Thursday, 16 April 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 53

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนที่ 53

คีชอนอิกกับพวกเชกาถูกลอบทำร้าย เชกาพยายามบอกลูกน้องทุกคนว่า
” ทุกคน อย่าทำอะไรวู่วาม สงบสติไว้ อย่าเห็นการตายเป็นของล้อเล่น หึ ถ้าเราตายจริง คิดว่าไต้เท้าต้องการเห็นอย่างงั้นหรือเปล่า ทุกคน ลืมภาพที่ฝ่าบาททรงกอดศพของไต้เท้า กรรแสงออกมาโดยไม่อายใครแล้วหรือ ถ้าตอนนี้ ม้แต่พวกเรายังมีอันเป็นไป แล้วพระทัยของฝ่าบาท จะทนรับได้ยังไง เพราะฉะนั้น จงอย่าดื้อแพ่งอีก ถือว่าเห็นแก่ฝ่าบาทก็ได้ พวกเราจะไม่ยอมตายอย่างไร้ค่า เข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อทุกคนไม่กลัวตาย ก็ขอให้ใช้ความกล้านี้อยู่ต่อให้เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ไต้เท้าของเรา เสียสละอย่างไร้ค่าเข้าใจหรือเปล่า”
“อาจารย์ ฮือ อาจารย์ ฮือๆๆ อาจารย์ ฮือๆๆ อาจารย์ ฮือๆๆ อาจารย์ ฮือๆๆ”
พระเจ้าจองโจทรงทราบเหตุก็รีบเสด็จมาดูอาการของคีชอนอิก
“ฝ่าบาท ทรงอภัยที่หม่อมฉัน ไม่อาจถวายงานได้อีก” คีชอนอิกหอบ
“ใต้เท้าคี ท่านอย่ายอมแพ้ง่ายๆ นะ ทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะหาวิธีช่วยท่านให้ได้”
“หม่อมฉัน รู้สึก ตัวเองใกล้จะไม่ไหวแล้ว”
“ใต้เท้า”
“แม้จะแค่ ไม่กี่เดือนที่ได้ถวายงานต่อฝ่าบาท นั่นก็เป็นความภูมิใจ อันยิ่งใหญ่สำหรับหม่อมฉันแล้ว เฮ่อ”
“ใต้เท้า”
” ฝ่าบาททรงให้เกียรติ ไม่ถือว่าหม่อมฉัน ต่ำต้อยกว่าคนอื่น แต่กลับ ทรงเห็นหม่อมฉัน มีสิทธิ์เท่าเทียมกับคนอื่น ขอให้ทรง รักษาพระเมตตานี้ไว้ เพื่อไปใช้กับราษฎร อีกมากในโชซอนด้วยเถอะ ฝ่าบาท โอย”
“ใต้เท้า ไม่นะ อย่าเพิ่งจากข้าไปแบบนี้”
“อาจารย์ๆ ฮือๆๆ อาจารย์ ท่านอย่าทิ้งเราไปนะ อาจารย์ ฮือๆๆ”
เชกาเองก็ร้อง “ใต้เท้าๆ อย่าทิ้งเราไป ใต้เท้าๆ ฮือๆๆ ใต้เท้า ฮือๆๆ ใต้เท้า”
พระเจ้าจองโจทรงนึกถึงคำพูดของคีชอนอิกที่ว่า
” เป็นองค์ชายแล้วทำไม น่าจะได้บทเรียนบ้าง พักก่อนถูกพวกพ่อค้าสั่งสอนจนหน้าหงาย เพราะที่เราขาดไม่ใช่แค่สินค้าอย่างเดียว จะเป็นของกินหรือของใช้ก็ช่าง ที่เราขาดคือกำลังซื้อ ถ้าจะไม่ให้ราษฎรลำบาก เราต้องสอนวิธีหาเงินให้พวกเขาด้วย ฝ่าบาททรงให้เรามาทำงานตรงนี้ ไม่ทราบว่า จะอยู่ได้กี่วันกี่เดือนพ่ะย่ะค่ะ เชื่อว่าเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย คงไม่ยอมเห็นชอบด้วยง่ายๆ ถ้าวันนี้ เกิดพวกเขารวมกันต่อต้านก็แสดงว่า ความหวังของเรา จะจบเพียงเท่านี้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้าจองโจทรงรู้สึกผิดต่อคีชอนอิก “ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเอง ที่ไม่ได้ดูแลท่าน ข้าเป็นคนไม่เอาไหน ข้าจะไม่มีวันลืม”
เทซูพยายามบีบคั้นนักเลงให้บอกว่าพวกไหนใช้ให้มาทำ แต่นักเลงไม่ยอมบอก เทซูจึงซ้อม
“ฮึ่ม ขอถามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังปากแข็งอีก เจ้าจะได้ตามใต้เท้าคี ไปอยู่ปรโลกให้สมใจ”
“ไว้ชีวิตข้าเถอะ ไม่ใช่ฝีมือข้าจริงๆ คืนนั้นพวกเราอยู่ที่มาโพ ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ”
“ยังจะปากแข็งอีก นี่แน่ะๆ ปากแข็งใช่ไหม ตายซะเถอะ ย้าก”
“เทซู” ฮงกุกยองเข้ามาห้ามไว้ ทำให้นักเลงหนีไป “เจ้ากำลังทำอะไร นึกว่าวิธีนี้แก้ปัญหาได้หรือ”
“ใต้เท้า”
” ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าส่งคนไปสืบเรื่องนี้ตามพระบัญชาแล้ว พวกมันหนีไปจากเมืองหลวงหมด เรื่องที่เกิด เป็นฝีมือคนในกลุ่มยางวาจิน พอเสร็จงาน ทุกคนก็หายหัวไป”
“หา หายหัวไปไหนกันครับ แล้วเราจะทำไงดี ปล่อยให้คนร้ายที่สังหารใต้เท้าคี ลอยนวลงั้นหรือครับ”
“อย่าเอาแต่ใช้อารมณ์ได้ไหม ไม่หรอก ข้าไม่ยอมให้เป็นอย่างงั้น ฝ่าบาทรับสั่งว่า ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ก็ต้องจับพวกมันมาลงโทษให้ได้”
ด้านชางแทวูก็ทูลพระเจ้าจองโจอย่างไม่เข้าใจว่า
“หม่อมฉันไม่เข้าใจที่ฝ่าบาทรับสั่ง เหตุการณ์ที่เกิด เกี่ยวข้องกับขุนนางหัวเก่างั้นหรือ”
” ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจอย่างงั้นหรอก ในเวลาเดียวกัน ทั้งใต้เท้าคีและคนของเขาที่แยกย้ายกลับบ้าน,ถูกทำร้ายพร้อมกัน แล้วใครจะเป็นผู้บงการ แสดงว่าต้องเกี่ยวข้องกับขุนนางที่คัดค้านไม่อยากให้ลูกอนุฯ มาทำงาน เป็นเรื่องที่เด็กสามขวบยังนึกได้ ท่านเสนา”
“แม้ว่าคนของหม่อมฉัน จะไม่เห็นด้วยกับการรับลูกอนุฯ มาทำงาน แต่เราเป็นบัณฑิต จะทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้ยังไง หม่อมฉันไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยจริงๆ”
