Thursday 16 April 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 49



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 49

ขุน นางใหญ่ภายใต้การนำของแชซกจูนั้นได้ทูลขอให้พระเจ้าจองโจทรงถอนรับสั่งที่ เคยรับสั่งไป แต่พระเจ้าจองโจกลับไม่ทรงเปลี่ยนแปลงพระทัย
พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งว่าถ้าหากขุนนางใหญ่คนใดไม่น้อมรับรับสั่งของพระองค์ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับใช้ราชสำนักอีกต่อไป
หลัง จากที่พระเจ้าจองโจทรงรับสั่งแล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากที่ประชุมขุนนาง แชซกจูเห็นพระเจ้าจองโจทรงไม่อ่อนข้อให้จึงกลับไปคิดหาหนทางใหม่
อีก ด้านหนึ่งนั้น แชซกจูและบรรดาขุนนางใหญ่ต่างไม่พอใจการตัดสินพระทัยของพระเจ้าจองโจ ด้วยเหตุนี้บรรดาขุนนางใหญ่จึงพากันไม่รับขุนนางใหม่เข้าทำงานในสังกัดของ พวกตน ทำให้บรรดาขุนนางใหม่เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เนื่องจากบรรดาขุนนางใหญ่เป็นขุนนางที่สูงวัยทั้งนั้น ดังนั้นจึงมีน้ำอดน้ำทนมากกว่าจึงทำให้หลีกเลี่ยงการปะทะไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน



พระเจ้าจองโจทรง ปรึกษาหารือวิเคราะห์ถึงคำพูดของบรรดาขุนนางใหญ่ ในที่ประชุมขุนนางกับฮงกุกยอง แชจีคยองและนัมซาโช พระเจ้าจองโจทรงไม่ไหวเอนไปกับคำพูดของบรรดาขุนนางใหญ่เลยแม้แต่น้อย จากนั้นพระเจ้าจองโจก็ทรงมอบหนังสือราชการจำนวนหนึ่ง ให้ฮงกุกยองนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ฮงกุกยองมอบหมายงานให้เทซูและพวกไปทำ
พระมเหสีโยอึยเสด็จไปที่ศูนย์ ศิลปะและให้ซองซงยอนพาเดินชม ก่อนจะตรัสว่า ทรงอยากรู้ว่าที่นี่สำคัญกับซองซงยอนแค่ไหน และจะยอมออกจากที่นี่หรือเปล่าถ้าจำเป็น
“เอ่อ พระมเหสี เอ่อ หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม ที่มีรับสั่ง ทรงหมายความว่าไงเพคะ จะให้หม่อมฉันออกจากที่นี่หรือ เพราะอะไรเพคะ”
“อีกไม่นาน จะมีประกาศคัดเลือกพระสนม และข้าก็จะเสนอให้เจ้าเป็นสนมเอก เพื่อไปอยู่ในวังด้วยกัน”
“อะไรนะเพคะ เอ่อ พระมเหสี หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
“หึ ไปอยู่ในวังเถอะนะ เมื่อเป็นสนมแล้ว เจ้าจะได้อยู่กับฝ่าบาททุกวันไง”
“เอ่อ พระมเหสี”
” ทุกวันนี้ฝ่าบาท เหมือนอยู่บนเส้นทางที่วิบากนัก แต่พระองค์ก็ไม่ทรงกลัว ยิ่งมีอุปสรรคก็ยิ่งอยากเผชิญ ที่สำคัญ ยังมีพระปณิธานอันใหญ่หลวง จนทุกวันนี้ ฝ่าบาทเหมือนจะทรงเครียดมาก ข้ารู้ว่าถ้าเป็นเจ้า จะสามารถปลอบพระทัยให้ฝ่าบาททรงสำราญได้ มีแต่เจ้าเท่านั้น ถึงจะชดเชยความอ้างว้างของฝ่าบาท ซึ่งข้าไม่มีวันทำได้”
“เอ่อ พระมเหสี”
” แน่นอน ข้าคงไม่ฝืนใจเจ้าให้เป็นสนมหรอก เพราะถ้าไปอยู่ในวัง เจ้าก็ต้องเลิกล้มความฝันที่จะเป็นช่างเขียนรูป มันคงจะเป็น การตัดสินใจที่ยากพอดู แต่ยังไงข้าก็หวังว่า เจ้าจะไตร่ตรองให้ถ่องแท้ เพราะฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าและไม่มีใคร คงหวังให้เจ้า ไปเป็นเพื่อนคู่พระทัยบ้าง ตัดสินใจได้เมื่อไหร่รีบบอกข้าด้วย แต่หวังว่า ข้าคงไม่ต้องรอคำตอบจากเจ้านานนัก”
พระพันปีเฮคยองเรียกฮงกุกยองมาพบ พระพันปีเฮคยองบอกฮงกุกยองว่าจะรับน้องสาวของฮงกุกยองเข้าวังหลวง
“เอ่อ แต่ว่าพระพันปี หม่อมฉัน เป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท ถ้าให้เกี่ยวดองเป็นพระญาติละก้อ”
” ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนสนิทของฝ่าบาท,ถึงได้เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา จริงอยู่อาจมีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า แต่ดูจากความวุ่นวายในราชสำนักแล้ว คิดว่าเรื่องนี้คงจะรอช้าไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝ่าบาท ต้องการการสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าซึ่งเป็นคนสนิทที่ใกล้ตัวก็ควรมีอำนาจมากขึ้น และยังมีอีกข้อหนึ่ง คือปัญหาที่ฝ่าบาทไม่มีทายาทซะที ข้าจึงอยากให้มีโอรสเร็วๆ เพื่อให้บัลลังก์ของฝ่าบาทมีความมั่นคงมากขึ้น แม้ว่าการทำแบบนี้ เจ้าจะเป็นที่ครหาว่าคิดขยายอิทธิพล แต่ข้าเชื่อว่า ถ้าเจ้ามีอำนาจเมื่อไหร่ จะไปช่วยฝ่าบาททำงานให้มากขึ้น เป็นไงบ้าง ข้าเชื่อในความภักดีของเจ้า แล้วเจ้าจะทำให้ข้าสมหวังได้หรือเปล่า”
“พระพันปี”
องค์ชายลีซานตรัสถามฮงกุกยองถึงเรื่องเตรียมการสอบไปถึงไหนแล้ว
“มีสนามสอบฝ่ายบุ๋น 6 แห่ง ฝ่ายบู๊ 4 แห่ง ล้วนเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ว่าฝ่าบาท ฝ่ายปกครองและฝ่ายกลาโหมมีตำแหน่งว่างมากที่สุด คิดว่าตอนคัดเลือก คงจะเป็นงานหนักพ่ะย่ะค่ะ”
” ก็สมควรอยู่หรอก การคัดเลือกขุนนางรวดเดียว 2 พันคน ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ ต้องดูประวัติการศึกษาและคุณสมบัติให้ครบ ถึงจะรับเข้ามาได้รู้มั้ย”
“หม่อมฉันจะดูแลเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ” แชจีคยอมกล่าว
“หม่อมฉันก็จะช่วยอีกแรงพ่ะย่ะค่ะ”
“ทุกคนไปรอที่ห้องอักษรก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”
แชจีคยอม นัมซาโช และฮงกุกยองรับคำพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายลีซานเสด็จไปและพบกับซองซงยอน
“ทำไมวันนี้กลับค่ำล่ะ”

