Thursday, 16 April 2009
ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 54
ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 54
“ฝ่าบาท หลักฐานที่จะนำมายืนยันนั้น ไม่ทราบว่าคือ” ชางแทวูถาม
” ขุนนางที่อยู่นี่ อาทิเช่นเจ้ากรมวัง เจ้ากรมพิธีการ คังฮักซู รวมถึง รองเจ้ากรมวังมินวูแท ล้วนเป็นพยานยืนยันความบริสุทธิ์ของใต้เท้าฮงได้”
” ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม เราจะเป็นพยานให้ใต้เท้าฮงได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง ขอได้โปรดทรงให้ความกระจ่างด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกคนกล่าว
“ก็ไม่ แปลกหรอก คนเรามักไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาด หรือมีใครไม่พอใจ จนคิดร้ายหมายเอาชีวิต ส่วนใหญ่จะไม่รู้ล่วงหน้าก่อน คนที่บงการ ให้เข่นฆ่าขุนนางทั้งสามนั้น ไม่ใช่มใต้เท้าฮง แต่เป็นคนอื่น ที่สำคัญ เป้าหมายต่อไปของกลุ่มคนนี้ ก็คือที่นั่งอยู่นี่ เช่นเจ้ากรมวัง” พระเจ้าจองโจตรัส
ขุนนางตกใจ “หา”
พระเจ้าจองโจตรัสต่อ “เจ้ากรมพิธีการ และรวมถึง รองเจ้ากรมวังด้วย สามคนนี้ จะมีคนหนึ่งที่ต้องตาย เชื่อหรือไม่ก็ตาม ภายในคืนนี้ ถ้าข้าสามารถจับตัวคนร้าย ในบ้านพวกท่านคนใดคนหนึ่งได้ละก้อ แสดงว่าใต้เท้าฮงบริสุทธิ์ สามารถปล่อยตัวได้หรือยัง”
เหล่าขุนนางออกมาคุยกันตามลำพังกับชางแทวู และแชซกจู
“เฮ่ย ใต้เท้า มีคนคิดฆ่าเราจริงหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะครับ” ขุนนางกล่าว
แชซกจูว่า “แต่ข้าเชื่อว่าฝ่าบาท คงไม่รับสั่งเลื่อนลอยโดยไม่มีหลักฐานจริง ทุกคนลองคิดซิว่า มีอะไรให้คนปองร้ายหรือเปล่า”
” ไม่มีหรอกครับ ข้าว่ารับสั่งของฝ่าบาทเหมือนโยนหินถามทางมากกว่า ถ้าไม่เพราะว่า ถูกฮงกุกยองยุยงมา แล้วทำไมเราต้องถูกปองร้าย มีเหตุผลอะไรกัน”
“นั่นสิ แสดงว่าจะหลอกใช้เราเป็นพยานชัดๆ ข้าไม่ยอมหรอกนะ”
“ทำตามรับสั่งของฝ่าบาทเถอะ”
“แต่ว่าใต้เท้า”
” ต้องเป็นแผนเจ้าหนุ่มฮงกุกยองไม่ผิดแน่ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ เพราะฉะนั้น ฝ่าบาทจะทรงใช้วิธีไหน ปัดเป่าความผิดให้หมอนี่ เราก็รอดูไปละกัน หึ หลักฐานหรือ เพื่อจะช่วยขุนนางเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ฝ่าบาทถึงขนาดยอมลดพระองค์ ให้เป็นที่ครหาก็ให้รู้ไป”
ขณะเดียวกันพระเจ้าจองโจทรงรับฟังนัมซาโชกับแชจีคยอมว่า
” ฝ่าบาท สิ่งที่รับสั่งไปนั้น เป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับใต้เท้าฮง แล้วฝ่าบาท จะทรงมีวิธีจับกุม คนร้ายตัวจริงได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิพ่ะยะค่ะ ฝ่าบาททรงมีหลักฐานเพียงพอจะช่วยเขาได้จริงหรือ ฝ่าบาท”
“ไม่มี ข้าไม่มีหลักฐานอะไรเลย นี่เป็นเพียงการคาดเดา ข้ากำลังทำสิ่งที่มีความเสี่ยงอยู่มาก”
“ฝาบาท”
“แต่ก็ขอให้เชื่อข้า แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่คาดเดาและมีความเสี่ยง แต่พอถึงคืนนี้ ทุกคนจะรู้ว่า ข้าไม่ได้พูดเล่น”
พวกเทซูไปบังคับขุนนางท่านหนึ่งให้สั่งคนคุ้มกันและบ่าวไพร่ออกไปให้หมด
“ข้าทำตามที่บอก ให้คนคุ้มกันและบ่าวไพร่ออกไปหมดแล้ว ทีนี้ จะให้ทำอะไรอีก”
” ไปสั่งพ่อบ้าน ให้บอกคนที่เหลือว่าไม่ต้องตกใจ พวกเขาแค่ออกจากเมืองหลวงชั่วคราว ส่วนไต้เท้า พอตกค่ำเมื่อไหร่ ให้ใส่เสื้อตัวนี้และหลบอยู่หลังบ้าน” เทซูสั่ง
“อะไรนะ ให้ข้าใส่เสื้อกระสอบงั้นหรือ”
ซอจังบูตอบว่า “ใช่ครับ ใต้เท้า”
ขุนนางยังนิ่ง คังซกกีจึงขู่ “ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามที่เราสั่งดีกว่า”
พระมเหสีโยอึยทรงพบซองซงยอนกำลังจะไปตำหนักซุกชางของสนมจึงเรียกไว้
“ซงยอน”
“อ้อ พระมเหสี”
“เจ้า กำลังจะไปตำหนักซุกชางใช่ไหม”
“ใช่แล้วเพคะพระมเหสี”
” แต่วันนี้ เจ้ากลับไปดีกว่า เพราะในวังกำลังยุ่งกับเรื่องใต้เท้าฮงอยู่ คิดว่าวอนพินก็คงอารมณ์ไม่ดี ฉะนั้นวันหลังค่อยมาวาดก็ได้ ทางด้านวอนพิน ข้าจะให้คนไปส่งข่าวเอง เอาล่ะ ข้ามีธุระสำคัญต้องขอตัวก่อน วันหลังค่อยคุยใหม่นะจ๊ะ”
“เพคะ” ซองซงยอนรับคำอย่างงุนงง
เวลาเดียวกันนั้น สนมวอนพินก็ไล่คนสนิทออกไป เพราะเครียดที่จู่ๆ พี่ชาย ฮงกุกยองถูกจับ
ชางแทวูมาพบฮงกุกยองและบอกเรื่องที่พระเจ้าจองโจกำลังจะหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ให้เขา
“ท่านบอกว่าฝ่าบาท กำลังจะหาหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของข้า ที่พูดนี่จริงหรือเปล่า” ฮงกุกยองถาม
