกว่าการที่ซองซงยอนไม่ให้ความสำคัญกับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งนั้น เนื่องจากเป็นไปได้ว่าซองซงยอนอาจถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงก็เป็นได้ แม้ว่าพวกพ้องของปาร์กซายองไม่เชื่อว่าซงยอนจะได้เข้าวังหลวง แต่เนื่องจากในเวลานี้ตนได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที จะต้องให้ความสำคัญซองซงยอนอีกต่อไป
วันหนึ่ง ขณะที่เทซูและพวกกำลังตรวจสอบอาวุธอยู่นั่นเอง เทซูและพวกก็ถูกฮงกุกยองเรียกเข้าพบ เมื่อเทซูและพวกถึงห้องทำงานของฮงกุกยองแล้ว พรรคพวกของเทซูก็ขอร้องให้เทซูเป็นตัวแทนถามฮงกุกยองว่าจะดำเนินการอย่างไร กับหน่วยงานที่พวกตนสังกัดอยู่
หลังจากที่เทซูเดินออกจากห้องทำงานฮงกุกยองแล้ว เทซูก็มอบจดหมายฉบับหนึ่งจากฮงกุกยองให้ทุกคนอ่านกันเอง
อีก ด้านหนึ่งนั้น พระพันปีเฮคยองมีคำสั่งให้ฮงกุกยองและครอบครัวเข้าพบ พระพันปีเฮคยองมีความรู้สึกที่ดีต่อน้องสาวของฮงกุกยองเป็นอันมาก พระมเหสีโยอึยซึ่งทรงประทับอยู่ด้วยนั้นทรงตระหนักดีว่าพระพันปีเฮคยองทรงมี พระประสงค์ให้พระเจ้าจองโจทรงแต่งตั้งพระสนม เป้าหมายที่แท้จริงของพระพันปีเฮคยองนั้นคือทรงต้องการให้ลูกหลานได้เป็น เชื้อพระวงศ์ แต่พระมเหสีโยอึยกลับทรงเห็นว่าการรับซองซงยอนเข้าวังหลวงนั้นเป็นการดีที่ สุด



ฮงพงฮันพ่อของพระพันปีเฮคยองทูลแนะนำให้พระพันปีเฮคยองทรงหาหนทาง ให้น้องสาวของฮงกุกยองเข้าวังหลวงโดยเร็วที่สุด เนื่องจากฮงกุกยองและพระพันปีเฮคยองมีสกุลเดียวกันซึ่งเป็นการดีต่อฮงกุกยอง และครอบครัวเอง พระพันปีเฮคยองทรงขอให้พ่ออดทนไปก่อน เนื่องจากก่อนที่จะทำอะไรลงไปนั้นจะต้องดูความเคลื่อนไหวของพระมเหสีโยอึ ยเสียก่อน ในภายภาคหน้าเมื่อมีโอกาสพระนางจะทูลต่อพระเจ้าจองโจถึงเหตุผลของการแต่ง ตั้งพระสนม
พระเจ้าจองโจซึ่งทรงเสด็จตามระเบียงทางเดินนั้นทอดพระเนตร เห็น ขุนนางกรมวังหอบหนังสือราชการจำนวนมากไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พระเจ้าจองโจทรงเคลือบแคลงสงสัยเป็นอันมาก พระเจ้าจองโจทรงสงสัยว่าขุนนางกรมวังเหล่านี้เป็นขุนนางที่มีหน้าที่กลั่น กรองฏีกาก่อนที่จะทูลถวายพระเจ้าจองโจ หน้าที่นี้จึงเป็นหน้าที่ ที่สำคัญหน้าที่หนึ่ง เหตุใดขุนนางเหล่านี้จึงพากันออกจากราชการ
พระ เจ้าจองโจทรงมีรับสั่งให้ขุนนางกรมวังเข้าเฝ้า บรรดาขุนนางกรมวังทูลพระเจ้าจองโจว่าเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อกันมา ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแผ่นดิน พระราชาพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็จะต้องมีการเปลี่ยนขุนนางกรมวังใหม่ สิ่งนี้เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
พระ เจ้าจองโจทรงไม่พอพระทัยต่อคำอธิบายของบรรดาขุนนางกรมวังเป็นอันมาก เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าจองโจจึงทรงเสด็จไปที่กรมวังด้วยพระองค์เอง เพื่อทรงสอบถามว่าใครสั่งให้ลดจำนวนขุนนางกรมวัง แต่นึกไม่ถึงว่ากลับไม่มีขุนนางกรมวังคนใดกล้าทูลตอบพระเจ้าจองโจ



พระ เจ้าจองโจทรงมีพระบัญชา เปิดประชุมขุนนาง พระองค์ทรงหยิบยกเรื่องที่เกิดขึ้นขึ้นมาในที่ประชุมขุนนาง พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งต่อบรรดาขุนนางกรมวังว่าไม่ควรยึดติดกับธรรมเนียม เดิม แต่ถ้าหากมีขุนนางคนใดไม่พอใจก็สามารถออกจากราชการได้ทันที พระองค์จะไม่ทรงรั้งไว้เป็นอันขาด
หลังจากที่ประชุมขุนนางเสร็จสิ้นลง พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งถามฮงกุกยองและแชจีคยอง ว่าการตัดสินพระทัยของพระองค์ถูกต้องหรือไม่ แชจีคยองทูลต่อพระเจ้าจองโจให้ทรงใคร่ครวญถึง การตัดสินพระทัยของพระองค์ให้ดี ถ้าหากบรรดาขุนนางใหญ่ต่างพากันออกจากราชการ เมื่อนั้นก็จะเกิดปัญหามากมาย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมา แชจีคยองจึงทูลขอให้พระเจ้าจองโจถอนรับสั่ง แต่นึกไม่ถึงว่าฮงกุกยองกลับมีความเห็นตรงข้ามกับแชจีคยอง
ฮงกุกยอง เห็นด้วยและสนับสนุนการตัดสินพระทัยของพระเจ้าจองโจ ถ้าหากพระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งออกไปแล้ว ต่อมาเมื่อขุนนางคนใดคัดค้านไม่เห็นด้วย พระเจ้าจองโจก็ทรงถอนรับสั่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วในภายภาคหน้าจะมีขุนนางคนใดน้อมรับรับสั่งของพระเจ้า จองโจอีกต่อไป