“เอ่อ เพคะ ต้องไปคุยกับกรมพิธีการเกี่ยวกับเรื่องสอบ กว่าจะรอทุกคนมาครบ ทำให้เลยเวลาไปมาก”
“เพราะคำสั่งของข้า ทำให้เจ้าลำบากด้วย เราจะมีการสอบขุนนาง พวกเจ้าคงต้องเตรียมงานเยอะสินะ”
“ลำบากอะไรเพคะ ไม่มีซักนิด เมื่อเราเป็นช่างเขียนก็ต้องทำงานพวกนี้อยู่แล้ว”
“หึ นั่งลงก่อนสิ”
“เอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันคงไม่เหมาะจะ”
“ไม่เป็นไร นั่งเถอะ”
“หึ หึ เอ่อ แต่ว่าฝ่าบาท ดูพระพักตร์ไม่ค่อยดีนะเพคะ”
“งั้นหรือ”
“เพคะ เทียบกับวันก่อนที่เจอ พระพักตร์ดูซูบผอมไปเยอะ หรือว่า ทรงประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ”
“เปล่าหรอก แต่อาจเพราะว่า หลายวันนี้ไม่ค่อยได้กินอะไรเลยดูเพลียๆ”
“หา ฝ่าบาทไม่ได้เสวยหรือเพคะ”
“เพราะมัวแต่ทำงาน บางทีก็ลืมเรื่องอาหารไปบ้าง”
” เอ่อ แต่ว่า แบบนี้มันไม่ดีนะเพคะ ถึงจะยุ่งแค่ไหน ก็ควรถนอมพระวรกายให้มาก ถ้าทรงประชวรจะเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมละเลยเวลาเสวยได้ล่ะ เพคะ หึ ฝ่าบาท”
“น่าแปลกจริงๆ เวลาฟังพวกซังกุงบ่นเรื่องนี้ ข้าจะรู้สึกรำคาญ แต่พอเจ้ามาบ่น ข้ากลับชอบมาก”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะไปกินข้าวให้อิ่ม พอใจหรือยัง”
“หึ ถือเป็น คำสัญญาได้ไหม”
“ได้สิ ถือเป็นสัญญา”
วัน รุ่งขึ้นเป็นวันคัดเลือกขุนนางฝ่ายบุ๋น หอศิลป์ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่จดบันทึก หัวหน้าหอศิลป์คัดเลือกจิตรกรจำนวนหนึ่งเข้าไปในวังหลวงเพื่อทำหน้าที่จด บันทึก ซองซงยอนเป็นหนึ่งในบรรดาจิตรกรที่ถูกคัดเลือก เมื่อซองซงยอนและพวกเข้าไปที่สนามสอบก็รู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่ามีผู้มาคัด เลือกน้อยมาก ซองซงยอนพบว่ามีพิรุธ
หลังจากที่นัมซาโชและฮงกุกยองรู้ เรื่องนี้ก็รีบนำความทูลพระเจ้าจองโจทันที พระเจ้าจองโจทรงเสด็จมาที่สนามสอบด้วยพระองค์เอง พระเจ้าจองโจทรงพบว่ามีบัณฑิตเข้ามาสอบคัดเลือกน้อยมาก พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ฮงกุกยองสืบหาความจริงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน แน่
แชซกจูและบรรดาขุนนางใหญ่ต่างไม่พอใจที่พระราชาทรงไม่ถอนรับสั่ง หลังจากที่ทุกคนปรึกษาหารือกันแล้วก็พากันไปเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจองซุนเพื่อ ปรึกษาหารือว่าจะรับมือกับพระราชาอย่างไรดี เดิมทีพระหมื่นปีจองซุนก็อับจนหนทาง แต่เมื่อแชซกจูกล่าวรายชื่อขุนนางเก่าแก่คนหนึ่งขึ้นมาก็ทำให้พระหมื่นปีจอง ซุนทรงตระหนก แท้ที่จริงแล้วขุนนางคนนี้เป็นใครกันแน่
แชซกจูทูลพระ มเหสีจองซุนว่าถ้าหากขุนนางที่ว่านี้ให้ความช่วยเหลือ เชื่อว่าพระเจ้าจองโจจะไม่มีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้อย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นแชซกจูก็ไปเชื้อเชิญขุนนางเก่าที่ว่านั้นด้วยตนเอง แชซกจูวิงวอนขอร้องอยู่นานจนขุนนางเก่ายอมให้เข้าพบ ที่แท้ขุนนางเก่าที่ว่านี้เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบมากมายในสมัยอดีตพระ ราชา คำพูดของขุนนางคนนี้ไม่เพียงเป็นที่เกรงพระทัยของอดีตพระราชา น้ำเสียงของขุนนางคนนี้ก็น่าเกรงขาม แม้แต่ชาวบ้านต่างพากันยำเกรงขุนนางคนนี้เป็นอันมาก
แชซกจูบอกขุนนาง เก่าว่าบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ต่างไม่พอใจรับสั่งของพระเจ้าจองโจเป็นอันมาก ถ้าหากต้องการให้ราชสำนักกลับสู่ทำนองคลองธรรมจะต้องให้ใต้เท้าช่วยออกหน้า เชื่อว่าถ้าใต้เท้าออกหน้าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแน่นอน ใต้เท้ามีความเห็นเป็นประการใด