“ท่าทางเหมือนไม่รู้จริงๆ ทั้งที่จริงเพราะลมปากของเจ้า อยู่เบื้องหลังบงการเรื่องนี้ทั้งหมด”
“ใต้เท้า”
” ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีเล่ห์เหลี่ยมอะไร แต่ถ้าฝ่าบาททรงหูเบา หลงเชื่อคนอื่นง่ายๆ ละก้อ แสดงว่าพระองค์ทรงอคติ สูญเสียความเป็นกลางที่พระราชาควรจะมี”
“พูดจาระวังปากหน่อยนะท่าน ท่านกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
” หุบปาก บังอาจอะไรกัน เจ้านั่นแหละให้รู้ซะบ้างว่ากำลังพูดกับใครอยู่ ข้ารู้เช่นเห็นชาติคนอย่างเจ้าดี ที่ว่าจงรักภักดีก็แค่ลมปากเพ้อเจ้อเท่านั้น เป้าหมายจริงๆ ของเจ้า ก็คือปิดบังพระเนตรพระกรรณ,มีอำนาจในราชสำนัก เพราะฉะนั้น คนที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย,ราษฎรไม่ได้อยู่เป็นสุข ก็คือพระญาติอย่างพวกเจ้าต่างหาก ฉะนั้น อย่านึกว่าจะได้ออกจากที่นี่ง่ายๆ แม้จะมีฝ่าบาทคอยช่วย ข้าขอประกาศไว้เลยว่า ยังไงจะไม่มีวันให้อภัย คนที่บงการฆ่าเหล่าขุนนาง”
“ยิ่งฟังท่านพูดแบบนี้ ข้าก็เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เป็นตายร้ายดีก็ต้องออกจากที่นี่ให้ได้”
“อะไรนะ”
” ไม่เชื่อก็รอดูต่อไป ไว้ข้าออกไปเมื่อไหร่ จะแสดงให้เห็นว่าพระญาติเจ้าเล่ห์อย่างข้า สามารถกุมอำนาจในวัง เหนือกว่าเสนาบดีอย่างท่านซะอีก”
หัวหน้าองครักษ์เข้ามาทูลรายงานพระเจ้าจองโจ
“ฝ่าบาท บ้านของเจ้ากรมวัง เจ้ากรมพิธีการรวมถึงรองเจ้ากรมวัง ได้ส่งทหารไปดูแล เตรียมพร้อมทุกด้านแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าให้ใครเห็นร่องรอยของพวกเขา ต้องทำงานรอบคอบ อย่ามีความผิดพลาดได้ล่ะ”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เป็นเวลาไหนแล้ว”
“ใกล้เที่ยงคืนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นัมซาโชตอบ
ซอจังบูกับคังซกกีเฝ้ารออยู่นาน ก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่า
“เฮ่ย ฝ่าบาทรับสั่งจริงหรือเปล่า ภายในคืนนี้ คนร้ายจะโผล่มาแน่นะ”
“ข้าว่าฝ่าบาทคงไม่รับสั่งโดยไม่มีเหตุผล รอดูไปก็รู้”
” รอน่ะรอได้ แต่หลายชั่วยามแล้วยังไม่เห็นมดซักตัว รู้สึกมีอะไรแปลกๆ ก็ไม่รู้ ใครๆ บอกว่า เรื่องนี้เป็นการบงการของใต้เท้าฮง เราทำถึงขนาดนี้ยังไม่มีอะไรซักอย่าง สุดท้ายมิแย่หรอกหรือ เฮ่ย”
ส่วน เทซูกลับไปทูลรายงานพระเจ้าจองโจว่าไม่มีใครโผล่มาสักคน พระเจ้าจองโจทรงถอนพระทัย เวลาเดียวกันมินจูซีก็กลับไปรายงานชางแทวูว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
วันต่อมาชางแทวูรีบมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“ฝ่าบาท”
“นั่งก่อนสิท่านเสนา ว่าไง จะพูดอะไร”
“ในเมื่อไม่มีหลักฐานยืนยันสิ่งที่รับสั่ง งั้นคดีนี้ให้หม่อมฉันสืบหาความจริงดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วท่านคิดจะทำไง”
” หม่อมฉันเห็นว่าฮงกุกยองเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุด ถ้าจะให้รู้ความจริง เราก็ต้องใช้วิธีทรมาน โปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉัน ไต่สวนตามแต่จะเห็นควรเถอะ ถ้าฝ่าบาทยังทรงปกป้องคนๆ นี้อีก ซักวันจะเดือดร้อนถึงพระองค์เอง ขอทรงตัดสินพระทัยเถอะ”
“ฝ่าบาท มหาดเล็กนัมพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
“ฝ่าบาท เจ้ากรมโยธา ลีจองแท ถูกคนสังหารพ่ะย่ะค่ะ” นัมซาโชรายงาน
พวกชาวบ้านมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เทซูเข้ามาบอกว่า
“เรามาจากหน่วยทหารพิเศษ รับพระบัญชาให้มาชันสูตรศพ”
หลังจากเทซูดูแล้วก็กลับมารายงานพระเจ้าจองโจ
“ตรวจดูแน่แล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตายใช่ไหม”
“พ่ะยะค่ะ เหมือนที่ฝ่าบาททรงคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด”
” น่าจะเป็นฝีมือกลุ่มปลดแอกค้าทาส ก่อนหน้านี้นึกว่าเป้าหมายคือเจ้ากรมวัง แต่เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เลยหันไปจัดการเจ้ากรมโยธาซะก่อน หรือไม่งั้น คือรู้ว่าทางการเตรียมป้องกันไว้แล้ว”
“ฝ่าบาท แสดงว่าที่พวกเราไปเฝ้าอยู่บ้านเจ้ากรมวังตลอดทั้งคืน มีคนรู้เห็นเข้าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อาจเป็นไปได้”
“แต่พวกเราเก็บตัวเงียบ ไม่มีใครโผล่หน้าซักคนนะพ่ะย่ะค่ะ และทำงานอย่างลับๆ ด้วย”