” ใช่ ท่านคงไม่รู้ ไม่ใช่ ต้องบอกว่ารู้ไม่ได้ต่างหาก ไม่งั้นแม้แต่ท่าน ก็อาจไม่ได้มาอยู่ตรงนี้อีก แต่คิดดูก็น่าแปลก ข้านึกว่า ขุนนางส่วนใหญ่จะเชื่อฟังท่าน ว่าไงว่าตามกัน ที่ไหนได้ กลับมีพวกแตกแถวอีก นี่ก็แสดงว่า คนที่กลายเป็นหัวหลักหัวตอ นอกจากข้าแล้วยังมีท่านอีกคนนะนี่”
“ฝ่าบาท”
“ยังไงก็ตาม ข้าจะไม่ให้อภัยพวกเขา ใครก็ตาม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด จับมันมาลงโทษให้ได้”
ชางแทวูกลับมาถามมินจูซีและเหล่าขุนนาง
“เป็นฝีมือของใคร เหมือนที่ฝ่าบาทรับสั่ง พวกเรามีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้บงการใช่ไหม”
มิ นจูซีรีบบอก “เอ่อ ไม่มีหรอกครับใต้เท้า ทำไมท่านมาสงสัยเราได้ ทุกวันนี้คนที่ไม่ชอบพวกเขาใช่ว่ามีแต่ฝ่ายเราซะเมื่อไหร่ แม้แต่ชาวบ้านร้านช่องก็เกลียดชังพวกลูกอนุฯ ที่ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอมานานแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับทรงเพ่งเล็งมาที่พวกเรากลุ่มเดียว นี่มันหมายความว่าไงน่ะครับ ไม่ใช่เพื่อหาข้ออ้างริดรอนอำนาจของขุนนางเก่าหรอกหรือ”
“นั่นสิครับใต้เท้า ถ้าฝ่าบาททรงคิดว่าเราทำก็หาหลักฐานมาสิ การกล่าวหาเลื่อนลอยก็แสดงว่าจะใส่ร้ายป้ายสีมากกว่าน่ะครับ”
” งั้นก็หมายความว่า ทุกคนยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ใช่ไหม ก็ได้ เมื่อพูดแบบนี้ ข้าก็จะเชื่อซักครั้ง และไม่คิดว่าพวกเจ้าจะกล้าปิดบังข้า หากทำอะไรนอกลู่นอกทางจริง แต่มีเรื่องหนึ่งขอให้จำไว้ ทุกคนในที่นี้ไม่ว่าใคร ไปสั่งให้คนนอกทำจริง ไม่ต้องรอถึงฝ่าบาท แต่เป็นข้า จะจับคนๆ นั้นมาลงโทษให้หนัก”
ขณะที่แชซกจูก็กล่าวกับมินจูซีได้ยินกันเพียงสองคน
“เป็นความคิดที่โง่นัก อยู่ดีๆ จุดประเด็นให้คนอื่นจับผิด นึกว่าแค่กำจัดลูกอนุฯ ไม่กี่คนจะแก้ปัญหาได้หรือ”
“ใต้เท้า ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอะไรอยู่”
“ระวังอย่าให้คนอื่นรู้เข้าละกัน ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ต่อให้เจ้าเป็นคนโปรดของใต้เท้าชาง เขาก็คงไม่ปกป้องเจ้าแน่ หึ”
000000000000000
ฮงกุกยองเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ ทรงตรัสถามว่าสืบได้เรื่องหรือยัง
“พ่ะย่ะค่ะ ส่งทหารหลายหน่วยไปแอบติดตาม ดูว่าพวกขุนนางเก่าไปไหนบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
” เชื่อว่าใต้เท้าชางคงสืบเรื่องนี้เหมือนกัน ข้าแกล้งพูดกระทบให้เขาฉุกคิด ด้วยนิสัยอย่างเขา ยังไงคงต้องสืบหาคนที่กล้าทำเกินเหตุ พลอยให้เขาเสื่อมเสียไปด้วย ถือว่าอย่างน้อยก็ช่วยให้ไต้เท้าคี ได้ไปอย่างหมดห่วง ฉะนั้นไม่ว่ายังไง เราต้องเร่งสืบหา จับคนผิดมาลงโทษให้ได้”
“พ่ะยะค่ะ หม่อมฉันจะจำไว้”
สนมวอนพินเข้าเฝ้าพระมเหสีโยอึย ทรงรับสั่งว่า
“ท่องบทกุลสตรีให้ข้าฟังซิ”
“กุลสตรีนั้นไม่ใช่เด่นด้วยรูปโฉม หากแต่รู้จักสำรวม มีกิริยามรรยาทที่ดี”
“ถูกต้อง ผู้เป็นกุลสตรีนั้น คือต้องคิดก่อนพูด โอบอ้อมอารี มีความเป็นมิตรกับคนทั่วไป โดยเฉพาะความสำรวมมีความหมายยังไงบ้าง”
“ต้องสำรวมทั้งกายวาจาใจ ระงับความหึงหวงและริษยา”
“ถูกต้อง เพราะความริษยาทำให้ขาดสติ เหมือนมีเชื้อโรคมากัดกร่อน ฉะนั้น จึงต้องหลีกเลี่ยงความรู้สึกเหล่านี้”
“ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะจำไว้”
“ถ้าอย่างงั้น จงต่อด้วยบัญญัติ 14 ข้อของการเกิดเป็นหญิง ทำไมจู่ๆ ไม่พูดซะล่ะ”
“ทรงอภัยด้วยเพคะ เรื่องแบบนี้แม้แต่สาวใช้ยังรู้ว่าเป็นบทเรียนพื้นฐานของผู้หญิง แล้วทำไมทรงเอาเรื่องง่ายๆ นี่ มาถามหม่อมฉันอีก”
“อะไรนะ”
“พระมเหสี ก่อนหน้านี้หม่อมฉันยอมรับว่าผิดจริง ถ้าไง ทรงอภัยให้ซักครั้งได้ไหมเพคะ”
” ข้าว่าจนวันนี้ เจ้ายังไม่รู้สำนึกซักเท่าไหร่ เจ้าไม่เคยรู้เลยว่าทำไมข้าถึงให้เจ้ามาพบ หรือตัวเจ้าทำอะไรผิดกันแน่ ขนาดความผิดตัวเองยังไม่รู้ แล้ว จะให้ข้ายกโทษได้ยังไง”
“พระมเหสี”
“หึ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้มาพบข้าในเวลานี้อีก มองอะไร หมดเรื่องแล้วเจ้าจงออกไปได้”
สนมวอนพินไม่ค่อยพอใจนัก ร้องไห้จนเป็นลม พระพันปีเฮคยองทรงทราบเรื่องก็ถามพระมเหสีโยอึย
“หึ วอนพินเป็นลม นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“เสด็จแม่”
” ข้าเคยบอกเจ้าไว้ว่าไง ให้มีน้ำใจต่อนางหน่อย มีอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยจะได้อยู่อย่างปรองดอง แล้วนี่ ให้ท่องบทบัญญัติแล้วยังตำหนิอีก นางเพิ่งเข้าวังมาไม่นาน ย่อมจะไม่รู้กฎเกณฑ์ ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง แทนที่เจ้าจะตักเตือน กลับไปแสดงอำนาจ มันถูกต้องแล้วหรือ”