ที่แท้ขุนนางเก่าผู้นี้มีชื่อว่าชางแท วู ชางแทวูเล่าถึงสาเหตุที่ออกจากราชการให้แชซกจูและพวกฟัง จากนั้นชางแทยูก็รับปากให้ความช่วยเหลือ ชางแทยูเข้าวังหลวง ภารกิจแรกที่ชางแทยูทำคือเกลี้ยกล่อมบัณฑิตไม่ให้เข้าสอบคัดเลือกเป็นขุนนาง เรื่องนี้สร้างความกลัดกลุ้มพระทัยให้พระเจ้าจองโจยิ่งนัก ทรงตรัสถามชางแทวู
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะการสอบคราวนี้ ถือว่าผิดต่อระเบียบปฏิบัติ หากจะคล้อยตาม คงไม่ใช่วิสัยของผู้เป็นบัณฑิต”
“ผิดระเบียบปฏิบัติหรือ หมายถึงข้าใช่ไหม ถ้าอย่างงั้น แล้วฝ่ายของท่านล่ะ แบ่งพรรคแบ่งพวกกีดกันคนนอก กุมอำนาจบริหาร ถือตนเป็นใหญ่ ทำอะไรตามใจชอบ แบบนี้ถือว่าถูกต้องแล้วหรือไง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งถูกแล้ว ทุกอย่างในโลกล้วนมี 2 ด้าน มีดำก็มีขาว มีฝ่ายถูกก็มีฝ่ายผิด แล้วฝ่ายผิดคืออะไร คือฝ่ายที่ต้องเสียสละมากกว่าคนอื่น ทุกวันนี้กลไกที่ขับเคลื่อนบ้านเมือง เป็นระบบที่มาจากขั้วอำนาจเก่า ซึ่งข้อนี้แม้แต่อดีตพระราชาก็ไม่กล้าทรงปฏิเสธ แม้จะจำใจยอมรับ ก็เพื่อให้บ้านเมืองได้อยู่อย่างมั่นคงต่อไป แต่ฝ่าบาทจะทรงปฏิเสธ แนวทางของอดีตพระราชาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ ต่อให้เป็นนโยบายของเสด็จปู่จริงก็ควรดูว่าเหมาะหรือไม่ ข้าคิดว่าหลักสำคัญในการบริหารบ้านเมือง คือความปรองดองจากทุกฝ่าย เช่นเดียวกับพิณต้องมี 5 สาย ถึงจะบรรเลงเพลงได้อย่างไพเราะ ขุนนางไม่ว่าใหม่และเก่า ชายหรือหญิงควรมีสิทธิ์เท่าเทียม ไม่ใช่ใครไม่เห็นด้วยกับเรา ก็ฆ่ามันให้หมด แต่ต้องยอมรับในความต่าง แล้วปรับใช้ให้สมดุลต่างหาก นี่คือระบบที่เราต้องนำมาใช้จริง และเสด็จปู่ก็เคยเห็นชอบ ที่จะให้ดำเนินการตามนี้ จึงอยากให้ท่านฟังให้ดี ไม่ว่าท่านจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก ข้าก็ไม่มีวันอ่อนข้อให้ อีก 6 วันข้างหน้าจะให้มีการสอบใหม่ และจะเปิดทางให้ลูกอนุฯ และอดีตขุนนางมามีส่วนร่วม ในการบริหารประเทศด้วย
“งั้นก็แปลว่า ยังไงการสอบก็จะเป็นโมฆะ”
“ว่าไงนะ”
” ฝ่าบาทซึ่งเป็นประมุขแห่งโชซอน กลับมีพระดำริแหวกแนวแล้วจะให้คนอื่นยอมรับได้ยังไง หน้าที่ของขุนนางคือถวายคำแนะนำในทางที่ถูก ฉะนั้นหม่อมฉันแม้จะแลกด้วยชีวิต ก็ต้องขัดขวางการตัดสินพระทัยที่ผิดพลาด”
“ใต้เท้า” พระเจ้าจองโจทรงอึ้งไป
” แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นพระราชา แต่ว่า พระราชาไม่ได้มีแค่องค์เดียวเท่านั้น ราชวงศ์นี้มีมากว่า 400 ปี อาศัยขุนนางค้ำจุนมาตลอดและอนาคตก็ยังจะเหมือนเดิม ถ้าฝ่าบาทจะทรงคิดแก้ไขระบบเหล่านี้ หม่อมฉันขอทุลว่า ฝ่าบาทจะได้เห็นพลังของบัณฑิตและมวลชน ว่ามีมากขนาดไหน”