ขณะที่พระเจ้าจองโจทรงกำลังตรวจหนังสือราชการนั่นเอง พระมเหสีโยอึยก็ทรงเสด็จมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ การมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจของพระมเหสีโยอึยในครั้งนี้นั้น พระนางทรงนำซองซงยอนมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจด้วย พระมเหสีโยอึยทูลพระเจ้าจองโจว่าทั้งที่ซองซงยอนถวายการรับใช้พระองค์อย่าง ดี แต่พระองค์กลับทรงไม่เคยกล่าวขอบพระทัยซองซงยอนแม้แต่ครั้งเดียว หวังว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่พระเจ้าจองโจจะทรงกล่าวขอบพระทัยซงยอนด้วย พระองค์เอง
พระเจ้าจองโจทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของพระมเหสีโยอึยโดยดี หลังจากที่พระพันปีเฮคยองทรงรู้เรื่องที่พระมเหสีโยอึยทรงพาซองซงยอนไปเข้า เฝ้าพระเจ้าจองโจแล้ว พระพันปีเฮคยองก็ทรงเสด็จไปพบพระมเหสีโยอึยทันที
พระ มเหสีโยอึยทรงแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า จะให้ซองซงยอนเข้าวังหลวงเพื่อถวายการรับใช้พระเจ้าจองโจ พระนางทรงเชื่อว่าซองซงยอนจะทำให้ปณิธานของพระนางเป็นความจริงขึ้นมา แต่ในทางกลับกันนั้น พระพันปีเฮคยองเห็นแก่ส่วนพระองค์จึงคัดค้านไม่เห็นด้วยที่รับซองซงยอนเข้า วังหลวง และทรงไม่ยอมรับการตัดสินพระทัยของพระมเหสีโยอึย
หลังจากที่พระ มเหสีโยอึยเสด็จกลับห้องบรรทมแล้ว นางกำนัลส่วนพระองค์ก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินพระทัยของพระนาง ถึงกระนั้นก็ตาม พระมเหสีโยอึยทรงเชื่อว่าจะต้องมีหนทางที่ทำให้ซองซงยอนเข้าวังหลวงได้อย่าง แน่นอน
พระเจ้าจองโจซึ่งประทับอยู่ในห้องบรรทมนั้นได้หวนนึกถึงคำพูด นักฆ่า ที่ลอบปลงพระชนม์พระองค์ขึ้นมา หลังจากที่พระเจ้าจองโจทรงใคร่ครวญอยู่สักพักหนึ่ง ก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสรรหาคนที่มีความรู้ความสามารถมารับใช้ราชสำนัก พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปที่บ้านปราชญ์คนหนึ่ง ปราชญ์ที่ว่านี้ไม่เพียงไม่เห็นแก่พระพักตร์พระเจ้าจองโจ ซ้ำร้ายคำพูดยังหมิ่นพระเกียรติพระเจ้าจองโจอีกด้วย
การที่เป็นเช่น นี้นั้นเนื่องจากปราชญ์ผู้นี้เห็น พระเจ้าจองโจเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่งเท่านั้น ฮงกุกยองซึ่งติดตามพระเจ้าจองโจมาด้วยนั้นหลายต่อหลายครั้ง ที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของพระเจ้าจองโจออกมา แต่กลับถูกพระเจ้าจองโจทรงห้ามปรามไว้
พระเจ้าจองโจทรงเกลี้ยกล่อมนัก ปราชญ์อยู่นานจนในที่สุดก็ทำให้นักปราชญ์ยอมรับคำเชื้อเชิญจากพระเจ้าจองโจ นักปราชญ์และบรรดาศิษย์พากันเดินทางมาถึงวังหลวง ทุกคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องมาที่นี่ ทันใดนั้นเองก็มีทหารองครักษ์เข้ามาเชื้อเชิญให้เข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ นักปราชญ์ตกใจมากจนเกือบเป็นลมล้มทั้งยืนเมื่อรู้ฐานะที่แท้จริงของพระเจ้า จองโจ



พระเจ้าจองโจทรงพบปะกับบรรดานักปราชญ์ พระเจ้าจองโจทรงเปิดเผยถึงแนวความคิดของพระองค์ให้บรรดานักปราชญ์รู้ นักปราชญ์ทูลถามพระเจ้าจองโจจะสอบถามข้อราชการจากพวกตน หรือให้พวกตนสอบถาม ข้อราชการจากพระองค์กันแน่ พระเจ้าจองโจทรงเห็นด้วยกับคำพูดของนักปราชญ์
พระ เจ้าจองโจจะทรงใคร่ครวญเองว่าเมื่อใดพระองค์ทรงต้องการคำแนะนำจากบรรดานัก ปราชญ์ การตัดสินพระทัยอยู่ที่พระองค์เอง บรรดานักปราชญ์มีหน้าที่เพียงถวายคำแนะนำเท่านั้น คำแนะนำที่ว่านั้นได้แก่คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักและพสกนิกร ปัญหาที่ถูกเสนอขึ้นมา พระองค์จะทรงพิจารณาและตัดสินพระทัยเอง ถ้าหากนักปราชญ์มีหน้าที่เพียงเท่านี้นั้นจะมีไว้เพื่อประโยชน์อันใด นักปราชญ์เห็นด้วยกับรับสั่งพระเจ้าจองโจ
อีกด้านหนึ่งนั้น พระหมื่นปีจองซุนทรงสดับจากนางกำนัลส่วนพระองค์ว่าพระเจ้าจองโจทรงขัดแย้ง กับบรรดาขุนนางเก่าแก่ พระนางทรงรู้สึกว่าพระเจ้าจองโจทรงมีแผนการบางอย่างแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน
แช ซกจูและบรรดาขุนนางใหญ่ได้พบกับพระเจ้าจองโจที่หน้าพระตำหนักหลวงโดยบังเอิญ กลุ่มอิทธิพลสองกลุ่มเปิดศึกกันอย่างเป็นทางการ คืนนี้เหตุการณ์จะจบลงที่ตัวผู้นำกลุ่มอิทธิพลทั้งสองกลุ่ม ปัญหาการคัดเลือกพระสนมจะเป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งนำความเดือดร้อนมาสู่พระเจ้า จองโจ ถึงค่ำคืนพรุ่งนี้จะเป็นบทสรุป

จบ ตอนที่ 48

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 47


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 47

พระหมื่นปีจองซุนทรงเห็นเช่นนั้นก็คิดจะปลงพระชนม์ชีพพระองค์เอง แต่ซังกุงมาเห็นและห้ามไว้ทัน
ฮงกุกยองทูลรายงานพระเจ้าจองโจว่า
“ช่วงบ่ายจะมีประหาร ฮงซึงโบ ลีจุนแท โอยินวาน มินโดจิก ส่วน ชองยอนจุน ปาร์คชุนเซ ลียองวาน ให้เนรเทศไปเกาะคังวาพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก เอาตามนี้แหละ”
“และพรุ่งนี้ หลังจากสรุปคดี ก็ถึงคราวตัดสินโทษของชองโฮคยอม องค์หญิงวาวาน ฮงนิมฮันและพระหมื่นปี ซึ่งต้องให้ฝ่าบาทพิจารณา”
“ตอนนี้อาการของพระหมื่นปีทรงเป็นไงบ้าง” พระเจ้าจองโจตรัสถาม
“หมอหลวงบอกว่า โชคดีที่พ้นขีดอันตรายหวุดหวิดพ่ะย่ะค่ะ”
แชจีคยอมบ่นกับฮงกุกยองถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับพระหมื่นปีจองซุนว่า
” ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าหนักใจ แม้จะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่การที่พระหมื่นปีทรงคิดสั้นแบบนี้ เกิดใครรู้เข้า อาจทำให้พระเกียรติของฝ่าบาททรงมัวหมองไปด้วย”
“ที่ข้าเป็นห่วงก็คือข้อ นี้เหมือนกัน หึ แม้จะปิดปากคนที่ถวายการรักษา แต่เรื่องแบบนี้ยังไงคงปิดไม่มิด ถ้าแพร่ออกจากวังเมื่อไหร่ จะกลายเป็นข้อครหาให้ชาวบ้านได้ลือกันไม่รู้จบ”
“อึม ใช่ น่าจะเป็นอย่างงั้น”