” นั่นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าคิดเอง ทหารไปเป็นจำนวนมาก ยังไงก็ต้องเป็นที่สังเกตของชาวบ้าน แต่เชื่อว่าคราวหน้า เป้าหมายต้องเป็นบ้านเจ้ากรมวังแน่ เพราะดูจากกิตติศัพท์ที่เขาชอบกดขี่ข้าทาสบริวาร คนกลุ่มนี้คงจะไม่ปล่อยเขาไว้ แต่ว่า หึ”
ดัลโฮรู้เรื่องจากนัมซาโชก็ตกใจ
“อะไรนะ กลุ่ม ปลดแอกค้าทาส มีคนแบบนี้อยู่ในบ้านเมืองด้วยหรือครับ”
“มีสิ คนที่จ้องฆ่าเหล่าชนชั้นปกครอง ก็คือกลุ่มปลดแอกค้าทาสนี่แหละ”
“ฮ้า ตายล่ะ ทำไมมีเรื่องน่ากลัวแบบนี้”
“ดูจากหลายคนที่ถูกฆ่า ล้วนขึ้นชื่อว่าทารุณบ่าวไพร่เป็นที่หนึ่ง สุดท้ายพวกเขาคงทนไม่ไหว รวมกลุ่มมาสังหารซะเลย”
“อ้อ แต่ว่า ทำไมฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ได้ล่ะครับ จากการไต่สวนของกรมอาญา ไม่เห็นมีการเอ่ยถึงเลย”
“ข้าก็แปลกใจอยู่ ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงทราบแต่แรก เพียงแต่ไม่รับสั่ง แต่รายละเอียดมากกว่านี้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พระเจ้าจองโจทรงรับสั่งกับเทซู คังซกกีและซอจังบูว่า
“ถ้าส่งทหารไปดักรอจำนวนมาก จะเป็นที่ผิดสังเกตได้ง่าย”
“หมายความว่า จะให้พวกเรา”
“ใช่ คราวนี้ไปแค่พวกเจ้าสามคน โดยไม่มีทหารติดตาม และไม่ให้ใครรู้ด้วย จะทำได้หรือเปล่า”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ เราจะจับคนร้ายให้ได้”
“ดูจากพฤติกรรมในช่วงนี้ อย่านึกว่าเป็นแค่บ่าวไพร่แล้วจะประมาท คนพวกนี้น่าจะมีฝีมือ ต้องระวังให้มากล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ทรงวางพระทัยได้”
“ไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
พวก เทซูไปซุ่มรอสามวันแล้วก็ยังไม่มีวี่แววอะไร ทันใดนั้นคืนนั้นก็เห็นคนมาจริงๆ ซอจังบูเข้าไปจับทันที ส่วนเทซูก็แอบสะกดรอยตามอีกคนไปจนพบแหล่งกบดาน
“มาแล้วหรือ ข้ารออยู่นานแล้ว”
“ฮึ่ม เจ้าเป็นใคร”
” ข้า อยู่หน่วยทหารพิเศษ ชื่อซอจังบู ส่วนเจ้า ถ้าเดาไม่ผิดละก้อ คงเป็นพี่ชายของสาวใช้บ้านนี้ ที่ถูกเจ้ากรมวังกดขี่จนเสียชีวิต เลยจะกลับมาแก้แค้นแทนน้องสาวล่ะสิ ใช่ไหม ถ้าฉลาดก็วางอาวุธลงซะ เพราะข้า ไม่อยากทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าและไม่ใช่ศัตรูของบ้านเมือง ยืนเฉยทำไม เร็วซี่”
“หึ หุบปาก ย้าก” ชายคนนั้นสู้ แต่ก็สู้ไม่ได้ถูกซอจังบูจับ
“มาทางนี้ เดิน”
หัวหน้าองครักษ์เข้ามาทูลรายงานพระเจ้าจองโจเรื่องเทซุพบแหล่งกบดาน
“ฝ่าบาท ปาร์คเทซูส่งข่าวมาว่าได้ติดตามคนร้าย จนพบแหล่งกบดานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งทหารออกไปเดี๋ยวนี้ จับคนที่สมรู้ร่วมคิดให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
” เดี๋ยว ท่านนายกอง คนที่อยู่นั่นส่วนใหญ่เป็นบ่าวไพร่ แม้จะมีอาวุธ แต่ยังไงก็สู้กำลังทหารไม่ได้อยู่ดี ให้ระวังการจับกุมหน่อย ไม่จำเป็นอย่าให้เสียเลือดเนื้อล่ะ”
“พ่ะยะค่ะ”
องครักษ์ออกไปดัก จับ “คนของพวกเจ้า ที่มีส่วนก่อการร้ายในคืนนี้ ได้ถูกทางการจับตัวไว้หมดแล้ว รีบวางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งลงมา ใครที่ไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย เราจะละเว้นชีวิตคนนั้น ฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีความผิด ก็รีบยอมแพ้ซะ”
พวกชาวบ้านปรึกษากัน “เอ่อ เอาไงดี ยอมไม่ยอม”
ทางด้านพระเจ้าจองโจทรงตรัสกับชางแทวูว่า
“วันนี้ทุกท่านมาแต่เช้า คิดว่าคงรู้ข่าวเมื่อคืนแล้วสิ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
” ถ้างั้น ข้าคงไม่ต้องพูดมากอีก เมื่อคืนนี้ หน่วยทหารพิเศษของข้า ได้จับกุมหัวโจกที่อ้างว่าเป็นกลุ่มปลดแอกค้าทาสได้ทั้งหมด และสอบปากคำเรียบร้อยหมดแล้ว แค่นี้ คงพอจะเป็นหลักฐานได้แล้วสินะ หรือท่านเห็นว่าไง ข้าทำตามสัญญาจับคนร้ายมาลงโทษแล้ว จะปล่อยตัวฮงกุกยองได้หรือยัง ใต้เท้าแช สั่งไปทางกรมอาญา ให้ปล่อยใต้เท้าฮงเป็นอิสระได้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
พอมินจูซีรู้จากแชซกจูว่าฮงกุกยองถูกปล่อยตัวแล้วก็ไม่พอใจ
“ใต้เท้า ท่านว่าไงนะครับ ฮงกุกยองถูกปล่อยออกจากเรือนจำงั้นหรือ”
“ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่เกี่ยวด้วย เราจะอ้างอะไรไปจับอีกล่ะ”
“แต่ที่เขาส่งคนมาทำร้ายข้าก็เป็นเรื่องจริงนะครับ ทำไมแม้แต่ข้อหานี้ก็พลอยยกเลิกไปด้วยหรือ”
” ข้อหาหรือ? เมื่อไหร่เจ้าจะตาสว่างซะที ฝ่าบาทรับสั่งว่านั่นเป็นเพราะ เขาต้องสืบเรื่องเจ้าหน้าที่หอตำราถูกทำร้าย และฮงกุกยองสงสัยว่า เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องเลยต้องคาดคั้นเอาความจริงหน่อย แล้วยังไง ตอนนี้เจ้าจะทำไงต่อ ฮงกุกยองถูกปล่อยออกมา เขาจะหันมาเล่นงานเจ้าอีก จะไม่คิดหาทางเอาตัวรอดหน่อยหรือ”