จากนั้นไม่นานแชจีคยอมก็บ่นให้พระเจ้าจองโจรับทราบว่า
” ฝ่าบาท ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีหนังสือลาออกมากขึ้น ไม่เพียงแต่ 6 กรมกอง แม้แต่ขุนนางระดับล่างก็พลอยตามแห่ ขอลาออกเป็นทิวแถวพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เพียงแค่นี้นะพ่ะย่ะค่ะ พอยื่นหนังสือลาออกแล้ว ทุกคนก็งดเข้าประชุม ทำให้หลายหน่วยงาน มีงานค้างอยู่เป็นจำนวนมาก”
” เห็นว่ากรมปกครองตำแหน่งว่างมากที่สุด อดีตขุนนางที่เคยอยู่หน่วยนี้ว่ายังไง ป่านนี้น่าจะถึงเมืองหลวงแล้ว ไปดูซิว่าทำไมยังไม่มาอีก”
“หม่อมฉันให้ทหารไปสืบข่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเทซูไปสืบและรีบกลับมาบอกฮงกุกยอง แล้วฮงกุกยองก็รีบทูลพระเจ้าจองโจให้ทรงทราบ
“อะไรนะ ขุนนางท้องที่ตั้งด่านสกัด ไม่ให้อดีตขุนนางเข้าเมืองหรือ”
” พ่ะย่ะค่ะ อ้างว่าตั้งด่านเพื่อตรวจการลักลอบเข้าเมือง แต่จริงๆ คือดูว่าใครเป็นอดีตขุนนาง แล้วยัดเยียดข้อหาจับไปขังไว้ แต่ว่า เท่าที่สังเกต คือขุนนางท้องที่สมคบขุนนางในเมือง สกัดพวกอดีตขุนนาง ไม่ให้เข้าวังมารายงานตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ปัญหาไม่ได้อยู่แค่นี้ ต่อให้พวกเขาเข้าวังจริง ก็ดูได้แค่งานในภาพรวมเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ไม่มีใครเชื่อฟังและพร้อมจะผละงานได้ทุกเมื่อ”
“ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง ว่าสภาพในตัวเมืองเป็นยังไงแน่ รีบไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้”
ชา งแทวูกล่าวไว้ว่า “ถ้าราชสำนักเกิดความแตกแยก ผู้รับเคราะห์สุดท้าย ก็คือราษฎรที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกอย่างนี้ เกิดจากพระราชาที่หุนหันพลันแล่น ทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ความเผด็จการของพระราชาจะส่งผลยังไงต่อบ้านเมือง อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะรู้ด้วยตัวเอง”
ชาวบ้านถูกขโมยเข้าบ้านสามหลังติดๆ กัน และมีชาวบ้านไม่สบายมาก ต้องส่งหมอไปช่วย พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปดูด้วยพระองค์เอง
“หึ ฝ่าบาท”
“ลำบากท่านจริงๆ”
“ทำไมเสด็จมาถึงนี่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า ให้เสด็จกลับไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เพราะถ้าอยู่ที่นี่ อาจทรงมีอันตราย”
“อันตรายหรือ หมายความว่าไง”
“ตอนนี้กำลังมีโรคระบาดอยู่ คนไข้ส่วนใหญ่ที่มานี่ ล้วนติดโรคระบาด อาการน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมืองมีโรคระบาดหรือ เกิดเมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย”
” เมื่อ 3 วันก่อน หม่อมฉันได้แจ้งไปยังกรมอนามัย แต่คิดว่าทางโน้นคงไม่ได้นำความขึ้นทูลพ่ะย่ะค่ะ เริ่มจากสะพาน “ควางเคียว” ที่เชื้อโรคแพร่ระบาด บวกกับเจ้าหน้าที่การแพทย์ที่มีน้อย ทำให้ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เพราะฉะนั้น เชิญเสด็จกลับวังหลวงเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

จบ ตอนที่ 49

No comments:

Post a Comment