“เสด็จแม่ทรงอภัยด้วยเพคะ ทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง”
พระพันปีเฮคยองเสด็จมาเยี่ยมสนมวอนพิน
“นั่งเถอะ ไม่ต้องลุกหรอก เฮ่อ วอนพิน สุขภาพเป็นไงบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“เพคะ หมอหลวงบอกว่า อาจเพราะเป็นโรคโลหิตจางนิดหน่อย เสด็จแม่ไม่ต้องทรงห่วงหรอกเพคะ”
“เจ้าต้องทำตัวให้แข็งแรง จะได้มีลูกให้ฝ่าบาทรู้มั้ย”
“ขอทรงอภัยด้วยเพคะ”
” ไม่เป็นไรหรอก เรื่องของเรื่อง เพราะเจ้าไม่คุ้นกับชีวิตในวังถึงได้เกิดความเครียด ไว้ข้าจะพูดกับฝ่าบาท ให้มาตำหนักซุกชางบ่อยๆ จะได้เยี่ยมเจ้าบ้างน่ะนะ ลีซังกุง”
“เพคะ”
“ข้าจะเปลี่ยนฉากบังตาในตำหนักนี้ ช่วยไปบอกศูนย์ศิลปะด้วย”
“ทราบแล้วเพคะ”
สนมวอนพินแปลกใจ “เปลี่ยนทำไมหรือเพคะ”
“วอนพิน ข้าจะให้เขียนฉากใหม่เพื่อให้เจ้าได้ตั้งครรภ์เร็วๆ ฉะนั้น เจ้าต้องรีบหายไวๆ จะได้มีข่าวดีให้ข้าบ้างนะ”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ”
“งั้นก็จงพักผ่อนให้มาก ข้ามารบกวนคนป่วยตั้งนานก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกัน”
“เดี๋ยวเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉัน มีเรื่องจะทูลขอ ไม่ทราบจะทรงอนุญาตได้ไหมเพคะ”
“พูดมาได้ เรื่องอะไรหรือ”
“ถ้าจะให้ศูนย์ศิลปะรับผิดชอบงานนี้ งั้นหม่อมฉัน เคยรู้จักช่างเขียนคนหนึ่ง อยากจะมอบหน้าที่ให้นางน่ะเพคะ”
“เจ้ารู้จักช่างเขียนด้วยหรือนี่”
“เพคะเสด็จแม่”
ทางด้านลีชองที่อยู่กับช่างเขียนชางฮงพุกกำลังฟังกึมฮงบรรเลงเพลง เพราะพาชางฮงพุกมาเลี้ยง ทำให้เขาหมดเงินเป็นร้อยตำลึง
ดัลโฮดีใจที่จะได้กลับไปทำงานในวัง กับตำแหน่ง ซังมุน มักซูเองก็ชื่นชม ก่อนจะออกจากบ้าน ลีชองก็เดิมโทรมเข้ามาหา
“พี่ดัลโฮ”
“ช่างเขียนลี อ้าว เฮ้ย”
“ตายแล้ว เป็นไรไปน่ะ หา”
“ช่างเขียนลี นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไหงโทรมงี้ล่ะ”
“ข้า แย่แล้ว ไม่มีข้าวจะกิน ขออะไรกินหน่อยได้ไหม ฮือๆๆ”
“หา ทำไมอย่างงั้นล่ะ”
“ฮือ กลับไปมีหวังโดนเมียตื๊บแหง ฮือๆๆ”
ลีชองกินข้าวจนอิ่ม และเล่าเรื่องให้ดัลโฮฟัง
“สรุปแล้วเรื่องของเรื่องคือ ไปจ่ายค่าเลี้ยงดูปูเสื่อช่างเขียนสับปะรังเคคนนั้น จนหมดเนื้อหมดตัว แทบไม่ได้กินข้าวซักคำงั้นหรือ”
“เฮ่ย ของเก่ายังไม่ทันหมด ก็สั่งเพิ่มแล้วเพิ่มอีก แล้วใครจะไปทนไหว ข้าเลยต้องอดอยู่คนเดียว”
“ถ้าอย่างงั้น ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะไปฝึกกับเขาอีกหรือ”
“นี่ ทำไมจะไม่ฝึก ท่านไม่เห็นความเป็นเลิศด้านศิลปะของเขา ยังไงก็ต้องขอความรู้มาซักนิด แต่เสียดายเขาไม่ยอมสอนซะที”
“แต่ข้าว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่นา จะเป็นพวกต้มตุ๋นหรือเปล่า”
ลีชองตกใจ “หา”
“ถามจริง ท่านเคยเห็นช่างเขียนสับปะรังเคนี่ เขียนรูปกับตาหรือเปล่า ที่ว่าเป็นเรื่องเป็นราวน่ะ”
ลีชองคิดตาม “เอ นั่นสิ”
“ความหมายของข้าก็คือ รูปที่ว่าเลิศเลอทั้งหลายเป็นผลงานเขาแน่หรือ”
“เอ อึ้ม”
“จุ๊ๆๆ ว่าแล้วมั้ยล่ะ โดนหลอกจนได้ กะอีแค่เอารูปมาวาง คุยว่าตัวเองเก่งแค่นี้ก็หลอกเงินชาวบ้านได้แล้ว” ลีชองคิดตามทันที
000000000000000000
พระเจ้าจองโจทรงตรัสถามฮงกุกยองว่า
“นี่คือนโยบายเลิกทาสโดยรวมใช่ไหม”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันแค่เขียนคร่าวๆ เพื่อให้ฝ่าบาททรงแก้ไขข้อบกพร่องอีกที”
“ข้ารู้แล้ว เรื่องที่ให้สืบ ไปถึงไหนแล้ว”
“อีกสามวัน จะถวายรายงานให้ทอดพระเนตร”
“ฝ่าบาท มหาดเล็กนัมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เจ้าหน้าที่หอตำรา มาทำงานหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมมาเร็วอย่างงี้ล่ะ แต่ละคนบาดเจ็บไม่ใช่น้อย ต้องพักฟื้นเป็นเดือนถึงจะทำงานได้ไม่ใช่หรือ”
และไม่รอช้า พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปที่หอตำราทันที
“นี่มันอะไรกัน ทำไมรีบมาทำงานเร็วขนาดนี้”
” ได้ยินว่ามีงานค้างอยู่มากมาย ทำให้พวกเรา ไม่อาจพักฟื้นได้อย่างวางใจ ฉะนั้น ถ้าใครพอเดินได้ก็ให้มาทำงาน ไม่ไหวก็จะหยุดเองพ่ะย่ะค่ะ” เชกาทูล
“รีบมาทำไม ไม่ต้องหรอก แต่ละคนสารรูปแบบนี้ จะมาโหมงานหนักได้ยังไง”
“ฝ่าบาท”
“กลับไปรักษาตัวให้หมด จนกว่าข้าจะอนุญาตให้มาทำงานอีก เสียใต้เท้าคีคนเดียวก็พอแล้ว ข้าไม่อยากเสียพวกท่านไปอีกเข้าใจมั้ย”
” ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ เราจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงเป็นห่วงอีก ตอนนี้ถ้าวิญญาณใต้เท้าคีได้รู้ คงซาบซึ้งในพระเมตตาอย่างมาก เขาเคยบอกว่า อยากทำงานให้พระราชาที่มองการณ์ไกล ในที่สุดฝันก็เป็นจริง ส่วนพวกเราก็จะเจริญรอยตาม ฉะนั้นฝ่าบาท อย่าทรงห้ามพวกเราเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ว่าท่าน”
” ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตราบใดที่พวกเรายังมีแรงทำงาน จะช่วยฝ่าบาทปฏิรูปการเมือง สร้างฝันให้เป็นจริง เพราะฉะนั้น อย่าทรงไล่พวกเรากลับไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าทรงไล่พวกเราเลยพ่ะย่ะค่ะ” พระเจ้าจองโจทรงถอนพระทัย
พวกเทซู ซอจังบู คังซกกีพากันมารายงานฮงกุกยอง
“เราสะกดรอยไต้เท้า “มินจูซี” เจ้ากรมแรงงานและเจ้ากรมราชทัณฑ์ ไม่พบอะไรน่าสงสัยเลยครับ ทุกคนทำงานปกติ เพียงแต่ระวังตัวมากขึ้น”
“แต่เราส่งคนไปสอดแนมที่หอนางโลมที่พวกเขาไปบ่อยๆ ไม่นานคงจะมีข่าว”
“แต่ว่า นี่ก็ผ่านไป 3 วันแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อ คดีจะยิ่งมืดแปดด้าน เราต้องเร่งมือเข้าไว้”
“ทราบแล้วครับ”
ฮงกุกยองเรียกไว้ “เทซูอย่าเพิ่งไป”
“ครับ มีอะไรหรือครับ”
“ข้าว่า เราไม่ต้องเสียเวลาสืบอีกแล้ว ต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้พวกเขาเกิดความเคลื่อนไหว เอานี่ไปดู”
“เอ่อ นี่คืออะไรครับ”
“เปิดอ่านก่อนสิ”
“หา เป็นไปได้ยังไง ใต้เท้า หมายความว่า คนบงการให้ทำร้ายเจ้าหน้าที่หอตำราก็คือ”
“ใช่แล้ว”
ทั้งสองคนพากันไปพักทำร้ายมินจูซีและจับตัวมาซ้อม ฮงกุกยองต้องบอกให้เทซูหยุดเขาจึงเลิกซ้อมมินจูวี
“หา หึ ทำไมพอแค่นี้ล่ะครับ น่าจะให้เจ้าหมอนี่”
“พอแล้ว นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
“อึ้ม อึ้ม อึ้มๆ พวกเจ้าเป็นใคร แน่จริงบอกข้ามาซี่”
“เฮ่อๆๆ เราเป็นใครน่ะหรือ ช่างเป็นคำถามที่โง่สิ้นดี ถ้าเรายอมเผยตัว จะพามาที่นี่ให้เสียเวลาทำไม”
“หา หนอย อะไรนะ หึ พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้ารู้ว่าทำไมท่านต้องเล่นงานขุนนางที่เป็นลูกอนุฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลของการเป็นศัตรู จะมีจุดจบยังไงใช่ไหม”
มินจูซีตกใจ “หา”
” แต่ว่า พวกเราทุกคนไม่เพียงแต่รู้พฤติกรรมของท่าน แถมยังรู้อีกว่ายังมีใครสมรู้ร่วมคิดกับท่านอีก แน่นอนว่า เราเอาหลักฐานไปให้ทางการดูก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างงั้น พวกท่านก็จะสบายเกินไป”
“หา เอ่อ”
“ในเมื่อมีแบบอย่างให้เห็นก่อน ข้าก็จะให้รับผลตอบแทนในแบบเดียวกัน” มินจูซีไอนิด
“เพราะฉะนั้น จงรออีกซักครู่ สิ่งที่เจ้าหน้าที่หอตำราได้รับ ท่านก็จะได้รับคืน ด้วยสิ่งตอบแทนที่เท่าเทียมกัน”
“หา เอ่อ อึ้มๆ บังอาจนัก ข้าจะสืบให้รู้ว่าพวกเจ้าเป็นใครแน่ แล้วข้าจะกลับมาแก้แค้น จะกลับมาแก้แค้นให้ได้ พวกเจ้าจำไว้ให้ดี”
เทซูของอีกทีหนึ่ง จนมินจูซีร้องลั่น
นัมซาโชมาพบฮงกุกยอง แต่ดัลโฮบอกว่าออกไปตอนหัวค่ำ
“งั้นไม่เป็นไร แต่เห็นเจ้ากลับมาทำงานอีกครั้ง ข้าก็รู้สึกดีใจ เฮ่อๆๆ”
“แหะ ข้าก็เหมือนกัน ได้เจอใต้เท้าอีก ข้าก็แสนดีใจ เฮ่อๆๆ หึ นับแต่นี้ ข้าจะขอรับใช้ท่านจนวันตายน่ะครับ”
“เฮ่อๆๆ ขอบใจมาก”
“เดี๋ยวครับใต้เท้า คือ นี่ก็เลยเวลาออกเวรแล้ว ข้าจะขอกลับบ้านได้ไหม”
“อะไรกันนี่ เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าจะรับใช้ข้าจนวันตายไง ไม่ทันไรจะกลับบ้านแล้วหรือ”
“เฮ่อๆๆ ทำไงได้ เดี๋ยวนี้ข้ามีครอบครัวแล้ว แหะๆๆ”
“เฮ่อๆๆ นึกว่าอะไร เอาเถอะ รีบๆ ไปซะ”
“ครับ ขอบคุณใต้เท้ามาก ฮ่าๆๆ”
“เฮ่อๆๆ เจ้าหมอนี่ เฮ่อๆๆ”
นัมซาโชกลับมาทูลรายงานพระเจ้าจองโจ
“พูดเล่นหรือเปล่า ทำไมท่านฮงไม่อยู่ในวังล่ะ ตามหลักเวลานี้ เขาน่าจะยุ่งกับการเขียนประกาศ ที่จะเสนอวันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ”
“ถ้าอย่างงั้น หม่อมฉันจะให้คน ไปหาอีกครั้งดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ไม่จำเป็นหรอก”
เวลานั้นฮงกุกยองยังคงคุยกับเทซูอยู่
” เฮ่อ ยังไงข้าก็เชื่อว่า มินจูซีเป็นผู้บงการเรื่องนี้ เมื่อเราขู่ว่ามีหลักฐานในมือ มันก็ต้องร้อนตัว รีบดูว่ามีอะไรรั่วไหลหรือเปล่า หลังจากนั้น เราค่อยถือโอกาสตลบหลังอีกที”
“ทราบแล้วครับใต้เท้า”
“แต่ว่า ถ้าให้ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ ต้องไม่ให้อภัยเราแน่ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ไม่ว่ายังไง ต้องปิดเป็นความลับล่ะ”