พวกเทซูไปรอรับฮงกุกยอง เขาดีใจ
“หึ ขอบใจมาก ที่พวกเจ้ามารับข้า”
“ใต้เท้า”
“ข้าจะไปเฝ้าฝ่าบาท ตอนนี้พระองค์อยู่ไหน”
“อยู่ห้องทรงงานครับ ฝ่าบาทก็ทรงรอท่านอยู่เหมือนกัน”
ฮงกุกยองเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“นั่งลง ไม่เจอพักเดียว ดูซูบไปเยอะนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะหม่อมฉันไม่เอาไหน ทำให้ฝ่าบาทต้องทรงเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“พูดจริงเหมือนที่คิดหรือเปล่า ท่านไม่โกรธข้าหรือว่า ปากบอกว่าท่านเป็นคนสนิท แต่กลับปล่อยให้ติดคุกน่ะ”
” เอ่อ โกรธอะไรกัน หม่อมฉันไหนเลยจะกล้า สิ่งที่ฝ่าบาททรงทำเพื่อหม่อมฉันทุกอย่าง หม่อมฉันรู้แก่ใจดี หม่อมฉันไร้สามารถ ไม่รู้จะตอบแทนพระเมตตา ที่ฝ่าบาททรงมีต่อหม่อมฉันได้ยังไง”
“ระหว่างเราสองคน ยังต้องเกรงใจอีกหรือ ข้าเพียงแต่ ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อท่านเท่านั้น”
“หึ ฝ่าบาท แต่ว่าฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะทูลถามพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอะไร เชิญถามมาได้”
“ทำไมทรงทราบว่าเรื่องนี้ เกี่ยวกับกลุ่มปลดแอกฯ ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะรู้ได้ไง ก็ท่านเป็นคนบอกไม่ใช่หรือ”
“หม่อมฉันทูลฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เข้าใจจริงหรือ หึๆ”
พระเจ้าจองโจอธิบายแล้วกล่าวว่า
” อ้า ทีนี้เข้าใจหรือยัง ก็คือเล่มนี้ สำนวนคดีที่ท่านฝากเทซูมามอบให้ข้า ทำให้ข้ารู้ความจริง จากรายงานที่ท่านส่งมา ยังบอกถึงความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ที่อยู่ในบ้านชนชั้นสูง หลังจากข้าได้อ่านดู ถึงรู้ว่าขุนนางที่ถูกสังหาร แต่ละคนช่างทารุณบ่าวไพร่อย่างหนัก และทุกคน ล้วนเคยทำงานในกรมแรงงานทั้งสิ้น ข้าจึงเกิดความสงสัย ไปดูศพผู้ตายด้วยตัวเอง ใช่แล้ว คืออักษรนี่แหละ เจ้ารู้หรือเปล่าเทซู หลังมือของคนที่ถูกสังหาร มีอักษรคำว่า “อีก” เขียนอยู่ทุกคน”
เทซูรับคำ “ทราบพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้หม่อมฉันก็เคยได้ยิน”
“แต่เจ้าดูคนนี้สิ อักษรที่เขียนเหมือนไม่ใช่คำว่า อีก เห็นมั้ย ถ้าดูดีๆ เหมือนคำว่า ผู้หญิง”
“อะไรนะ”
“ทีนี้เข้าใจหรือยัง คนชันสูตรบอกว่าเป็นตัวอักษรที่คล้ายกัน ข้าเลยไม่ทันคิดว่าอาจเป็นคำอื่นก็ได้”
“เอ่อ ฝ่าบาท ถ้าสองคำนี้รวมกันเข้าละก้อ”
” ใช่แล้วเทซู ถ้ารวมกันก็คือว่า “ทาส” สิ่งที่คนร้ายต้องการบ่งบอกหลังจากลงมือ ก็คือความหมายนี้แหละ คนพวกนี้ ล้วนตายเพราะเรื่องบ่าวไพร่เป็นเหตุ ทีนี้เข้าใจหรือยัง ที่ข้าสามารถเดาจนรู้เป้าหมายต่อไป ก็เพราะรายงานที่ท่านส่งมาให้ แบบนี้ถ้าไม่ใช่ท่านบอกข้า แล้วใครจะบอก”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“ขอบใจมากนะ แม้ตัวจะอยู่ในเรือนจำ ท่านยังสร้างผลงานไว้อีก”
“หึ ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
” แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ข้าจะให้อภัยในสิ่งที่ท่านทำกับไต้เท้ามินไว้ อย่าเพิ่งหลงดีใจซะล่ะ ที่จริงข้าก็รู้จุดประสงค์ที่ทำ แต่บางครั้งการกระทำของท่าน ก็ขาดความยั้งคิดไปหน่อย”
“หม่อมฉันรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเคยรับสั่งให้หม่อมฉันรอบคอบ สุดท้ายยังหาเรื่องใส่ตัว เป็นความผิดที่ไม่อาจอภัย ขอทรงลงอาญาด้วย”
“อยากให้ข้าลงโทษจริงหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน ยินดีรับพระอาญา ไม่ว่าจะสถานหนักหรือเบา”
“ในเมื่อท่านเต็มใจ งั้นก็ช่วยไม่ได้ การลงโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือมอบหน้าที่ให้ท่าน ไปสืบหาความจริงมา”
“อะไรนะ”
“ตกใจอะไรนักหนา ก็ไหนว่า ยอมให้ข้าลงโทษทุกอย่างไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
” ข้ายังเชื่อใจท่านอยู่ ฉะนั้นเรื่องเจ้าหน้าที่หอตำรา และนโยบายปฏิรูประบบทาส จะให้ท่านดูแลทั้งหมด นี่คือทางเดียวที่ข้าจะลงโทษท่านให้หนัก เป็นไง พอจะทำได้ไหม”
“ฝ่าบาท”
ฮงกุกยองออกมาก็พบกับมินจูซี
“อ้อ ใต้เท้ามิน มีธุระอะไรหรือ”
“ใต้เท้าฮง ได้ยินว่าท่านถูกปล่อยออกจากเรือนจำ เป็นไงบ้าง ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม”