“อีกทั้งเรื่องนี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยน สำหรับการลงทัณฑ์พระหมื่นปีหรือเปล่า และยังมีคนอื่นๆ ด้วย มันก็น่าเป็นห่วงนะครับใต้เท้า”
“เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับการลงโทษพวกเขาหรือ หมายความว่าไงน่ะ” แชจีคยอมไม่เข้าใจ ฮงกุกยองเองก็กล่าวไม่ออก
ขณะ ที่พระเจ้าจองโจเองก็ทรงคิดตามลำพังว่า “วันก่อนพระหมื่นปี เกือบจะทรงปลิดชีวิตพระองค์เองซะแล้ว ฝ่าบาททรงทราบมั้ยพ่ะย่ะค่ะ นางคงรู้สึกเป็นทุกข์มาก ถ้าให้ทนรับความอัปยศที่ถูกปลดเป็นสามัญชน ก็มิสู้ ขอยอมตายซะดีกว่า แต่ถึงอย่างงั้นก็ตาม หม่อมฉันก็ไม่อาจใจอ่อนกับนางได้ เพราะเป็นสิ่งที่ พระราชาต้องยืดหยัด เมื่อเห็นว่านั่นคือความชอบธรรม หม่อมฉันคิดถูกมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านพระมเหสีโยอึยก็ทรงคิดหาทางให้ซองซงยอนเข้ามาเป็นพระสนม ทรงหวังให้นางมีบุตรให้พระเจ้าจองโจ
พระพันปีเฮคยองทรงเสด็จไปเยี่ยมองค์หญิงวาวาน
“องค์หญิงดูซูบไปเยอะเลยนะ”
” มาที่นี่ทำไม ตั้งใจจะมาเยาะเย้ยที่ข้าตกอับล่ะสิ หึ แล้วยังไง ทำแบบนี้ช่วยให้สะใจขึ้นหรือไง เห็นข้าอยู่ในสภาพนี้ รู้สึกดีใจใช่ไหม”
“องค์หญิง”
“เชิญกลับไปซะ ถ้าคิดว่าดูพอแล้ว ต่อไปไม่ต้องมาที่นี่อีก”
” ใช่ ที่ข้ามานี่เพื่อจะดูสารรูปขององค์หญิง และเหมือนที่พูด ถ้าได้เห็นความตกอับมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่จริงๆ ไม่ใช่อย่างงั้น พอมาเห็นแล้ว ไม่ได้ดีใจอย่างที่คิด ทั้งที่ข้าเฝ้ารอมานาน หวังว่าซักวันจะได้เห็นองค์หญิงชดใช้หนี้กรรม พอมาเห็นกลับรู้สึกปลงตก ไม่รู้ว่าที่แล้วมาโกรธเคืองอะไรนักหนา มันแทบไม่มีความหมายเลย แม้จะถูกปลดเป็นสามัญชน อย่างน้อยก็ได้รักษาชีวิตไว้ เพราะฉะนั้น ต่อแต่นี้ไป ขอให้องค์หญิงจงสำนึกผิดให้มาก อย่างน้อย เป็นการไถ่บาปก็ยังดี”



“ไถ่บาปหรือ ทำไมข้าต้องไถ่บาป ข้าไม่เคยเสียใจ และไม่จำเป็นต้องไถ่บาปด้วย หึ ที่มานี่เพื่อประกาศชัยชนะไม่ใช่หรือ ถ้าข้ายอมไถ่บาป แล้วจะได้รับการอภัยหรือเปล่า ไม่มีหรอก แต่อีกไม่นานข้าจะได้ออกจากที่นี่แล้ว ไม่เพียงข้าคนเดียว ทุกคนที่อยู่นี่จะได้ออกไปหมด”
“องค์หญิง”
“ยังไม่รู้อีกหรือ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นบิดาของพระพันปี ใต้เท้าฮงพงฮัน กำลังวิ่งเต้นช่วยพวกเราอยู่”
“หา อะไรนะ”
” ถ้าไม่รู้จะบอกให้ตาสว่าง ทุกวันนี้ไม่มีใครเข้าข้างฝ่าบาทซักคน และมันก็เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทต้องเผชิญ เป็นสิ่งที่ยังไงก็ต้องยอมรับ นึกหรือว่าถ้าไม่มีพวกเรา อนาคตของฝ่าบาทจะสดใสได้หรือ หึ ฝันไปเถอะ ก่อนที่พวกเราจะกระอักเลือดตาย ฝ่าบาทก็ต้องหลั่งเลือดและอาจจะตายก่อนคนอื่นด้วยซ้ำ หึ”
พระพันปีเฮ คยองทรงสะเทือนใจมากเมื่อรู้จากองค์หญิงวาวานว่าฮงพงฮันกำลังคิดหาหนทางช่วย เหลือผู้ก่อการกบฏ ต่อมาพระพันปีเฮคยองทรงพบกับฮงพงฮัน พระนางรับสั่งถามเหตุผลจากฮงพงฮัน ฮงพงฮันทูลพระพันปีเฮคยองว่าการที่ตนทำเช่นนี้นั้น เพียงเพื่อช่วยเหลือฮงนิมฮันน้องชายของตนเท่านั้น
อีกด้านหนึ่งเรื่อง ที่พระหมื่นปีจองซุนทรงปลงพระชนม์ชีพพระองค์เองนั้นแพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดิน ปราชญ์ทั่วแผ่นดินต่างประณามความเหี้ยมโหดของพระเจ้าจองโจ และพากันมารวมตัวที่หน้าวัง พระเจ้าจองโจทรงเรียกประชุมด่วน และถามความคิดเห็น
“สรุปแล้วหมายความว่าไง พวกท่านเห็นด้วยกับที่มีข่าวลือ ว่าข้าตัดสินโทษหนักไปงั้นหรือ”
” หม่อมฉันขอบังอาจทูลซักนิด คดีนี้มีนักโทษ 9 คนถูกประหารไปแล้ว ยังไม่รวมกับที่ถูกปลดจากตำแหน่งอีก 30 กว่าคน และยังถูกคุมขังอีกสิบกว่าคน รอการตัดสินโทษ จะไม่นับว่าเกินไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่คนเหล่านี้ ล้วนมีความผิดมหันต์ที่คิดปองร้ายพระราชา เมื่อทำความผิด ก็ต้องรับโทษไปตามนั้น จะว่ารุนแรงได้ยังไง หรือท่านคิดว่า สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การก่อกบฎหรือ” พระเจ้าจองโจตรัส
“ฝ่าบาท ที่หม่อมฉันทูลนั้นไม่ได้หมายถึง”



แช ซกจูกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ถ้าอย่างงั้น เรื่องที่เกิดกับพระหมื่นปี จะทรงอธิบายยังไง ตอนนี้ข่าวออกไปว่า เพราะพระนางทนถูกทรมานไม่ไหว จึงคิดปลิดชีพพระองค์เอง แต่ยังดีที่ช่วยไว้ทันการณ์ ฝ่าบาท ได้ทรงไต่สวนพระหมื่นปี จนพระนางทนความกดดันไม่ไหว เป็นเหตุให้คิดสั้นจริงมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ก่อนหน้านี้พระหมื่นปี ปิดบังอดีตพระราชา วางแผนปองร้ายข้าหลายครั้งหลายหน เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ข้าคนเดียว พวกท่านก็รู้แก่ใจไม่ใช่หรือ”
“แต่ว่า แม้จะเป็นอย่างงั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไต่สวนเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ อีกทั้งบีบให้พระนางทรงคิดสั้นได้จริงมั้ยพ่ะย่ะค่ะ บ้านเมืองของเรา ถือหลักคำสอนของท่านขงจื๊อ แต่แล้ว ฝ่าบาทซึ่งเป็นพ่อเมืองแห่งโชซอน กลับไม่เป็นแบบอย่างที่ดี แล้วจะสอนให้ราษฎรถือความกตัญญู รักชาติบ้านเมืองได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ เรื่องพระหมื่นปี เป็นการตัดสินพระทัยส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับความกตัญญูหรือไม่กตัญญู เพราะฉะนั้น ต่อไปเรื่องนี้ห้ามมีการเอ่ยถึงอีก โดยเฉพาะบัณฑิตทั้งหลายที่มาประท้วงอยู่หน้าวัง ข้าจะพิจารณาความผิดของพวกเขา ทุกท่านไม่ต้องพูดอีก”
“แต่ว่าฝ่าบาท”
” ข้ามั่นใจว่า ได้ดำเนินการตามกฎหมาย และถือว่าถูกต้องแล้ว คนที่ซ่องสุมกำลังพยายามจะคิดก่อการร้าย ไม่ว่ายังไงก็ให้อภัยไม่ได้ และเมื่อไต่สวนแล้ว ก็ต้องลงโทษให้หนัก ข้าจึงหวังว่าพวกท่าน จะไม่เอาเรื่องนี้มาพูดอีก เข้าใจมั้ย”
“แต่ แต่ว่าฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท พระหมื่นปี มาขอเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” นัมซาโชทูล
พระหมื่นปีจองซุนเสด็จเข้ามา และบอกให้ซังกุงออกไปก่อน
“พระหมื่นปี”