” ไม่ต้องห่วงหรอกครับ บอกตามตรง ในความคิดของข้า ขอเพียงจับคนร้ายได้ จะใช้วิธีไหนก็ช่าง เอ่อ แต่ข้าสงสัยว่า เราจะเล่นงานมินจูซีคนเดียวหรือ ทำไมไม่ลองหยั่งเชิงขุนนางอื่นดูบ้างล่ะครับ”
“อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าเคยพูดว่าไง นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น เราจะค่อยๆ กดดันคนพวกนี้ คอยดูไปเถอะ”
วันต่อมาพระเจ้าจองโจทรงทราบจากแชจีคยอมว่ามินจูซีถูกลอบทำร้าย
“ใต้เท้ามินจูซีถูกคนลอบทำร้าย เป็นความจริงหรือนี่”
“จริงพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าเมื่อคืนถูกคนอุ้มไป โชคดีว่า ไม่ถึงขนาดปองร้ายถึงชีวิต แต่ก็บาดเจ็บจนไม่อาจมาประชุมเช้านี้ได้”
“หา” พระเจ้าจองโจทรงตกพระทัย
“หึ ขุนนางถูกปองร้ายอยู่เรื่อย จนน่าเป็นห่วงว่า ชาวบ้านจะพลอยอกสั่นขวัญแขวนด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
” ฝ่าบาท มหาดเล็กนัมพ่ะย่ะค่ะ หึ ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เมื่อซักครู่ที่ท่าเรือ “กวางจิน” มีคนพบศพเจ้ากรมอาญา ใต้เท้า ลีตงซู พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากรมอาญาน่ะหรือ”
หัวหน้าองครักษ์มาขอเฝ้า “ท่านนายกอง ได้ข่าวว่าเจ้ากรมอาญาเสียชีวิตแล้วหรือ”
” ทูลฝ่าบาท ศพของท่านเจ้ากรม เมื่อเช้ามีคนไปพบอยู่ที่ท่าเรือกวางจินพ่ะย่ะค่ะ จากคำให้การของบ่าวไพร่ เห็นว่าเมื่อคืนท่านเจ้ากรมกลับถึงบ้าน แล้วจู่ๆ ถูกคนแปลกหน้าจับกุมออกไปอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“มีใครเห็นหน้าตาคนร้ายหรือเปล่า”
“ทูลฝ่าบาท เนื่องจากตอนนั้นมืดมากเลยไม่มีใครเห็นชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าฝ่าบาท มีเรื่องหนึ่ง ที่น่าประหลาดพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“หึ มือของผู้ตาย มีตัวอักษรเขียนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
พระ เจ้าจองโจทรงทอดพระเนตร “นี่มัน คำว่า “อีก” นี่นา หมายความว่าไง จู่ๆ มีอักษรอยู่บนตัวผู้ตาย แสดงว่า คนร้ายที่ลงมือ ต้องการสื่อความหมายบางอย่างใช่ไหม”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกัน และจะขอทูลว่า คำว่า “อีก” ที่เห็นนี้ จะหมายถึงอาจเกิดเรื่องทำนองนี้ซ้ำอีกหรือเปล่า”
พระเจ้าจองโจทรงรับสั่งกับนัมซาโชว่า
“เพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวเจ้ากรมอาญา ให้ส่งผ้าไป 50 พับเป็นการปลอบขวัญ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหน้าที่หอตำราเกิดเรื่องยังไม่ทันถึง 4 วันด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้เกิดเหตุร้ายซ้ำอีกได้นะ”
“เอ่อ หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า หมู่นี้ในวัง มีข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิด”
“ข่าวลืออะไร”
” นั่นก็คือ วันเดียวมีขุนนางผู้ใหญ่เกิดเรื่อง 2 คน บวกกับก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย หลายคนบอกว่าต้นตอน่าจะมาจากการแก้แค้นพ่ะย่ะคะ”
000000000000
ฮงกุกยองปะหน้ากับชางแทวู แต่เขาจะเดินเลี่ยง จนชางแทวูต้องเป็นฝ่ายทัก
“อย่าเพิ่งไป จะไม่มีแก่ใจมาทักทายข้าบ้างหรือ”
“ทักทายท่านน่ะหรือ ข้าไม่เข้าใจความหมายที่พูด”
“ที่ใต้เท้ามินจูซีเกิดเรื่อง เจ้าคงรู้แล้วสินะ เมื่อมาเจอข้า ยังไงก็น่าจะทักทายโดยมรรยาท ในฐานะผู้น้อยก็ยังดี”
“ใต้เท้าโปรดอภัยด้วย เพราะหมู่นี้เกิดเรื่องมากมาย ทำให้ข้าเครียดจนไม่ทันคิด ท่านอย่าถือสาเลยนะ”
” จริงหรือ เครียดขนาดนั้นเชียว เอ แต่มันก็น่าแปลก ข้าดูสีหน้าเจ้าออกจะแช่มชื่นยังกะอะไรดี หรือท่านเจ้ากรมเห็นว่าไงบ้าง ทุกคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อคืน แต่ใต้เท้าฮงกลับทำเฉยเมยเหมือนทองไม่รู้ร้อน ราวกับว่าเรื่องที่เกิด เขารู้แก่ใจแต่แรกอยู่แล้ว”
พระเจ้าจองโจ แชจีคยอมและนัมซาโช นั่งปรึกษากัน
” วันเดียวมีขุนนางผู้ใหญ่เกิดเรื่อง 2 คน บวกกับก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย หลายคนบอกว่าต้นตอน่าจะมาจากการแก้แค้นพ่ะย่ะค่ะ” นัมซาโชกล่าว
พระเจ้า จองโจทรงอึ้ง “พูดเล่นหรือเปล่า ทำไมท่านฮงไม่อยู่ในวังล่ะ ตามหลักเวลานี้ เขาน่าจะยุ่งกับการเขียนประกาศ ที่จะเสนอวันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ”
“เห็นว่าเมื่อคืนถูกคนอุ้มไป โชคดีว่าไม่ถึงขนาดปองร้ายถึงชีวิต แต่ก็บาดเจ็บจนไม่อาจมาประชุมเช้านี้ได้”
“หรือว่า หรือจะเป็นใต้เท้าฮง”
พระมเหสีโยอึยจะเสด็จนำยาไปให้สนมวอนพิน แต่เจอกับซองซงยอน
“อ้อ ซงยอน”
“พระมเหสี”
“เจ้ามีธุระอะไรถึงได้เข้าวังน่ะ”