“ใช่ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“งั้นหรือ งั้นก็ดี จะได้โล่งอก ที่ข้ามานี่ เพื่อจะถวายฎีกาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิด อยากรบกวนท่าน นำความขึ้นทูลฝ่าบาทด้วย”
“ถวายฎีกาเรื่องที่เกิด คืออะไรน่ะ” ฮงกุกยองงง
“ท่านก็รู้ ที่ถูกปล่อยตัวคราวนี้ ทำให้ขุนนางหลายฝ่ายไม่พอใจ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะออกหน้าแทนท่าน ยับยั้งพวกเขาเอง”
ฮงกุกยองหัวเราะ “หึๆ ท่านน่ะหรือจะช่วยข้า”
” ใช่ แม้ท่านจะเคยทำร้ายข้า แต่เรื่องแค่นี้ข้าไม่ถือหรอก เพราะรู้ว่า สิ่งที่ข้าทำก็ชวนให้สงสัย เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรเข้าใจผิด ก็ขอให้แล้วกันไปเถอะนะ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงให้เสียเวลาหรอก เข้าใจผิดน่ะหรือ ข้าไม่เคยเข้าใจท่านผิดเลยซักนิด”
“จริงหรือท่าน”
“ใช่ ข้าพูดจริงๆ ที่ท่านให้คนไปทำร้ายเจ้าหน้าที่หอตำรา เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่การเข้าใจผิด”
“เอ่อ อะไรกันน่ะใต้เท้า”
” พอถูกข้าซ้อมเข้าหน่อย ก็รีบส่งพวกนั้นไปอยู่บ้านนอกใช่ไหม ข้ารู้นะ ว่าพวกคนร้ายหนีไปอยู่ไหนบ้าง ท่านนี่ช่างโง่จริงๆ ถ้าไม่อยากให้เดือดร้อนถึงตัว ก็น่าจะหาทางอื่นมากกว่า ข้าส่งทหารไปจับพวกที่ลงมือแล้ว ท่านยังมานั่งเขียนฎีกา เสียเวลาเปล่าๆ”
“อะไรนะ เสียเวลาหรือ พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
ฮงกุกยองไม่ตอบแต่หัวเราะ “หึๆ”
มินจูซีกลับไปเล่าให้ชางแทวูฟัง แต่กลับถูกไล่
“ข้าไม่อยากฟัง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
“ใต้เท้า”
“ไม่นึกว่าที่ไปทำร้ายพวกนั้นคือเจ้าจริงๆ เจ้ากล้าปิดบังข้า ทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
“ใต้เท้าโปรดอภัย สิ่งที่ข้าทำ ก็เพื่อขุนนางทั้งหลายน่ะครับ”
” หุบปาก ก็เพราะความคิดโง่ๆ ของเจ้า ทำให้ขุนนางเก่าอย่างเราตกที่นั่งลำบาก ป่านนี้ฮงกุกยองคงมีข้ออ้างสมเหตุสมผล จะเล่นงานพวกเราก็ไม่มีใครขัดขวางอีก”
“เป็นความผิดของข้าจริงๆ ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะครับ ท่านเองก็รู้ว่าข้าภักดีต่อท่านแค่ไหน ได้โปรดช่วยข้าซักนิด”
“พอที ข้าไม่ช่วยแล้ว”
“ใต้เท้า”
” ใครทำผิดก็ต้องรับผลไปตามนั้น ข้าจะไม่เห็นแก่เจ้าคนเดียว จนทำให้ขุนนางทั้งหลายพลอยถูกตราหน้าไปด้วย เพราะฉะนั้น ก่อนที่ข้าจะเอาผิดกับเจ้า รีบไปเฝ้าฝ่าบาทดีกว่า”
“หา ใต้เท้า”
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก จะไปไหนก็ไป”
“ทำไมท่านถึงใจร้ายแบบนี้ ข้าติดตามท่านมาชั่วชีวิต ท่านจะตัดรอนข้าโดยไม่เหลียวแลได้หรือครับ”
“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง เอาตัวคนๆ นี้ออกไป”
“เอ่อ ใต้เท้าๆ ทำไมทำกับข้าแบบนี้ ใต้เท้าๆๆ”
” ฮงกุกยอง เพราะเจ้าคนเดียว” ชางแทวูแค้นใจ “ข้ารู้เช่นเห็นชาติคนอย่างเจ้าดี ที่ว่าจงรักภักดีก็แค่ลมปากเพ้อเจ้อเท่านั้น เป้าหมายจริงๆ ของเจ้า ก็คือปิดบังพระเนตรพระกรรณ,มีอำนาจในราชสำนัก เพราะฉะนั้น คนที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ราษฎรไม่ได้อยู่เป็นสุข ก็คือพระญาติอย่างพวกเจ้า”
ฮงกุกยองมาเฝ้าพระหมื่นปีจองซุน
“เชิญดื่มน้ำชาก่อน เห็นสีหน้าเจ้าไม่สู้ดี ข้าเลยเตรียมน้ำชาที่เสริมลมปราณให้โดยเฉพาะ”
“หม่อมฉันจะมาทูลถามเรื่องหนึ่ง สิ่งที่พระหมื่นปีมีอยู่นั้น สามารถเล่นงานใเท้าชางแทวูแน่หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เปิดดูซิว่าจะถูกใจเจ้าหรือเปล่า”
ฮงกุกยองอ่าน “นี่คือ”
“นั่นคือ ฎีกาของชางแทวู ที่เขียนในสมัยปี ชองยิน”
“ฎีกาของใต้เท้าชางหรือพ่ะย่ะค่ะ”
” ใช่ ตอนนั้นชางแทวูอายุยังน้อย ด้วยความหุนหันพลันแล่น ถวายฎีกาลบหลู่อดีตพระราชา หาว่าทรงปองร้ายพระเชษฐา เป็นเหตุให้องค์ชายคยองจง ถูกวางยาจนสิ้นพระชนม์ แต่ว่า ตอนนั้นมีราชเลขาคนหนึ่ง เป็นญาติสนิทของข้า ทำให้ได้ฎีกาฉบับนี้มา และตรวจสอบว่าเป็นลายมือชางแทวูไม่ผิดแน่ ทีนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าสิบปีก่อน ข้าสามารถทำให้ชางแทวูยอมถอยได้ ก็เพราะของสิ่งนี้แหละ แสดงว่าเจ้าก็มีความพอใจไม่น้อย ถ้าชอบก็เอาไปได้เลย เพราะตอนนี้ดูเหมือนเจ้าจะต้องการของสิ่งนี้มากกว่าข้าอีก”
“พระหมื่นปีทรงต้องการอะไรบ้าง”
“ข้าจะต้องการอะไร”
“ที่ทรงช่วยหม่อมฉัน ต้องหวังอะไรบางอย่างแน่”
“ข้าบอกแล้วว่าแค่อยากช่วยโดยไม่หวังอะไร”
“พระหมื่นปี”