” ฝ่าบาท ขออภัยที่หม่อมฉันล่วงล้ำมาถึงท้องพระโรง แต่ว่า ได้ข่าวว่ามีเรื่องวุ่นวายบางอย่างเกิดเพราะหม่อมฉัน จนไม่อาจอยู่เฉยได้ วันนี้จึงมาขอเฝ้าโดยพละการ เจ้ากรมแช เมื่อกี้อยู่ข้างนอกได้ยินว่า มีข่าวลือบางอย่าง ที่เกิดจากข้าเป็นต้นเหตุใช่ไหม บอกว่าข้าฆ่าตัวตายเพราะถูกทรมานหรือ ไม่เข้าใจเลยว่า ท่านไปเอาข่าวเหลวไหลพวกนี้มาจากไหน”
“เอ่อ พระหมื่นปี”
“แต่จะมา จากไหนก็ช่าง ข้าไม่อยากรับรู้ เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องจริง ข้าไม่สบายหมดสติไปหลายวันน่ะใช่ นั่นเพราะกินยาผิดทำให้เสียสุขภาพ ใครบอกว่าฆ่าตัวตาย ตอนนี้บ้านเมืองยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แล้วข้าเป็นอดีตมเหสี จะทำเรื่องเสื่อมเสียได้ยังไง ใครว่ามีการไต่สวนข้า ไม่มีเลยซักนิด ฝ่าบาททรงเมตตา รู้อยู่ว่าข้าทำอะไรไปบ้าง ยังให้เกียรติและดูแลอย่างดี แทนที่พวกท่านจะรู้ถึงพระเมตตา กลับไปเชื่อข่าวลือเหลวไหลจนมาต่อต้านพระองค์เชียวหรือ เฮ่อ ข้าจึงต้องมานี่เพื่อบอกทุกคนให้รู้ ว่าข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ไม่หวังดีกุขึ้นเพื่อหวังทำลายพระเกียรติ เพราะฉะนั้น ต่อไปอย่าเชื่อเรื่องไร้สาระ ทำให้ราชสำนักวุ่นวายอีก เข้าใจหรือเปล่า”
ฮงพงฮันกับแชซกจูอึ้งไปกับการออกมาแก้ข่าวของพระหมื่นปีจองซุน พระเจ้าจองโจทรงตรัสให้ฮงกุกยองไปประกาศคำตัดสินนักโทษต่อ
” ครับ หึ วันที่ 10 เดือน 4 ปี “พยองซิน” นักโทษ ลีแทซู ให้ปลดจากตำแหน่ง เนรเทศไปเกาะ “โกกึม” พร้อมประทานยาพิษ วันที่ 10 เดือน 4 ปี “พยองซิน” นักโทษ โอยินชู ให้ปลดจากตำแหน่ง เนรเทศไปเกาะคังวา พร้อมประทานยาพิษ วันที่ 10 เดือน 4 ปี “พยองซิน” นักโทษฮงนิมฮัน ให้ปลดจากตำแหน่ง เนรเทศไปเขา “ยอซัน” พร้อมประทานยาพิษ วันที่ 10 เดือน 4 ปี “พยองซิน” นักโทษชองโฮคยอม ให้ปลดจากตำแหน่ง เนรเทศไปมณฑล “ฮัมคยอง” พร้อมประทานยาพิษ วันที่ 10 เดือน 4 ปี “พยองซิน” นักโทษคิมคีจู ให้ปลดจากตำแหน่ง เนรเทศไปเกาะ “ฮึกซาน” นักโทษองค์หญิงวาวาน ให้ปลดเป็นสามัญชน กักบริเวณอยู่ที่ “ยอตง” ห้ามไปไหนทั้งสิ้น “
แชซกจูเข้ามาหาพระหมื่นปีจองซุน
” ว่าไง ท่านจะพูดอะไร ทำไมข้าถึงไปท้องพระโรง พูดต่อหน้าทุกคนอย่างงั้น สาเหตุเพราะอะไรใช่มั้ย ไม่เจอตั้งนาน ทำไมท่านดูโง่ไปถนัดใจซะล่ะ ความจริงก็เห็นอยู่ยังมาถามข้าอีกหรือ”
“พระหมื่นปี”
“ที่ทำก็เพื่อ เอาตัวรอด ไม่มีเหตุผลอื่นใดเลย เพื่อแสดงความจริงใจ ยอมศิโรราบต่อฝ่าบาท เพื่อแสดงว่าข้ายอมเป็นทาส ต่อไปจะไม่ทำอะไรอีกแล้ว”
“พระหมื่นปี”
” ถ้าท่านเคยตายซักครั้งจะรู้ว่า ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้อีก ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการเอาตัวรอด เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะอยู่ในที่ของตัวเอง อยู่เพื่อรักษาสิ่งที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด และเพื่อเป้าหมายนี้ ข้าจึงยอมก้มหัวให้กับฝ่าบาท ใช่ เพราะมันหมดหนทาง คนที่ผ่านความตายมาแล้วจะกลัวอะไรอีก เพื่อความอยู่รอดแล้ว เขาจะทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ทีหลังไม่จำเป็น ท่านไม่ต้องมาหาข้าที่นี่อีก เพราะไม่อยากให้ฝ่าบาทเข้าพระทัยเรื่องของเราบิดเบือนไป”
ฮงกุกยองเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ ทรงตรัสถามว่า
“ที่พูดมามีเหตุผลหรือเปล่า ถึงให้เลื่อนการตัดสินโทษพระหมื่นปีออกไปน่ะ”
” เหมือนที่หม่อมฉันเคยทูลพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ ถ้าให้ตัดสินโทษพระหมื่นปี อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะ เพราะฉะนั้น จึงน่าจะเลื่อนไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ข้าคิดว่า”