“เอ่อ มีคำสั่งจากในวังให้มาเขียนฉากบังลมน่ะเพคะ”
“ฉากบังลมหรือ เขียนให้ตำหนักไหนน่ะ”
สนมวอนพินตอบแทนว่า “ตำหนักของหม่อมฉันเองเพคะ ข้าจัดสถานที่ให้เจ้าเรียบร้อย เข้าไปดูได้”
“ทราบแล้วเพคะ”
” ซงยอนอย่าเพิ่งไป วอนพิน ข้าเคยบอกว่าไง คราวนี้เจ้าจะแผลงฤทธิ์อะไรอีก อยู่ดีๆ ให้นางเข้าวังมาทำไม นี่แสดงว่า เจ้าเห็นคำพูดข้าไม่มีความหมายใช่ไหม”
“ไม่เป็นความจริงเลยเพคะ หม่อมฉันจะกล้าลบหลู่พระมเหสีได้ยังไง และไม่เคยเห็นรับสั่งของพระมเหสีไม่สำคัญ เพียงแต่ ทำตามรับสั่งของเสด็จแม่ต่างหาก”
“รับสั่งของเสด็จแม่หรือ”
“เพคะ เสด็จแม่มีรับสั่งให้นางมาเขียนฉากบังลมที่ตำหนักของหม่อมฉัน แล้ว จะให้หม่อมฉันทำไงได้ล่ะเพคะ เสด็จแม่ทรงเป็นผู้ใหญ่ในวัง หม่อมฉันแค่ทำตามรับสั่ง ก็ถือว่าเคารพกฎเกณฑ์แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
พระมเหสีโยอึยตรัสกับซองซงยอนว่า
“ถ้าไง ข้าจะทูลเสด็จแม่ให้เปลี่ยนช่างเขียนอื่นมาแทน เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่ได้คิดอะไร โปรดอย่าทรงถือสาเลย”
“ซงยอน”
” เพราะหม่อมฉัน ทำให้พระมเหสีทรงบาดหมางกับพระสนมแล้ว คราวนี้ อย่าให้มีปัญหาจะดีกว่านะเพคะ หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า เรื่องพวกนี้ เป็นงานของหม่อมฉันอยู่แล้ว ไม่ว่ายังไง หน้าที่ของช่างเขียนก็คือเขียนรูปตามแต่ในวังจะมีคำสั่ง และหม่อมฉัน ก็เป็นช่างเขียนที่ต้องทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจะตั้งใจทำงานให้ดี ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกเพคะ”
“ซงยอน”
“หม่อมฉันขออภัยด้วยเพคะ และขอบพระทัยที่พระมเหสีทรงเมตตา”
โชบีคุยกับซองซงยอนถึงการเขียนภาพฉากตำหนักของสนมวอนพิน
“ข้าว่าตำหนักของพระสนม เขียนฉาก 6 บานจะเหมาะกว่า 8 บานที่ดูเทอะทะ แล้วเจ้าว่าจะเขียนรูปอะไรดีล่ะ”
“ข้าว่า อยากจะเขียนรูปดอกบัว”
“เขียนรูปดอกบัวหรือ”
“ใช่ เป็นดอกบัวทั้ง 6 บานน่าจะเหมาะที่สุด”
” ฮ่า จริงด้วยสินะ ดอกบัวหมายถึงความมั่งมีศรีสุข ถ้าบานเต็มที่จะสวยมากเลย หึๆๆ งั้นเรากลับไปบอกไต้เท้าปาร์ค แล้วก็เริ่มเขียนละกัน หึๆ”
ซองซงยอนเห็นด้วย “ได้”
แชซังกุงบอก “พระสนมเสด็จมา”
สนมวอนพินเข้ามา “เป็นไงบ้าง คิดหรือยังว่าจะเขียนเป็นรูปอะไร”
“คิดแล้วเพคะ”
” เห็นบอกว่าเวลาเขียนรูป ต้องกลับไปเขียนที่ศูนย์ศิลปะใช่ไหม เพื่อไม่ให้วุ่นวาย มาเขียนที่นี่ก็ได้ ข้าจะดูว่าฉากบังลมของเจ้า จะออกมาในลักษณะไหน”
“เอ่อ แต่ว่าพระสนม การเขียนรูปต้องใช้เวลา อยู่ที่ศูนย์ฯ จะดีกว่านะเพคะ เพราะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนพร้อม”
แชซังกุงดุ “บังอาจ กล้าดียังไง ขัดรับสั่งพระสนมน่ะ”
“เอ่อ คือ ทรงอภัยด้วยเพคะ”
“สรุปคือ มาเขียนที่ตำหนักข้าละกัน ไม่ต้องพูดมาก เจ้าต้องมาทุกวันนั่นแหละ”
“เพคะ”
พอออกมาโชบีก็โวยวายว่าไม่มีเหตุผล แต่ซองซงยอนปรามไว้ และพอทั้งสองกลับไปที่ศูนย์ก็ถามช่างเขียนตั๊กว่าลีชองมาทำงานหรือยัง
“ป่วยอะไรนักหนา,ไม่เห็นหน้าตั้ง 3-4 วัน”
“นั่นสิคะ ถึงเขาจะชอบอู้งานแต่ไม่เคยหายหน้าไปนานขนาดนี้”
“อึม นี่ ต้องเดินอีกไกลมั้ย”
“ไม่ค่ะ จวนถึงแล้ว แถวนี้แหละ เลยบ้านหมอคนหนึ่งไปก่อน”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลีชองที่ถูกภรรยาไล่ตีจนหนีออกมา
“นึกว่าไม่สบายจะไปเยี่ยมหน่อย ที่แท้ก็โกหก ข้าจะไปบอกไต้เท้าปาร์คเดี๋ยวนี้ จะได้ลงโทษซะบ้าง” ช่างเขียนตั๊กบ่นว่า
ซองซงยอนรีบห้ามก่อน “เอ่อ ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ ไม่แน่เขาอาจมีความจำเป็นบางอย่าง”
” จำเป็นอะไร เจ้าอย่าโง่นักเลย ไม่ได้ยินหรือว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมน่ะ เฮ่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ ข้าอุตส่าห์เก็บงานให้เขาจนแทบไม่ได้กลับบ้าน”
ช่างเขียนตั๊กกลับไปบอกปาร์คยองมุน ปาร์คยองมุนจึงตามไปพบลีชองกำลังบังคับให้ช่างเขียนชางฮงพุกเขียนภาพให้เขาดู
“เอ่อ ใต้เท้า ฟังข้าอธิบายก่อนเถอะครับ”
“ข้าไม่ฟัง ตอนช่างเขียนตั๊กมาบอก ข้ายังไม่เชื่อ ทำไมถึงได้ทำตัวเหลวไหลนัก แบบนี้เท่ากับทำให้ศูนย์ศิลปะเสื่อมเสียด้วยรู้มั้ย”
“ใต้เท้าอภัยด้วย ข้าเพียงแต่”
“พอที ข้าไม่อยากพูดกับเจ้าและไม่อยากฟังด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ไม่ต้องมาทำงานอีก”
“ใต้เท้าปาร์ค”
ซองซงยอนช่วยขอร้อง “อภัยให้เขาซักครั้งเถอะค่ะ เขาทำแบบนี้อาจมีความจำเป็นก็ได้”
“ใต้เท้า อภัยให้ข้าเถอะครับ ใต้เท้า ฮือๆๆ”
แล้วทันใดนั้นชางฮงพุกก็เสียงดังออกมาให้นำเหล้ามาให้เขา ปาร์คยองมุนจึงได้พบกับชางฮงพุก