“ยังมีเวลาอีกเยอะ ไว้วันหลังข้าจะบอกให้รู้ แต่ตอนนี้ขอให้เชื่อก่อนว่าข้ามีความภักดีต่อฝ่าบาท เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากหรอก”
หลังจากฮงกุกยองออกไปแล้ว ซังกุงจึงถามพระหมื่นปีจองซุน
“ใต้เท้าฮงกลับไปแล้วหรือ”
“เพคะ แต่พระหมื่นปีเพคะ คนๆ นี้จะไว้ใจได้หรือเปล่า ถ้าเขาเอาจดหมายไปแล้วผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพระหมื่นปี”
” ไม่หรอก เขาไม่กล้าถึงขนาดนั้น ฮงกุกยอง จะไม่เอาเรื่องนี้ไปทูลฝ่าบาท ว่าเคยมาพบข้าที่นี่แน่นอน ท่านคงไม่เข้าใจความหมายอีกอย่าง นั่นก็คือ หลังจากมอบฎีกาของชางแทวูให้เขาไปแล้ว ต่อไปข้าก็จะ ถือไพ่เหนือฮงกุกยองอีกคน”
นัมซาโชพบดัลโฮที่ตำหนักของพระหมื่นปีจองซุน จึงลากกลับมา ก่อนจะมาทูลถามพระเจ้าจองโจว่าได้ส่งฮงกุกยองไปเฝ้าพระหมื่นปีจองซุนหรือ เปล่า
“นี่มันหมายความว่าไง ถามว่าข้าส่งใต้เท้าฮงไปเฝ้าพระหมื่นปีหรือเปล่าน่ะหรือ”
“ไม่มีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี ข้าไม่เคยสั่งเขา แล้วทำไมท่านมาถามแบบนี้ล่ะ” นัมซาโชอึกอัก “ว่าไง มหาดเล็กนัม”
” เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เมื่อกี้ หม่อมฉันเห็นใต้เท้าฮงเดินออกจากตำหนักคาจอง เลยมาทูลถามดู แต่อาจเพราะหม่อมฉันดูผิดก็ได้”
“ท่านบอกว่าเขาไปตำหนักคาจองหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
” เป็นไปได้ไง ข้าไม่ได้ใช้เขาไปซักหน่อย แต่ก็ไม่แน่ว่า ท่านอาจรีบร้อนเกินไป เลยตาฝาดดูผิดคนก็ได้ เพราะเขาไม่น่าจะมีธุระ อยู่ดีๆ ไปเฝ้าพระหมื่นปีทำไมกัน”
“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ สงสัยหม่อมฉันจะดูผิดจริงๆ”
ช่างเขียนตั๊กกับช่างเขียนลีชองพากันมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ช่างเขียนชางฮงพุก แต่เขากลับสนใจแต่ซองซงยอนที่อยากเขียนภาพดอกเหมย
“จริงสิ เห็นว่าอยากเขียนรูปดอกเหมยหรือ”
“ใช่ค่ะ”
“อาจารย์ ท่านจะรับนางเป็นศิษย์หรือครับ” ลีชองถาม
” เขียนรูปดอกเหมยน่ะนะ มันไม่ยากหรอก จากนี่ตรงไปมีเนินเขาเล็กๆ บนนั้นมีศาลาพักร้อน ถ้าขึ้นไปดูจะเห็นทิวทัศน์ทั่วเมือง เราไปที่นั่นดีมั้ยจ๊ะ เฮ่อๆๆ”
“ใต้เท้า อย่าลืมว่าข้าชื่อซงยอนนะคะ”
“ขอเรียกคนสวยไม่ได้หรือ เรียกง่ายกว่านะจ๊ะ เฮ่อๆๆ”
“เดี๋ยว อาจารย์” ช่างเขียนตั๊กกับช่างเขียนลีชองพากันอึ้ง แต่ก็ยังคงตามตื้อชางฮงพุก
” พวกเจ้าสองคน ฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่องใช่ไหม บอกว่าอย่ามากวนใจข้า จะไปไหนก็ไปซะ ข้าอยากอยู่ตามลำพังกับแม่หนูคนสวยเข้าใจหรือเปล่า”
“อาจารย์ครับ ข้าไม่ไป ถ้าท่านไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ข้าจะไม่ไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว อาจารย์ โปรดรับข้าด้วยเถอะ”
“ข้าก็เหมือนกันครับ ข้าก็ไม่ไปไหน จะขอเป็นลูกศิษย์ท่าน เป็นไงเป็นกัน ชาตินี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น” ช่างเขียนตั๊กกล่อมต่อ
“เป็นตายร้ายดี ข้าก็ไม่ไป ท่านโปรดรับข้าหน่อยเถอะ”
“อาจารย์ๆ”
“รับข้าเป็นศิษย์เถอะนะ”
“รับข้าด้วย อาจารย์”
“ในเมื่อพวกเจ้าตื๊อขนาดนี้ พูดยังไงก็ไม่ฟังใช่ไหม งั้นก็ได้ ข้าจะสอนเคล็ดลับให้อย่างหนึ่ง เสร็จแล้วก็รีบไสหัวไปซะ เข้าใจมั้ย”
“หึ เข้าใจครับอาจารย์”
“บุญคุณใหญ่หลวงของท่าน ข้าไม่มีวันลืมเลยครับ” ลีชองดูภาพแล้วกลืนน้ำลาย
ช่างเขียนตั๊กก็อึ้ง “หา เอ่อ คือ อา อาจารย์ นี่มัน ภาพอย่างว่านี่ครับ”
ลีชองดุ “เงียบเถอะน่า โวยวายอะไรเล่า นี่คือสุดยอดวิชาของอาจารย์ เห็นแล้วอย่าเอ็ดไป”
“ไม่เอ็ดได้ไง เห็นรูปแบบนี้ ใครจะอยู่เฉยได้”
“ทำไม แปลกมากหรือ”
“หึ แปลกสิครับ ภาพแบบนี้ เป็นสิ่งต้องห้ามและผิดศีลธรรมอย่างมาก ช่างเขียนที่ดีต้องพึงละเว้น”
“หึๆ เจ้าจะเว้นได้หรือ”
“หา ท่าน ท่านว่าไงนะครับ”
ชางฮงพุกว่า “ดูจากหน้าเจ้าก็รู้ ว่าชอบของพรรค์นี้ยิ่งกว่าใครซะอีก”
ช่างเขียนตั๊กอึ้ง “เอ่อ อะไรนะครับ”
“โดยเฉพาะจมูกของเจ้า ส่อแววชอบหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้นัก”
“เอ่อ โธ่ อาจารย์”
สนมวอนพินรู้ว่าซองซงยอนมาแล้ว และแวะเฝ้าพระมเหสีโยอึยก่อน จึงมาหาพระมเหสีโยอึย
“เวลามาทำงาน ตามหลักน่าจะไปคำนับข้าก่อน ไม่ใช่ตรงมาที่นี่อย่างเดียว”
“ทรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่”
“ช่างเถอะ เป็นแค่คนงานต่ำต้อย จะรู้ธรรมเนียมก็แปลกล่ะ แล้วนี่กำลังเขียนอะไร กลับไปเขียนที่ศูนย์ฯ แล้วค่อยมาต่อใช่ไหม”