” หม่อมฉันรู้ว่าสิ่งที่ฝ่าบาทจะรับสั่ง มีอะไรบ้าง ก่อนที่หม่อมฉันจะมาทูลเรื่องนี้ ก็ได้ผ่านการทบทวนอยู่นานเช่นกัน แต่ว่าฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ จนวันนี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน แล้วจู่ๆ ต้องทรงรับข้อกล่าวหาลงอาญามเหสีของอดีตพระราชา รังแต่จะเป็นผลเสียมากกว่า”
” ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าข้ากลัวเสื่อมเสีย คงไม่ปล่อยให้เรื่องมาถึงขั้นนี้ เข้าใจหรือเปล่า ที่ข้าไม่เปิดเผยราชโองการของเสด็จปู่แต่แรก ก็เพื่อจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
“หม่อมฉันรู้พ่ะย่ะค่ะ รู้เท่ากับที่ฝ่าบาททรงทราบ แต่ว่า พระหมื่นปีกำลังเล่นการเมืองกับฝ่าบาทอยู่ เพราะฉะนั้น ฝ่าบาทก็ต้องทำทีตามน้ำไปด้วย คนที่เมื่อวานแทบจะฆ่าเรา แต่วันนี้มาผูกมิตรก็คือการเมือง เมื่อวานบอกว่า ยอมตายเพื่อเราได้ แต่วันนี้พร้อมจะเหยียบย่ำเรา นี่ก็คือการเมือง ล้วฝ่าบาทจะไม่ทรงเข้าพระทัยหลักการนี้เชียวหรือ ตอนนี้พระหมื่นปี ทรงหมดสิ้นทั้งเกียรติและศักดิ์ศรี ฉะนั้น เชื่อว่าอนาคต คงไม่กล้าแผลงฤทธิ์อะไรอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็มิสู้ปล่อยนางไว้จะดีกว่า วิธีนี้ หม่อมฉันเห็นว่า น่าจะดีต่อภาพพจน์ของฝ่าบาท และจะไม่มีใครกล้าครหาด้วย”
จากนั้นฮงกุกยองก็ไปหาชองโฮคยอม และชวนดื่มเหล้า
“เฮ่อ อึ้ม รสชาติไม่เลว”
“หึ เห็นบอกว่าเมื่อกี้ท่านไปตกปลา”
” ใช่ ถูกต้อง ตั้งแต่มาอยู่นี่เลยว่างมาก วันๆ ก็เลยไปตกปลา เจ้ารู้มั้ย มาคิดอีกที หลายวันนี้ข้ากลับรู้สึกสบายใจมากกว่า เฮ่อ นึกๆ ดูแล้ว ถ้าจะเอาอย่างพ่อแท้ๆ ของข้า เป็นคนหาปลาชั่วชีวิตก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน อ้อ ข้าชอบพูดไร้สาระอยู่เรื่อย เดี๋ยวนี้ สำหรับคนที่กุมชะตาบ้านเมืองอย่างเจ้า คงจะฟังไม่เข้าหูแล้วมั้ง”



“หึ ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างงั้น คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง เป็นคนหาปลาก็หนึ่งชีวิต มีอำนาจล้นฟ้าปกครองบ้านเมือง ก็คือหนึ่งชีวิตเท่ากัน พริบตาก็ผ่าน พริบตาก็ตายคือสัจธรรมแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดเป็นชาวประมง หรือพระราชา ถ้าคิดดีๆ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างนัก”
“หึ ถึงงั้นก็เถอะ เราก็ขอมีอำนาจไว้ก่อน จริงมั้ย”
“ใช่ ปากบอกว่าไม่มีอะไรต่าง แต่ว่า เมื่อเกิดมาแล้วก็ขอใช้ชีวิตให้คุ้ม”
“หึ เฮ่อ ดื่มแค่นี้คงจะพอแล้ว สิ่งที่เจ้าเอามา คงไม่ใช่แค่เหล้าขวดนี้กระมัง”
“ใต้เท้า”
“หึ แต่ยังไง ก็ขอบใจที่มาเยี่ยมข้า รู้ว่ามีเจ้าคอยดู ข้าจะพยายามเข้มแข็ง ไม่ให้ตัวเองตายในสภาพที่อนาถเกินไป”
ชองโฮคยอมถอนใจ ก่อนจะกินยาตาย ฮงกุกยองสั่งให้ทหารฝังศพให้เรียบร้อย
พระเจ้าจองโจเสด็จไปเยี่ยมพระหมื่นปีจองซุน
“ดูเหมือนว่า พระพักตร์จะดูแจ่มใสขึ้นมาก”
“ขอบพระทัยที่มาเยี่ยม ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะบารมีของฝ่าบาทโดยแท้”
“ฮงกุกยองมาพบหม่อมฉัน และบอกให้ฟังว่า พระหมื่นปีกำลังเล่นการเมืองอยู่ ฉะนั้น หม่อมฉันก็ต้องเดินตาม โดยการอภัยโทษให้”
” การเมืองอะไร ไม่มีเลยซักนิด หม่อมฉันเพียงแต่ สำนึกในความผิดที่แล้วมา เลยตั้งใจจะไปไถ่บาปต่อฝ่าบาทเท่านั้น ขอให้เชื่อในสิ่งที่พูด หรือจะให้หม่อมฉัน คุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาทก็ยินดี”
“ไม่ต้อง ไม่จำเป็นต้องทำอย่างงั้น เพราะหม่อมฉันไม่เชื่อ ทั้งสิ่งที่พูด หรือความจริงใจ หม่อมฉันไม่เชื่อทั้งนั้น แต่ว่า ตอนนี้พระหมื่นปีอยู่ในฐานะอะไร เราต่างก็รู้อยู่แก่ใจ สิ่งที่พระหมื่นปีทรงคิด คือขออยู่ต่อไว้ก่อน หม่อมฉันก็รู้ดี และเชื่อว่าพระหมื่นปีคงไม่กล้า ทำอะไรนอกลู่นอกทางเหมือนที่แล้วมาอีก ขอให้เป็นจริงอย่างงั้นเถอะ เพราะหม่อมฉันจะไม่ยอมใครอีกแล้ว ตราบใดที่ยังอยู่ ขอบอกเลยว่า พระหมื่นปีจะไม่มีโอกาส ได้ทำการคิดร้ายต่อหม่อมฉันอีก เพราะฉะนั้น ถ้าจะอยู่ต่อไปให้มีความสุข ก็ขอให้จดจำ สิ่งที่หม่อมฉันพูดวันนี้ แม้จนวันตายก็อย่าลืม เข้าใจมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
กลับถึงตำหนักแชจีคยอมนำรายงานขึ้นมาทูล
“หึ ทั้งหมดนี้ คือรายงานการลงโทษนักโทษกลุ่มสุดท้ายที่เหลือพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำงานดีมาก ลำบากทุกคนจริงๆ เชิญท่านกลับไปพักผ่อนได้”
” ฝ่าบาท นี่ก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เสด็จไปบรรทมเถอะพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่ครองราชย์มา ดูเหมือนไม่มีวันไหนที่บรรทมเกินสองชั่วยามนะพ่ะย่ะค่ะ”