“ฮึ่ม หา เอ่อ ใต้เท้า ชางยง”
ชางฮงพุกนอนกรนเสียงดัง ลีชองจึงถามปาร์คยองมุนว่า
“เดี๋ยว ใต้เท้าปาร์ค เขาเคยเป็นช่างเขียนจริงหรือครับ”
” เฮ่ย ไม่ใช่ช่างเขียนธรรมดา เคยถวายการเขียนพระรูปถึง 4 ปีติดต่อ จนเป็นช่างเขียนคนแรกที่ขึ้นถึงระดับ 4 ตามตำแหน่งเรียกว่าใต้เท้า ชางยง”
ลีชองตาโต “โห”
“แสดงว่าเขาก็คือ ช่างเขียน “ชางฮงพุก” ที่ฝากผลงานภาพดอกเหมย อยู่ในห้องทำงานของเราหรือคะ” ซองซงยอนว่า
” ใช่ ถูกต้อง ทุกคนคงเคยเห็นงานของเขา จะรู้ว่านั่นเป็นลายเส้นที่เฉียบคม ไม่มีใครเลียนแบบได้ แต่แล้ว วันหนึ่งจู่ๆ เขาก็หายไปจากศูนย์ศิลปะ ไม่มีข่าว ไม่ติดต่อใครมาสิบกว่าปี แล้วช่างเขียนลี ทำไงถึงรู้จักเขาได้น่ะ”
“เอ่อ คือข้า ข้าก็ไม่รู้ว่า” ชางฮงพุกพลิกตัว “อ้าว เฮ้ยๆๆ พังหมดๆ”
“ใต้เท้า ใต้เท้าชางยง ใต้เท้า”
“ใต้เท้าๆ” ลีชองพยายามปลุกแต่ไม่ได้ผล
ชาวบ้านมุงดูประกาศ เทซูจึงเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทหารจึงบอกว่าเจ้ากรมแรงงาน ปาร์คจองมยอง ถูกฆ่าตายอีกคน พวกชาวบ้านวิจารณ์
เทซูมาบอกพวกซอจังบู กับคังซกกี
“ว่าไงนะ ไม่แค่เจ้ากรมแรงงาน ใต้เท้าปาร์คจองมยอง แม้แต่ผู้ช่วยเจ้ากรมปกครองก็ตายด้วยหรือ”
“ใช่ และเหมือนกับสองศพที่แล้ว คือมีอักษรคำว่า “อีก” เขียนที่มือผู้ตายเหมือนกัน”
” อะไรกันนี่ หมายความว่า นี่เป็นฆาตกรรมต่อเนื่องใช่ไหม หึ ต้องมีใครบงการเบื้องหลังแน่ คนๆ นี้ จะค่อย ๆ กำจัดพวกขุนนางหัวเก่าทีละคน”
“เฮ่ย เทซู เจ้าคงรู้อะไรใช่ไหม”
“หา อะไรนะครับ ท่าน หมายถึงอะไรน่ะ”
“มีเสียงร่ำลือว่าเป็นฝีมือไต้เท้าฮงสั่งให้ทำแบบนี้”
เทซูอึ้ง “หา”
“ถ้าเป็นจริงละก้อ เรื่องจะยิ่งบานปลายกันใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้ารู้อะไรก็รีบพูดมาเถอะ”
พวกขุนนางต่างพากันคิดว่าเป็นฝีมือของฮงกุกยอง ชางแทวูจึงเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“มีเรื่องอะไร”
“เขาคือเลขาของกรมอาญาพ่ะย่ะค่ะ” ชางแทวูกราบทูล
“แล้วทำไมต้องพาเลขากรมอาญามาพบข้าที่นี่ด้วย”
“หม่อมฉันกำลังสืบหาคนบงการฆ่าเหล่าขุนนาง จับมาลงโทษ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำอีก”
แล้วชางแทวูก็บอกว่าทุกคนคิดว่าการที่ขุนนางเสียชีวิตเป็นฝีมือของฮงกุกยอง
” ท่านเอาอะไรมาพูดน่ะ บอกว่าเกี่ยวข้องกับใต้เท้าฮงหรือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ข้ารู้นิสัยเขาดีกว่าใคร เขาจะไม่มีวันขัดคำสั่งข้า ทำเรื่องเลวร้ายแน่”
“เท่าที่ฟังดู เหมือนใต้เท้าฮงไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา เท่ากับที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย”
“ท่านเสนา”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีสิ่งยืนยัน มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าใต้เท้าฮง เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ”
“อะไรนะ”
” หลังจากที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าคนของหอตำราถูกทำร้ายอาจเกี่ยวข้องกับขุน นางหัวเก่า หม่อมฉันจึงได้ส่งคนไปสืบ จนพบความจริงที่น่ากลัวอย่างหนึ่งเข้า นั่นก็คือไต้เท้าฮงซึ่งเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ไปว่าจ้างนักเลงอันธพาลในตัวเมืองให้ลอบทำร้ายไต้เท้ามินจูซี ตอนนี้พวกนักเลงได้ถูกจับกุมและสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
แม้แต่ตัวฮงกุกยองเองพอรู้เรื่องจากแชจีคยอมถึงกับอึ้งไป
“ใต้เท้าว่าไงนะครับ บอกว่าข้า เป็นผู้บงการสังหารเหล่าขุนนางงั้นหรือ”
“มีข่าวว่าเจ้าติดต่อพวกนักเลงให้ลอบทำร้ายใต้เท้ามินจูซี เป็นความจริงหรือเปล่า”
ฮงกุกยองอึกอัก “เอ่อ”
แชจีคยอมรู้ว่าเป็นเขาจริงๆ “ทำไมถึงได้บุ่มบ่ามขนาดนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่า ถ้าเรื่องบานปลายมันจะยิ่งแย่น่ะ”
“ข้ายอมรับว่าจ้างคน ไปทำร้ายมินจูซีจริง เอ่อ แต่ว่า การตายของขุนนางอื่น ข้าไม่รู้อะไรด้วย ข้าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้จริงๆ นะครับ”
แช จีคยอมถอนใจและบอกฮงกุกยองว่า “พูดตอนนี้ใครจะเชื่ออีก เข้าใจหรือเปล่า ถึงเจ้าพูดความจริง แต่ลำพังแค่เรื่องใต้เท้ามิน เจ้าก็ยากจะพ้นมลทินได้แล้ว”
ฮงกุกยองมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“นั่งลง รู้มั้ยว่าท่านไปทำอะไร ให้ข้าเดือดร้อนอีกแล้ว”
ฮงกุกยองถอนใจ “เฮ่อ”
“ทำไมต้องทำเรื่องแบบนี้ด้วย หรือว่าข้า ดูท่านผิดไปจริงๆ”