“พระสนม” พระมเหสีโยอึยเรียกปราม
“ข้าบอกแล้วว่า ให้เจ้ามาเขียนในวังไงล่ะ เห็นคำสั่งข้าไม่มีความหมายหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างงั้นเพคะ เพราะวันก่อนพระมเหสีรับสั่งว่าอย่าเพิ่งเข้าวัง หม่อมฉันกลัวงานจะเสร็จช้า เลยเขียนที่ศูนย์ศิลปะไปพลางก่อน”
” ข้าไม่อยากฟัง ฉากบังลมเป็นของตำหนักข้า ถ้าจะเขียนก็ต้องเขียนตามที่ข้าสั่ง แต่ไม่ว่าข้าพูดอะไร เจ้าทำเป็นหูทวนลมซะ แถมยังเขียนอะไรก็ไม่รู้ ดูซิ นี่เป็นภาพดอกบัวงั้นหรือ”
“เอ่อ เพคะ เป็นภาพดอกบัวจริงๆ”
“หึ เฮ่ย” สนมวอนพินไม่พอใจมาก
“หา เอ่อ พระสนม” พระมเหสีโยอึยทรงจะขัดแต่สนมวอนพินไม่เปิดโอกาส
“เจ้านี่มันสามหาวนัก ทีแรกข้ายังไม่เชื่อ แต่นี่เจ้าต้องการลบหลู่ข้าชัดๆ”
“เอ่อ พระสนม หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง”
” ใครๆ ก็รู้ว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ที่ขึ้นจากโคลนตม ถ้าเจ้าไม่คิดจะลบหลู่ข้าจริง มีหรือจะเอามาเขียนเป็นฉากบังลม ซึ่งสื่อความหมายให้ข้าตั้งครรภ์เร็วๆ น่ะ”
“เอ่อ หึ ถ้าหากภาพนี้ พระสนมไม่พอพระทัย งั้นหม่อมฉันเปลี่ยนใหม่ก็ได้ แต่ว่า ที่มีรับสั่งถึงกำเนิดของดอกบัว ถือว่าผิดอย่างมหันต์ ดอกบัวนั้น แม้จะเกิดจากโคลนตม แต่เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความบริสุทธิ์ สูงส่งและงดงาม ที่สำคัญกว่านั้น โบราณหมายถึงความมั่งมีศรีสุข”
ซองซงยอนถูกตบหน้าทันที โชบีตกใจร้องลั่น “ว้าย”
” เป็นแค่คนงานต่ำต้อย ริอ่านมาให้ความรู้แก่ข้าเชียวหรือ หึ ไล่นางออกไปเดี๋ยวนี้ และเอาเรื่องนี้ไปทูลเสด็จแม่ด้วย เอ่อ” สนมวอนพินคลื่นไส้
แชซังกุงรีบประคอง “พระสนม ทรงเป็นไรหรือเพคะ พระสนมๆ”
หลังหมอหลวงมาตรวจอาการแล้ว นัมซาโชรีบทูลพระเจ้าจองโจ
“ท่านบอกว่าไงนะ สนมวอนพินตั้งครรภ์หรือ เป็นความจริงหรือเปล่า”
“น่าจะจริงพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ หมอหลวงได้ไปถวายการตรวจแล้ว”
ดัลโฮบอกข่าวตั้งครรภ์ของสนมวอนพินให้ฮงกุกยองทราบ เขาดีใจมาก
พระพันปีเฮคยองทรงตรัสถามหมอ
“เป็นไงบ้าง พระสนมตั้งครรภ์จริงหรือเปล่า”
“ตอนนี้สัญญาณชีพยังเต้นอ่อนอยู่ คงต้องดูอีกซักพักพ่ะย่ะค่ะ แต่จากที่พระสนมรับสั่งมา คิดว่า คงเป็นการทรงครรภ์ไม่ผิดแน่”
“หึ เพียงไม่นานเจ้าก็ตั้งครรภ์แล้ว เป็นสิ่งที่ใครก็นึกไม่ถึง ถือว่าเจ้ามีผลงานต่อฝ่าบาทด้วยนะจ๊ะ”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ”
“ยินดีด้วยนะจ๊ะ” พระมเหสโยอึยตรัส
“ขอบพระทัย หึ”
พระมเหสีโยอึยออกมา และชวนคิมซังกุงกลับ แต่เห็นนางร้องไห้
“เดี๋ยวก่อน ท่านร้องไห้หรือ”
“หึ เปล่าเพคะพระมเหสี ฮือ”
“เป็นอะไรอีกล่ะ ทำไมต้องร้องห่มร้องไห้”
” ฮือ เจ็บใจแทนพระมเหสีน่ะสิเพคะ ฮือ พระมเหสีทรงรอคอยสายพระโลหิตมาเกิด สวรรค์ก็ช่างใจร้าย ให้สนมวอนพินมีก่อนได้ยังไง เฮ่ย ฮือๆๆ ฮือๆๆ”
“อย่าคิดมากดีกว่า ใครจะมีโอรสก่อนก็เหมือนกัน ล้วนเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งนั้น”
“พระมเหสี ฮือ”
ฮงกุกยองเข้ามาแสดงความยินดีกับน้องสาว
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ขอให้ทรงมีพระโอรส จะได้สืบบัลลังก์ต่อไป”
“แน่นอนพี่ใหญ่ ข้าก็หวังว่าจะได้โอรสซักองค์ แต่ก่อนจะบรรลุเป้าหมายนั้น ท่านต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อนได้ไหม”
“อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าให้เกิดเหตุการณ์เหมือนคราวที่แล้วที่ท่านถูกขังคุก ท่านไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นข้าเป็นห่วงท่านขนาดไหน”
“พระสนม”
” อยู่ในวัง คนที่ข้าหวังพึ่งได้ก็มีแต่ท่านคนเดียว อีกหน่อยถ้าข้ามีโอรสจริง ท่านก็จะเป็นพระมาตุลาขององค์ชายใหญ่ ซึ่งทุกคนต้องยำเกรง และมีฐานะสูงกว่านี้ เพราะฉะนั้น อีกหน่อยข้ากับลูก ยังต้องให้ท่านดูแลอีกมากนักรู้หรือเปล่า”
“พระสนมทรงวางพระทัย หม่อมฉัน ยังไงก็จะปกป้องพระสนมและพระโอรสอย่างดี เพราะฉะนั้น ขอเพียงพระสนมถนอมพระวรกายให้แข็งแรง เรื่องอื่นไม่ต้องทรงเป็นห่วง”
“ขอบคุณพี่ใหญ่”
“ฝ่าบาทเสด็จมา”
“อ้อ หึ ฝ่าบาท”
“ท่านก็อยู่นี่ด้วยหรือ”
“ขอแสดงความยินดีที่พระสนมทรงครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมาก และต้องขอบใจวอนพินด้วย ถือว่าเจ้ามีผลงานต่อราชวงศ์ของเราอย่างมาก”
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
โชบีถามซองซงยอนด้วยความเป็นห่วงว่าเจ็บมากมั้ยที่ถูกสนมวอนพินตบหน้า