“ท่านก็น่าจะปรับตัวเหมือนข้านะ ต่อไปอาจต้องอดหลับอดนอน อย่าคิดว่าจะได้เสวยสุขอย่างสบาย”
“ฝ่าบาท”
” ท่านรู้อะไรหรือเปล่า การตัดสินคดีนี้ เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับข้า เพราะอนาคตยังจะมี อีกหลายคนที่มาปองร้าย และเพื่อป้องกันตัว สองมือข้าก็จะเปื้อนเลือดไม่รู้จักจบ”
“ฝ่าบาท”
“แต่ว่า ที่พูดนี่ไม่ได้แปลว่าข้ากลัว ข้าไม่นึกเสียใจที่ตัวเองก้าวมาถึงตำแหน่งนี้ เพียงแต่คิดว่า อะไรที่ข้าสามารถทำได้บาง ข้าจะเป็นพระราชาที่อยู่เพื่อราษฎร และเห็นแก่บ้านเมืองมาก่อน”
พระเจ้าจองโจทรงนึกถึงองค์ชายซาโต “เสด็จพ่อทรงเป็นพยานให้หม่อมฉันด้วย นับแต่นี้ หม่อมฉันจะทำงานให้เสด็จพ่อได้เห็น”
หลัง จากที่พระเจ้าจองโจ ทรงกวาดล้างผู้ก่อการกบฏเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงเริ่มต้นสร้างฐานอำนาจให้ พระองค์เอง สิ่งแรกที่พระองค์ทรงกระทำนั้นคือสร้างหอตำราที่หลังอุทยาน
ฮงกุก ยองซึ่งไม่เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าจองโจนั้นกลับเข้าใจผิดคิดว่า หลังจากที่องค์ชายลีซานขึ้นครองราชย์แล้ว ก็เปลี่ยนไปโดยทำตัวเหมือนกับอดีตพระราชาไม่ห่วงใย ไม่นำพาความผาสุกของพสกนิกร ไม่ทำให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สนพระทัยแต่เพียงแสวงหาความสำราญส่วนพระองค์เท่านั้น เขาบ่นกับแชจีคยอม
พระ เจ้าจองโจทรงเลื่อนตำแหน่งให้เหล่าทหารที่ช่วยเหลือพระองค์ เทซูเองก็ได้เลื่อนตำแหน่งด้วย พระเจ้าจองโจทรงพบเทซูที่ลานฝึก ซึ่งพระองค์คิดว่าปานนี้เขาน่าจะชวนเพื่อนสนิทไปเมากัน เพราะวันนี้มีประกาศปูนบำเหน็จ พระเจ้าจองโจทรงคิดว่าพวกเทซูน้อยใจพระองค์ เทซูก็ยอมรับ พระเจ้าจองโจตรัสว่าขอให้รอพร้อมกว่านี้ แล้วพระองค์จะบอกทั้งฮงกุกยองและพวกเทซูว่าเพราะเหตุใด

จบ ตอนที่ 47

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 46


ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 46

หลังจากที่นักฆ่าเปิดเผยแผนการของตนให้ชองโฮคยอมรู้แล้ว ชองโฮคยอมก็เลิกล้มความคิดฆ่าตัวตายเพื่อรอฟังข่าวดีจากนักฆ่า
พระเจ้าจองโจทรงเข้าไปอ่านข้อราชการในห้องบรรทมของพระเจ้ายองโจ
นัก ฆ่านำคนจำนวนหนึ่งไปยังห้องบรรทมของพระเจ้าจองโจ มหาดเล็กและนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกห้องบรรทมเพื่อถวายการปรนนิบัติพระเจ้า จองโจถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น แต่พระเจ้าจองโจซึ่งอยู่ในห้องบรรทมกลับไม่ได้ยินเสียงใดทั้งสิ้น
พระ เจ้าจองโจทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กและนางกำนัลเข้ามาถวายงาน พระองค์ทรงเรียกอยู่นานก็ไม่มีเสียงขานรับ ที่เป็นเช่นนี้นั้นเนื่องจากบรรดามหาดเล็กและนางกำนัล ซึ่งอยู่นอกห้องบรรทมเพื่อถวายการรับใช้พระเจ้าจองโจนั้นได้ถูกฆ่าตายจนหมด สิ้น ในเวลานี้มีเพียงพระเจ้าจองโจพระองค์เดียวเท่านั้นที่ประทับอยู่ในห้องบรรทม ทำให้พระเจ้าจองโจทรงตกอยู่ในอันตราย



โชคดีที่เทซูกับซองซงยอนมาตามช่าง ทาสี ซึ่งก็คือนักฆ่านั้นเอง ทำให้ช่วยพระเจ้าจองโจได้ทันเวลา ฮงกุกยองและพวกเทซูต่างสำนึกผิดและขอรับโทษทัณฑ์จากพระเจ้าจองโจ แต่พระเจ้าจองโจบอกว่าไม่เกี่ยวกับพวกเขา
“คนพวกนี้ ปล่อยไว้ให้ข้าสอบเอง ข้าจะสอบปากคำพวกเขา ดูว่ายังมีใคร รู้เห็นด้วยอีก”
ชองโฮคยอมที่รอฟังผล พอรู้ว่าแผนล้มเหลว โอจองโฮชวนเขาหนี แต่ชองโฮคยอมกลับบอกว่าเขาจะกลับเข้าวังเดี๋ยวนี้
พระชายาโยอึยรีบเสด็จมาเฝ้าพระเจ้าจองโจ
” ฮือ ฮือ ฝ่าบาทเพคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น มีคนร้ายบุกรุกถึงห้องบรรทมจริงหรือเพคะ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ช่างเป็นเรื่องน่ากลัวที่หม่อมฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย ฮือๆๆ”
“ขอโทษด้วยนะ ข้ามักจะเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ให้เจ้าเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ฝ่าบาทเพคะ ฮือๆๆ ฮือๆๆ”
ฮงกุกยองสอบสวนคนร้าย และสั่งพวกทหารว่า
” มีพระบัญชา ให้ไปคุมตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท มาสอบปากคำเดี๋ยวนี้ ทั้งองค์หญิงวาวาน ใต้เท้าชองโฮคยอม และยังมีเจ้ากรมอาญาฮงนิมฮัน เจ้ากรมโยธา ลีแตซู อดีตเสนาซ้าย โอยอนซู ผู้ช่วยเจ้ากรมอาญา ลีจองโฮ อดีตอำมาตย์ ลีโดบุก และอดีตเจ้ากรมกลาโหม อดีตพัสดี ลีซองแท ใครที่ต้องสงสัยให้จับตัวมาให้หมด เข้าใจมั้ย รีบไปเดี๋ยวนี้”
พวกทหารรับคำ “ครับ”



ชอโฮคยอมกลับมาบอกองค์หญิงวาวานและชวนหนี
” เห็นทีคงต้องหนีก่อนแล้ว ที่ท่าเรือ “ยางวาจิน” จะมีเรือไปต้าชิงเข้าออกประจำ พระมารดาแค่ออกไปทางประตู คยองชู เมื่อพ้นเขตราชฐาน จะมีคนไปรอรับ หึ จดหมายเขียนถึงใต้เท้าเว่ยแห่งต้าชิง พระมารดาทรงมอบให้เขา เขาจะจัดการต้อนรับอย่างดี”
“หึ จดหมายนี่ เจ้าก็มอบให้เขาเองสิ ทำไมต้องฝากข้าด้วย”
“หม่อมฉัน จะไม่ตามไปด้วย”
“อะไรนะ”
“หม่อมฉันเป็นตัวการของเรื่องนี้ ถ้าไปพร้อมกับพระมารดา ทหารจะตามล่าเราสองคนไม่หยุดหย่อน”
“หึ แล้วยังไง แปลว่าให้เจ้ารับหน้าแทน แล้วข้าหนีไปคนเดียวงั้นหรือ”
“ไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว อีกไม่นาน จะมีทหารมาที่ตำหนักนี้”
“หึ หึ เจ้าน่ะ ดูข้าผิดไป และไม่ได้นับถือข้าด้วย หึ” องค์หญิงวาวานฉีกจดหมาย
“พระมารดา”
” หึ ตั้งแต่รับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม ข้าก็ไม่เคยคิดว่า เจ้าจะเป็นคนอื่นคนไกล แม้จะไม่ได้ดูแลเจ้าเท่าไหร่ แต่มาจนวันนี้ ข้ายังคงเป็นแม่เจ้า และเจ้าก็เป็นลูกข้า”
“พระมารดา”
“ไม่ต้องใช้จดหมายอะไรทั้งนั้น สรุปคือ ถ้าจะหนี เราก็หนีไปด้วยกัน และเจ้าไปพูดกับเขาเอง เข้าใจมั้ย”
ซังกุงหน้าตาตื่นเข้ามา “องค์หญิง หม่อมฉันมาขอเฝ้า เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีทหารกลุ่มใหญ่ ตรงมาทางตำหนักนี้เพคะ”
“พระมารดา”
“หึ ช่างเถอะ เอาตามนี้แหละ หึ”
ฮงกุก ยองนำทหารมาแต่ไม่พบใครก็สั่งให้ตามไปทันที ส่วนตัวเขาไปทูลให้พระเจ้าจองโจทราบ ทรงสั่งให้สกัดทุกเส้นทางที่จะออกนอกเมืองและท่าเรือทุกแห่ง และถามฮงกุกยองว่า
“ถ้าท่านเป็นองค์หญิงหรือชองโฮคยอม คิดว่าจะไปไหน”
“หา” ฮงกุกยองอึ้ง
ไถ้า ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปเรื่อยๆ องค์หญิงน่าจะเลือกอยู่นี่ ขอตายยังดีกว่า แต่นี่กลับหนีออกไปทั้งคู่ ก็แสดงว่า น่าจะมีที่พึ่งที่ดี เหมาะจะไปอาศัยไหว้วาน ไปต้าชิง ข้าว่าองค์หญิงกับชองโฮคยอม น่าจะหนีไปต้าชิงมากกว่า เวลานี้ท่าเรือที่มีคนน้อย ก็คือยางวาจิน ถ้าจะหนีโดยไม่ให้ใครรู้ พวกเขาต้องไปทางยางวาจินแน่ เพราะฉะนั้น รีบพาคนไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ อย่ารอช้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชองโฮ คยอมและองค์วาวานจะหนีไปแผ่นดินจีน แต่นึกไม่ถึงว่าทั้งสองกลับถูกฮงกุกยองและทหารองครักษ์ซึ่งดักรออยู่ที่ท่า เรือนั้นเข้าจับกุม



ฮงกุกยองคุยกับซองซงยอนเรื่องคนร้ายที่ปลอมเป็นช่างทาสี
“ถ้าอย่างงั้น คนร้ายที่ปลอมเป็นช่างทาสี เจ้าเคยเห็นหรือเปล่า”
“คนที่ทำงานกับเรา ส่วนใหญ่จะรู้จักค่ะ แต่คนๆ นั้นเพิ่งเจอครั้งแรก”
” ถ้าอย่างงั้น เขาผ่านหน่วยงานไหนถึงมาเป็นช่างสีได้ เจ้ารู้หรือเปล่า เห็นบอกว่า คนที่รับผิดชอบงานซ่อมสี เป็นช่างเขียนแซ่ตั๊ก ซึ่งรับคนงานเข้ามาใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคนงานนั่นเป็นคนร้ายปลอมตัวนี่คะ”
“งั้นข้าจะไปศูนย์ศิลปะ สอบปากคำคนที่นั่นอีกที” หัวหน้าองครักษ์บอก
“เอางั้นก็ได้ ส่วนข้าก็จะลองถามช่างคนอื่นเหมือนกัน ก่อนจะได้ข้อมูลคนร้าย คงจะยุ่งยากหน่อย และต้องรบกวนให้เจ้าช่วยด้วย”
“อ้อ ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ขอเพียงมีอะไรให้ข้าช่วย เชิญสั่งมาได้เลย”
จากนั้นฮงกุกยองจะเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ และชวนแชจีคยอมไปด้วย
“ตอนนี้องค์หญิงวาวาน รวมถึงชองโฮคยอม อดีตเจ้ากรมอาญา เจ้ากรมโยธา ซึ่งเป็นแกนนำทั้งหมด ไปอยู่เรือนจำแล้วพ่ะยะค่ะ”
“และยังมีขุนนางท้องถิ่นอีก 20 คน กำลังคุมตัวมาที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” แชจีคยอมเสริม
“ข้ารู้แล้ว”
” ฝ่าบาท กระหม่อมสั่งให้กรมราชทัณฑ์เตรียมการไต่สวนแล้ว พรุ่งนี้ ก็จะเริ่มสอบปากคำได้ เรื่องนี้หม่อมฉันขอรับอาสาเอง หม่อมฉัน จะไต่สวนเอาผิดพวกเขาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ข้าจะไปด้วยตัวเอง ทั้งการสอบสวนและตัดสิน ข้าจะดูเองทั้งหมด”
“ฝ่าบาท”


ฮงพงฮันขอร้องพระพันปีเฮคยองให้ช่วยฮงนิมฮันด้วย
ฮงกุกยองเข้าไปเผชิญหน้ากับชองโฮคยอม
“นึกแล้วว่าเจ้าต้องมา เพื่อจะดูสารรูปข้าว่าตกอับถึงไหน จริงหรือเปล่า”
“หึ พรุ่งนี้จะมีการไต่สวน ถ้ายอมสารภาพแต่โดยดี อาจไม่ต้องถูกทรมาน ให้เจ็บตัวนัก”
” หึ ถ้าคิดว่าดูพอก็เชิญกลับไปซะ ข้าต้องการพักผ่อน และดูเป็นแบบอย่างไว้ด้วย นี่คือที่สุดของอำนาจที่เจ้าต้องการนักหนา อีกไม่นานเกินรอหรอก เจ้ายิ่งยึดติดกับอำนาจเท่าไหร่ มันจะยิ่งหลุดมือไปเร็วเท่านั้น และสุดท้าย เจ้าก็จะมีจุดจบเหมือนข้า เหมือนถูกพันธนาการไว้ทั้งตัว หนีไปไหนก็ไม่ได้ ปล่อยให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะ”
“เรื่องนี้ มันก็อาจเป็นไปได้ แต่ว่า ท่านไม่ต้องห่วงแทนข้าหรอก เพราะยังไง ข้าก็ไม่คิดปล่อยวางอำนาจง่ายๆ เหมือนกัน แต่ว่าความใจเด็ดและเข้มแข็งของท่าน ถือว่าน่าชมเชย งั้นพรุ่งนี้ เจอที่ลานไต่สวนละกัน” ฮงกุกยองกล่าว



วันรุ่งขึ้น พระเจ้าจองโจเสด็จมาที่ลานไต่สวน
” เดิมทีพวกท่าน มีโอกาสได้รอดชีวิต ข้าเคยคิดว่า จะเห็นแก่บ้านเมือง อย่างน้อยก็ละเว้นชีวิตให้พวกท่าน จะได้รู้สำนึกบ้าง แต่เมื่อคืนนี้ ข้าเพิ่งจะรู้ว่า สิ่งที่คิดเป็นความฝันเลื่อนลอยทั้งนั้น ถ้าจะเห็นแก่บ้านเมืองและส่วนรวมจริง คนที่ไม่ให้ความเคารพพระราชา เห็นแก่ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เราแทบจะไม่ควรปล่อยเขาไว้อีก ความผิดของพวกท่าน จริงๆ ไม่ได้มีเฉพาะเมื่อคืน ข้าจึงคิดว่าวันนี้ จะขอรื้อฟื้นคดีเก่า ที่พวกท่านเคยให้ร้ายอดีตรัชทายาท รวมถึง ก่อเรื่องปองร้ายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาชำระสะสางซะให้หมด และประกาศความผิดของพวกท่าน ให้ราษฎรได้รู้โดยทั่วกัน เพื่อให้กฎ หมายบ้านเมือง มีความศักดิ์สิทธิ์บ้าง ใต้เท้าแช”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“จัดการลงทัณฑ์ให้หนัก จนกว่าจะยอมสารภาพ”
“พ่ะย่ะค่ะ ทุกคนเตรียมตัว เริ่มการลงโทษได้แล้ว”
พวกผู้คุมรับคำ “ครับ”
ฮงนิ มฮันร้องขอ “ฝ่าบาท ทรงไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย จริงอยู่ ที่แล้วมาหม่อมฉันหูเบา หลงเชื่อคนผิด แต่ว่าหม่อมฉันไม่เคยคิดทรยศฝ่าบาทเลย หม่อมฉันกล้าสาบาน ไม่รู้อะไรกับสิ่งที่พวกเขาทำ ฝ่าบาท ทรงไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย ได้โปรดเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฮือ”
“สายไปแล้วใต้เท้าฮง” พระเจ้าจองโจตรัส
“หา ฝ่าบาท ฮือๆๆ”
“ที่ข้ามาวันนี้ ไม่ใช่เพื่อฟังคำแก้ตัวหรือสารภาพผิดจากใคร ฉะนั้น ถ้าจะมาขอร้องข้า ขอบอกว่าสายไปแล้ว”
“ฮือ ฝ่าบาทๆ”
“ยืนเฉยทำไม เริ่มการทรมานนักโทษได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” พวกขุนนางร้องเจ็บปวด
ด้านพระหมื่นปีจองซุนก็ทรงรับฟังเรื่องพวกนี้จากซังกุงคนสนิท
“แล้วยังไง พวกเขายอมเปิดปาก พูดแม้กระทั่งเรื่องอดีตรัชทายาทใช่ไหม”
“เอ่อ ใช่แล้วเพคะ เห็นว่าพอเริ่มไต่สวน มีการทรมานเพียงไม่นานนัก แต่ละคนก็เริ่มสารภาพเพคะ พระหมื่นปี”
“ถึงเวลาแล้วนี่ คิดว่าไม่นานพระราชาองค์ใหม่คงจะมาหาข้า”
เวลาต่อมาแชซกจูมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ พระเจ้าจองโจยื่นบางอย่างให้แชซกจูดู
“เอ่อ นี่คือ อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ความผิดทั้งมวลของพวกนักโทษ และวิธีที่จะลงโทษพวกเขา”
“แต่ว่าฝ่าบาท การไต่สวนยังไม่เสร็จไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ทำไมทรงรีบร้อนตัดสินโทษนักล่ะ”
” แล้วท่านคิดว่า ข้าไม่รู้สิ่งที่พวกเขาทำ ถึงให้มาไต่สวนหรือไง ข้ารู้นานแล้วว่าแต่ละคนทำอะไรไว้ เพียงแต่ไม่พูดเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานแน่นหนาอยู่ในมือด้วย แต่ที่ให้มาสอบปากคำ ก็เพื่อจะหาความผิดมากกว่านี้ ใครก็ตาม ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะให้รับโทษทั้งหมด”



“แต่ว่าฝ่าบาท หากมีการลงอาญาจริง ขุนนางจะถูกปลดเป็นร้อยคน รวมถึงเนรเทศและประหารอีกนับสิบ เป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าจำเป็นก็ต้องยอมเสียบ้าง ถ้ายังมีความผิดมากกว่านี้ ข้าก็จะเพิ่มโทษอีก”
แชซกจูอึ้ง “ฝ่าบาท”
” ท่านมักจะปกป้องพวกเขา โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อราชสำนัก และข้า ก็เคยเห็นด้วยที่จะละเว้นชีวิต แต่ว่า พวกเขากลับยิ่งเหิมเกริม ถึงขนาดจ้างคนมาลอบทำร้ายข้า แล้วยังจะบอกว่าข้าลงโทษหนักไปหรือ ข้าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดในวังอีก จะไม่ให้ใคร มาลบหลู่เกียรติของพระราชา แล้วตัวเองก็เฉยไว้ เข้าใจหรือเปล่า”
แชซกจูกลับไปแล้ว พระเจ้าจองโจรับสั่งให้ฮงกุกยองเข้าเฝ้า แต่เวลานั้นฮงกุกยองเชิญพระหมื่นปีจองซุนมาที่ลานไต่สวน
” หม่อมฉันไม่เคยคิดจะใช้กำลัง เพราะฉะนั้น เชิญตามหม่อมฉันไปจะดีกว่า” ฮงกุกยองกล่าว “เชิญประทับก่อน นับแต่นี้ ถ้าไม่ทำตามที่หม่อมฉันทูล พระนางอาจต้องเจ็บตัวบ้างไม่มากก็น้อย”
“อะไรนะ แล้วยังไง จะทำอะไร กล้าใช้วิธีทรมานกับข้าเพื่อให้พูดหรือไง”
“ถ้าจำเป็นก็อาจจะใช้”
“อะไรนะ หึ หึ บังอาจจริงๆ เจ้ากล้าพูดกับข้าแบบนี้เชียวหรือ ข้า เป็นมเหสีเอกของอดีตพระราชา ยังไงก็มีฐานะเป็นพระหมื่นปีอยู่”
“หึๆ พระหมื่นปีหรือ”
“หา เจ้าสารเลว นี่เจ้ากล้า กล้ามายิ้มเยาะต่อหน้าข้า เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไง”



” กรุณาเงียบๆ หน่อยเถอะ ต้องขอบอกว่า ตอนนี้พระนาง มาในฐานะแกนนำก่อกบฎเท่านั้น อย่าคิดว่ามียศศักดิ์ เป็นที่เกรงขามของผู้คนอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องจำไว้ คือทรงเป็นนักโทษอาญา ถ้าขัดขืนก็อาจเจ็บตัวได้ทุกเมื่อ ขอจงจำไว้ด้วย”
จากนั้นฮงกุกยองก็สั่งให้เริ่มการสอบปากคำ และพาพยานเข้ามา พวกขุนนางถูกทรมานต่อ
ดึกมากแล้ว นัมซาโชทูลเตือนให้พระเจ้าจองโจทรงเข้าบรรทม
“การไต่สวนยังไม่เสร็จอีกหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
” ก็จริงน่ะนะ คนที่เกี่ยวข้องมีกว่าร้อย ต่อให้สืบอีก 3 วัน 3 คืนก็คงไม่จบง่ายๆ ถ้าทุกอย่างสามารถจบในสามวันนี้ได้ ก็คงจะดีมาก ข้าไม่อยากตัดสินโทษใครอีก ไม่อยากให้มือตัวเองเปื้อนเลือด จะได้สบายใจขึ้น”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“เอาเถอะ ข้าก็รู้อยู่ รู้ว่าท่านจะพูดอะไรต่อ มันยังไม่จบหรอก ตราบใดที่ข้าอยู่ตรงนี้ จะมีคนอีกมากที่ความเห็นไม่ลงรอยกับข้า พร้อมจะถือกระบี่มา ห้ำหั่นข้าได้ทุกเมื่อ”
“ฝ่าบาท”
“หึ ไม่ต้องห่วงหรอก มันเป็นเรื่องธรรมดาของพระราชา ข้ารู้มานานแล้ว แม้จะเหนื่อยล้าและน่าเบื่อ แต่เมื่อข้ามาอยู่ตรงนี้ ก็จำเป็นต้องเผชิญ”

จบ ตอนที่ 46