“ทรงลงอาญาหม่อมฉันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“สมัยที่ข้ายังเป็นองค์ชาย ท่านก็เคยทำเรื่องแบบนี้ แล้วทำไมยังไม่เข็ด ปล่อยให้ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“หึ หึ เรื่องของเรื่อง เพราะหม่อมฉันวู่วาม ไม่คิดให้รอบคอบ ขอได้โปรด ลงอาญาหม่อมฉันด้วยเถอะ”
” ข้าไม่อยากฟังคำพูดแบบนี้จากท่านอีก ขุนนางทั้งหลายต่างก็เรียกร้อง ว่าเรื่องนี้ต้องดำเนินคดีกับท่านให้ได้ และพวกเขายังมี หลักฐานที่ท่านไม่อาจดิ้นหลุด เชื่อว่ายังไงคงจะเอาเรื่องถึงที่สุดแน่ ไหนๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านคิดว่าจะทำไงดี”
“ฝ่าบาท หม่อมฉัน ยินดีรับการไต่สวน”
“ท่านบอกว่ายินดีหรือ”
” หม่อมฉันจะไปกรมอาญา รับการไต่สวนเอง ที่มีการเข่นฆ่าเหล่าขุนนาง ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันจริงๆ เพราะฉะนั้น โปรดให้หม่อมฉันไปยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฮือ”
เทซูรู้เรื่องก็รีบมาถามฮงกุกยองว่า “เอ่อ ใต้เท้า ได้ยินว่าท่านไปเข้าเฝ้า ตกลงเรื่องเป็นไงครับ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง”
“แต่ว่า การตายของเหล่าขุนนาง”
“ไม่ว่าข้าจะเป็นไง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง เข้าใจมั้ย อย่าเอาตัวเองมาพัวพันเด็ดขาด”
“เอ่อ แต่ว่าใต้เท้า”
“ฟังนะ หน้าที่ของเจ้าคือทำงานตามที่ข้าสั่ง เพราะสำหรับฝ่าบาทแล้วนี่คือสิ่งสำคัญ เข้าใจมั้ย”
พระหมื่นปีจองซุนทรงทราบเรื่องฮงกุกยองก็กระหยิ่มในใจว่า “ฮงกุกยอง เจ้ายังจะทำหยิ่ง ปฏิเสธความช่วยเหลือจากข้าอีกมั้ย”
ฮงกุกยองไปกรมอาญาแล้ว แชจีคยอมเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“ท่านมาแล้วหรือใต้เท้า”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ยังไม่เข้าบรรทมอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้สึกไม่ง่วงเลย ไม่รู้เพราะอะไร หมู่นี้นอนยังไงก็ไม่หลับซะที”
“ฝ่าบาท กรมอาญามาทูลถามว่า ถ้าจะทำการไต่สวนไต้เท้าฮง คงต้องใช้การทรมานจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เทซูจะไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจ แต่พระองค์ไม่อยู่ เวลานั้นพระเจ้าจองโจเสด็จไปหาฮงกุกยองที่กรมอาญา
“หา เอ่อ ฝ่า ฝ่าบาท หึ หึ ฝ่าบาท เสด็จมา มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
” ข้าคิดไปคิดมา รู้สึกยังไม่ได้ถามท่าน ว่าทำไมถึงได้ทำอย่างงั้น ข้าเชื่อว่าท่านคงมีบางอย่างจะพูดกับข้า แต่ข้าไม่ได้ถามว่า ท่านทำเพราะอะไร”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
“ถ้าจะพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องเกรงใจ ข้าพร้อมจะฟัง คำพูดจากใจจริงของท่าน”
“ฮือ ฝ่าบาท”
“ท่านบอกว่าที่มีการสังหารเหล่าขุนนาง ไม่เกี่ยวกับท่าน เป็นความจริงหรือเปล่า”
“ฮือ ฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือเปล่า ฮือๆๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร สิ่งที่หม่อมฉันทูลต่อฝ่าบาท จะทรงเชื่อมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
เวลาต่อมาชางแทวูเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจและทูลถามว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเสนาซ้ายชางแทวูมีเรื่องจะทูลถาม”
“เรื่องอะไร เชิญพูดมาได้”
” พระอาญาไม่พ้นเกล้า เมื่อเช้านี้ขณะที่หม่อมฉันเข้าวังมา ได้ยินว่าฝ่าบาทสั่งห้ามไม่ให้มีการทรมานฮงกุกยอง ไม่ทราบเป็นความจริงหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ เป็นความจริง”
พวกขุนนางพากันถาม “หา ทำไมอย่างั้นล่ะ”
“ฮงกุกยองเกี่ยวข้องกับคดีทำร้ายร่างกาย เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มีอะไรต้องสอบอีก ถึงขั้นใช้วิธีทรมานด้วย”
“ทำไมจะไม่มี เขายังเป็นผู้บงการให้สังหารเจ้ากรมอาญา เจ้ากรมแรงงานและผู้ช่วยกรมปกครอง”
” แต่เมื่อคืนนี้ ข้าไปพบฮงกุกยองที่เรือนจำมา เขายืนยันว่า เรื่องที่เกิดไม่เกี่ยวกับเขาเลย เพราะฉะนั้น ข้าจึงสั่งให้ยุติการไต่สวนแต่เพียงเท่านี้”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ควรยุติง่ายๆ คนที่ไม่ถูกทรมานจะยอมรับความผิดได้ยังไง และฝ่าบาททรงมีเหตุผลอะไร ถึงให้ยุติการไต่สวนโดยไม่มีหลักฐานมาหักล้างซะก่อน”
“ท่านต้องการหลัก ฐานใช่ไหม หมายความว่า แค่พิสูจน์ให้เห็นว่าฮงกุกยองไม่เกี่ยวข้องก็พอแล้วสิ ก็ได้ ถ้าอย่างงั้น ข้าจะเอาหลักฐานออกมา ให้ทุกท่านเห็นว่าเขาบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า”

จบตอนที่ 53

No comments:

Post a Comment