“หึ ช่างเถอะ หายเจ็บตั้งนานแล้ว ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ”
” เฮ่ย ไม่อยากคิดเลยว่าทีหลังเจ้าจะเจออะไรอีก ใหม่ๆ ยังจ้องจับผิดไปซะทุกเรื่อง เฮอะ ตอนนี้เห็นว่ามีครรภ์ มีหวังยิ่งกร่างกว่าเดิมอีก”
“เอ่อ พี่โชบี จะกลับก่อนก็ได้นะ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“เฮ่ย ก็ได้ ข้าไปก่อนล่ะ เฮ่ย”
พระเจ้าจองโจเสด็จมาพบซองซงยอน จึงเรียกถาม
“ซงยอน”
“อ้อ ฝ่าบาท”
“เข้ามาเขียนรูปในวังหรือ”
“ใช่แล้วเพคะ กำลังเขียนฉากบังลมให้กับตำหนักพระสนมวอนพิน เอ่อ แต่ได้ยินว่า พระสนมทรงตั้งครรภ์ ยินดีด้วยนะเพคะ”
“ยินดีหรือ ใช่ เป็นเรื่องน่ายินดีของราชสำนัก ใครๆ ก็ดีใจมาก แต่ไม่รู้เพราะอะไร ข้าไม่อยากได้ยิน คำยินดีออกจากปากเจ้าเลย ไปเถอะ”
“เพคะ”
แชซกจูมาเฝ้าพระหมื่นปีจองซุน
“เคยมีรับสั่งไม่ให้หม่อมฉันมาเฝ้าอีกแล้ววันนี้มีอะไรถึงรับสั่งให้หาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
” ที่เชิญมา ไม่ใช่เพราะมีอะไรพิเศษหรอก เพียงแต่ว่า มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับข้า คิดว่าน่าจะบอกให้ท่านรับรู้ไว้เลยเชิญมาพบซักครั้ง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้ ข้าจะได้ออกจากตำหนักคาจอง ไปอยู่ที่ๆ สมศักดิ์ศรีแห่งฐานะพระหมื่นปี”
“ออกจากตำหนักคาจอง ทรงหมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกอย่าง ไม่เพียงแต่ข้าคนเดียว บางทีแม้แต่ไต้เท้าชางแทวูก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”
เวลานั้นชางแทวูทราบจากขุนนางเรื่องคนร้ายที่สังหารเหล่าขุนนางถูกปล่อยตัวก็ตกใจ
“ท่านบอกว่าไงนะ คนร้ายที่สังหารเหล่าขุนนางถูกปล่อยตัวทั้งหมดหรือ ใครเป็นคนออกคำสั่งแบบนี้”
” เห็นว่าเป็นคำสั่งใต้เท้าฮงครับ บ่าวไพร่พวกนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขา แทนที่จะประหารชีวิต กลับปล่อยตัวเป็นอิสระท้าทายกฎหมาย แบบนี้มันจะถูกหรือครับท่าน”
ชางแทวูรีบมาเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจทันที
“ความหมายของท่านก็คือ ข้ามอบอำนาจให้ไต้เท้าฮงมากเกินไป อย่างงั้นใช่ไหม”
“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกวันนี้ฮงกุกยองเลยยิ่งได้ใจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น”
“ใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือ ไหนลองยกตัวอย่างให้ฟังซิ”
“เขามีคำสั่งให้ปล่อยบ่าวไพร่ที่สังหารขุนนางหลายคน โดยลงโทษแค่โบยเล็กน้อยก็ถือว่าพ้นความผิด ทำแบบนี้ เท่ากับท้าทายกฎหมาย”
“แต่เรื่องนี้ ข้าสั่งให้เขาทำเอง ถ้าท่านจะมาพูดเรื่องนี้ละก้อ คงไม่ใช่ตำหนิไต้เท้าฮงคนเดียว แต่ยังรวมถึงข้าด้วย”
“ฝ่าบาท”
” จริงอยู่ความผิดของพวกเขาสมควรตายนัก แต่ว่า ถ้าเราสั่งประหารบ่าวที่ฆ่านาย รวมทั้งคนสมรู้ร่วมคิด แล้วชนชั้นสูงที่ทารุณกรรมพวกเขา ทำให้ไม่มีทางไปจะว่ายังไง สมควรได้รับโทษจากทางการเท่าเทียมหรือเปล่า”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ควรมองแบบนี้นะพะย่ะค่ะ บ้านเมืองเราถือระบบชนชั้นเป็นสำคัญ ผู้เป็นนายย่อมมีสิทธิ์ในชีวิตและทรัพย์สินของบ่าว เป็นกฎหมายที่มีมานานไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ ท่านพูดมาก็ถูก ข้าเลยมีความคิดใหม่ว่า จะแก้กฎหมายข้อนี้ซะ”
“แก้กฎหมาย? ฝ่าบาททรงหมายความว่าไงหรือพ่ะย่ะค่ะ แสดงว่า จะทรงห้ามไม่ให้มีการทารุณบ่าวไพร่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ ถ้าห้ามกันได้ง่ายๆ ข้าคงไม่ต้องคิดนานขนาดนี้”
“แล้วฝ่าบาททรงคิดจะ”
“ข้าอยากให้โชซอน ไม่มีการค้าทาสอีกต่อไป”
“หา ฝ่าบาท”
” แน่นอนว่าคงเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพราะทาสเป็นสมบัติของนาย เหล่าขุนนางและผู้มีอันจะกินต้องคัดค้านข้าถึงที่สุดแน่ แต่ว่าข้า ยังไงก็จะให้ยกเลิก ระบบทาสทั้งหมด”
พระหมื่นปีจองซุนมาขอเฝ้าพระเจ้าจองโจ ทรงตกพระทัยมาก
“ไม่พบกันนานนะฝ่าบาท”
“พระหมื่นปีเสด็จมาที่นี่ทำไม ไม่ได้ยินหรือ หม่อมฉันถามว่าพระหมื่นปีเสด็จมานี่มีธุระอะไร”
ฮงกุกยองเข้ามา “ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลเชิญพระหมื่นปีมาเอง”
“ใต้เท้าฮง”
“คนที่ทูลเชิญพระหมื่นปีมา ก็คือหม่อมฉันพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ คือท่านหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จบตอนที่ 54
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment