Thursday 16 April 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 52

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน 52

และคืนวันส่งตัว พระเจ้าจองโจทรงเสด็จไปพบซองซงยอนที่ศูนย์ศิลปะ ซองซงยอนร้องไห้พูดไม่ออก พระเจ้าจองโจทรงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นนี่ บอกข้ามาเร็ว ใครทำให้เจ้าร้องไห้ถึงขนาดนี้”
“ฮือ ฝ่าบาท ปล่อยหม่อมฉันเถอะเพคะ”
“ซงยอน”
“ฮือ หม่อมฉันไม่ได้เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ เครียดกับเรื่องงาน ไม่รู้จะเสร็จทันหรือเปล่า ฮือ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอกเพคะ”
“นึกหรือว่าพูดแบบนี้ข้าจะเชื่อน่ะ”
“ฮือ ฝ่าบาท”
” เพราะอะไร หรือว่าเพราะข้าใช่ไหม มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากถามเจ้าให้รู้ จงตอบมาดีๆ ที่เจ้าอยากเป็นช่างเขียนต่อ เป็นความสมัครใจจริงหรือ ที่ข้าอยากรู้ก็คือ คำตอบจากใจจริงของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องการ คือเป็นช่างเขียนรูปจริงหรือ”
“ฮือ ฝ่าบาท ฮือ รับสั่งถูกแล้วเพคะ”
“ข้าพูดถูกหรือ แสดงว่าทุกอย่างนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการให้เกิดขึ้นหรือ ซงยอน”
” ฮือ ใช่แล้วเพคะ ความตั้งใจของหม่อมฉันคืออยู่ศูนย์ศิลปะต่อไป ฮือ กว่าจะได้เป็นช่างเขียนต้องฟันฝ่าตั้งเท่าไหร่ หม่อมฉันจะยอมทิ้งทุกอย่างนี้ไปได้ยังไง หึ หม่อมฉันตัดสินใจแน่แล้ว ฉะนั้นขอได้โปรด อย่าทรงถามเรื่องแบบนี้กับหม่อมฉันอีก หึ หลายคนกำลังมองเราอยู่นะเพคะ ได้โปรดทรงปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้”
“นั่น สิ คงจะเป็นอย่างงั้น บอกตามตรง ข้าเคยนึกว่า เราสองคนจะคิดตรงกัน เชื่อมั่นอย่างงั้นมาตลอด แต่ไม่เคยรู้ว่า การเป็นช่างเขียนจะมีความหมายต่อเจ้าขนาดนี้ ข้ามันโง่นัก ยังนึกว่า ไม่แน่เราอาจใจตรงกันก็ได้ ข้ามักจะคิดอย่างงั้นเสมอ งั้นก็ขอโทษ ที่ข้า ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม บอกตามตรง ข้าเคยนึกว่า เราสองคนจะคิดตรงกัน เชื่อมั่นอย่างงั้นมาตลอด”
เวลาเดียวกันทางด้าน สนมวอนพินน้องสาวของฮงกุกยอง เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วจึงบอกแชซังกุงว่า
” บอกคนที่อยู่ข้างนอกให้ถอยไป อีกครึ่งชั่วยาม ดับไฟแล้วนอนได้ พอพรุ่งนี้เช้า บอกว่าฝ่าบาทเสด็จมาหาข้า หลังจากทุกคนถอยไปแล้ว ถ้ามีใครถาม ท่านก็ช่วยบอกไปตามนี้ เข้าใจหรือเปล่า”
“แต่ว่าพระสนม ทำไมต้องบอกคนอื่นว่า”
” สิ่งที่ข้าสั่ง ยังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ คืนส่งตัวคืนแรก ถ้าฝ่าบาทไม่เสด็จมาหาข้า แล้ววันหลังข้าจะมองหน้าคนอื่นได้ยังไง มีหวังพวกนางใน พากันหัวเราะข้าลับหลังล่ะไม่ว่า”
“ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”
ดัลโฮกับมักซูพากันมาพบฮงกุกยอง
“เฮ่อๆๆ ไม่เจอตั้งนานนะ ได้ยินว่าท่านแต่งงานเมื่อวันก่อน ขอโทษที่ไม่ได้ไปงาน” ฮงกุกยองกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีงานยุ่ง จะกล้ารบกวนได้ยังไง แหะๆ”
“เฮ่อๆๆ อย่าพูดอย่างงั้น เราไม่ได้เพิ่งรู้จักซักหน่อย จริงๆ ข้าก็ตั้งใจจะไปหาท่าน เมื่อเจอก็ดีแล้ว”
“หา อะไรน่ะครับ หาข้าหรือ”
“อึม ใช่ ตอนนี้มีครอบครัวแล้ว จะไม่ทำงานเป็นหลักแหล่งหน่อยหรือ เพราะฉะนั้น ข้าอยากให้ท่านไปทำงานในวังหน่อย”
“อุ๊ย ก็ดีน่ะสิ นี่” มักซูตื่นเต้น
“อะไรนะ เดี๋ยว ทำงานในวังหรือ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เฮ่อๆๆ แค่นี้ต้องตกใจด้วย ถือว่าตอบแทนที่เคยช่วยข้าทำงานไงล่ะ ถ้าไงเร็วๆ นี้ จะให้เทซูไปบอก ท่านก็รอละกัน”
“ดีจังเลย หึๆๆ”
“ครับ ดีครับ ขอบคุณใต้เท้ามาก ขอบคุณ ฮือ”
“เฮ่อๆๆ เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
คีชอนอิกกล่าวต้อนรับมินจูซี ที่มาหอตำราหลวง
“ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อ “คีชอนอิก” เป็นผู้ดูแลหอตำราหลวงแห่งนี้ ได้ยินว่าวันนี้จะมีผู้ช่วยคนใหม่ จึงมารอต้อนรับ”
“ยินดีเช่นกัน ข้าชื่อ มินจูซี”
มินจูซีเข้าไปข้างใน เชกาเข้ามาบอก “ต้องขออภัย เชิญท่านลุกจากที่นั่งก่อน”
ลูกน้องมินจูซีดุ “กล้าเสียมรรยาทกับใต้เท้าเชียวหรือ”
เชกาบอกดีๆ “ที่นั่งตรงนั้นเป็นของใต้เท้าเรา ผู้ช่วยต้องนั่งฝั่งขวามือ กรุณาสับเปลี่ยนด้วย”
“ยังจะพูดอีก ช่างไม่รู้กาลเทศะซะบ้าง จะให้ไต้เท้าของเรานั่งที่ต่ำกว่าลูกอนุฯ ได้ยังไง มีหัวคิดหรือเปล่า”
” พวกเจ้าต่างหากไม่มีหัวคิด ใครเป็นลูกอนุฯ ก็ช่าง แต่นี่คือการทำงาน เพราะฉะนั้น นอกจากต้องนั่งถัดมาแล้ว ยังต้องให้เกียรติใต้เท้าของเรา เพราะนี่คือ ธรรมเนียมในราชสำนักไม่ใช่หรือ”
“ธรรมเนียมอะไรกัน เป็นแค่ลูกอนุฯ บังอาจมาสอนข้าเชียวหรือ”
คีชอนอิกเข้ามาตอบแทน “ใช่ เจ้าหน้าที่คนนี้กำลังสอนท่านอยู่จริงๆ”
มินจูซีอึ้ง “อะไรนะ”
“ในเมื่อไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติก็อย่าทำอวดดีนัก ยอมรับฟังคำเตือนจากคนอื่นน่าจะดีที่สุด”
“ท่านว่าไงนะ”
” พูดจาระวังปากหน่อย ถึงข้าจะเป็นลูกอนุฯ แต่ก็เป็นผู้ดูแลหอตำราหลวง เมื่อเจ้าเป็นรองก็ต้องเชื่อฟัง เพราะสิ่งที่เราทำ เป็นไปตามพระบัญชาของฝ่าบาทหรือจะเถียงว่าไม่จริง”
มินจูซีโมโหจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจให้ได้ แต่ทหารปรามไว้ พอดีฮงกุกยองเข้ามาเห็นจึงถาม
“ใต้เท้ามิน เกิดอะไรขึ้นที่หน้าตำหนักใหญ่”
ทหารรายงาน “ขออภัยด้วยครับ ใต้เท้าท่านนี้ ไม่ยอมให้ตรวจค้นก็จะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ทหารถูกตบหน้า
“ทำงานมีหัวคิดหรือเปล่า คนที่ไม่ผ่านการตรวจค้น ต่อให้ใช้กำลังก็ต้องค้นให้ได้ เจ้าไม่รู้หรือไง”
“ขอโทษด้วยครับใต้เท้า”
“คนที่คิดปองร้ายฝ่าบาท อาจแฝงกายอยู่ทุกที่ ไม่มีใครรู้ว่าคนพวกนี้จะซ่อนอาวุธอะไรไว้ในตัว สำหรับก่อการร้าย”
มิ นจูซียิ่งโกรธ “พูดแบบนี้เกินไปหรือเปล่า ใต้เท้าฮง ปองร้ายอะไรกัน เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว ท่านคิดว่าขุนนางอย่างเราจะกล้าคิดไม่ซื่อต่อฝ่าบาทเชียวหรือ”
“หึ ข้าไม่ได้หมายถึงท่านซักหน่อย ทำไมต้องร้อนตัวด้วย หรือว่าในตัวท่านมีอาวุธซ่อนอยู่จริง”
“พูดให้ดีนะใต้เท้าฮง”
“คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจ ทำไมไม่ให้ตรวจค้นล่ะ”
“ข้าไม่ชอบอย่างงั้น ข้าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ชอบพิธีรีตองที่น่ารำคาญ”
” รำคาญอะไรกัน พูดให้ดีหน่อยนะ นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาท ก็ได้ เมื่อท่านยืนกรานไม่ยอมให้ตรวจ งั้นข้า ก็จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง จับตัวไปให้หมด”
“อะไรนะ”
“ไม่ได้ยินหรือไง จับพวกเขาไปค้นตัวแล้วค่อยปล่อยออกมา”
พวกทหารรับคำ เหล่าขุนนางรีบห้าม “เดี๋ยว นี่ ปล่อยนะ จะทำอะไร บังอาจ”
จากเหตุการณ์นี้ ชางแทวูนำความขึ้นทูลฟ้องพระเจ้าจองโจ
“ท่านเสนาบอกว่าไงนะ ใต้เท้าฮงใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือ”
” ใช่แล้วพ่ะยะค่ะฝ่าบาท นอกจากใช้กำลังบังคับขุนนางให้ไปรับการตรวจค้นแล้ว ยังพูดจาข่มขู่สารพัด ทำให้รู้สึกว่าคนๆ นี้ ช่างมีอิทธิพลและก้าวก่ายไปซะทุกหน่วยงาน ยังไม่พอ แม้แต่บ้านเขาก็มีคนเข้าออกแทบไม่ว่างเว้น ได้รับของกำนัลเพื่อขอให้วิ่งเต้นในเรื่องต่างๆ ฝ่าบาทไม่ทรงทราบบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ทุกวันนี้ฮงกุกยอง ถือว่าเป็นคนโปรด อีกทั้งเป็นพระญาติของฝ่าบาท เริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นทุกที”
“ข้าว่าท่านพูดเกินไป บางครั้งเขาอาจเจ้ากี้เจ้าการไปบ้าง แต่ไม่ใช่คนที่ลุแก่อำนาจ เที่ยวข่มชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผล”
“เพราะฝ่าบาททรงเชื่อเขาขนาดนี้ ถึงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย”
“ท่านเสนา”
” ทุกวันนี้ มีขุนนางหลายคนไม่พอใจการทำงานของใต้เท้าฮงมาก เพราะมีเขาอยู่ด้วย ฝ่าบาทจึงให้พวกเรากลับมาอีกครั้งใช่ไหม นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาท ทรงรับรองแข็งขันว่าจะปกครองอย่างเป็นธรรม มีความเสมอภาคทุกฝ่ายหรือพ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้าจองโจทรงเรียกนัมซาโชมาเฝ้า
“ท่านรู้ข่าวของไต้เท้าฮงบ้างมั้ย ได้ยินว่ามีคนไปติดต่อเขา เพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องงานจริงหรือเปล่า”
” เอ่อ มีฝากฝังคนรู้จัก เข้ามาทำงานซัก 3-4 คนได้ แต่ถ้าถึงขั้นรับสินบนละก้อ คงไม่มีหรอกพ่ะย่ะค่ะ เขาคงมีหัวคิด ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้แน่”
“ไม่อย่างงั้น แปลว่าเสนาซ้ายใส่ร้ายเขาหรือไง”
“ตามความคิดหม่อมฉัน อาจเพราะมีคนไปหาเขามากกว่าแต่ก่อน เลยทำให้เป็นที่ครหาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ช่วยไปตามใต้เท้าแชมาพบข้าหน่อย”
เวลาเดียวกันแชซกจูก็ถามชางแทวูว่าเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจมาหรือ
” ที่แล้วมานอกจากอยู่ใต้อำนาจผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ในวังยังเลี้ยงเสือน้อยที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บอีกคน ข้าไม่เข้าใจเลยว่าพวกท่านอยู่ได้ยังไง ตอนนี้คนแรกที่เราต้องกำจัดให้ได้ ก็คือหนุ่มที่ชื่อฮงกุกยอง เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ ข้าจะเรียกประชุมคนของเรา เพื่อหาทางรับมือกับฮงกุกยอง ถ้าไง เชิญท่านไปอีกคนก็ได้”
“ไม่ ข้ามีธุระต้องไปอีกที่หนึ่ง มีคนๆ หนึ่งซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในวัง รับสั่งว่าอยากพบข้า”
“นี่แปลว่า ท่านจะไปเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจริงหรือครับ”
“ไม่งั้นจะทำไงได้ ฮึ่ม”
ชางแทวูเข้าเฝ้าพระหมื่นปีจองซุน
“จริงสิ ตอนนี้ท่านเป็นไงบ้าง กว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง คงทำให้ท่านเห็นความเปลี่ยนแปลงสินะ มีอะไรก็เชิญพูดได้”
“นึกว่าไม่ใช่วังหลวงของเราซะแล้ว”
“หมายความว่าไง”
” กว่าจะมาถึงนี่ เดินหลงอยู่ตั้งนาน เสียทีเป็นถึงพระหมื่นปีแท้ๆ กลับมาอยู่ตำหนักซอมซ่อ ห่างไกลผู้คน เห็นแล้วช่างน่าใจหายจริงๆ ได้ยินว่าพระหมื่นปีให้องค์หญิงวาวานและอีกหลายคนเป็นแพะรับบาป ถึงเอาตัวรอดได้ แต่ไม่นึกว่าสุดท้าย ก็คืออยู่ที่แบบนี้หรอกหรือ”
“เห็นทีท่านคงชราภาพไปไม่น้อย หากไม่ใช่ความจำเลอะเลือนละก้อ คงไม่ลืมว่าข้ายังมีอะไรอยู่ในมือสินะ”
“จริงอยู่ หม่อมฉันยังจำได้ แต่ไม่แน่ว่าของสิ่งนั้น อาจไม่มีประโยชน์สำหรับหม่อมฉันอีกก็เป็นได้”
“หึ จริงหรือ แน่ใจหรือเปล่า”
“ไม่อย่างงั้น ทำไมพระหมื่นปีต้องมีรับสั่ง ให้หม่อมฉันมาเฝ้าอีก”
” ข้าจะไม่ว่าท่านแก่ก็ได้ แต่ว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ใจคนก็ย่อมเปลี่ยนตามกาลเวลาด้วย ท่านก็อย่ามั่นใจตัวเองนัก เพราะความเชื่อมั่นนี่แหละ สมัยก่อนถึงได้แพ้ข้ายับเยินไม่ใช่หรือ”
0000000000000
พระพันปีเฮคยองกล่าวกับพระมเหสีโยอึยว่า
“ได้ยินว่าเจ้ายังมาที่ตำหนักเพื่อขอพบข้าทุกวัน บอกแล้วว่าถ้าไม่อนุญาต ไม่ต้องมาที่นี่อีกไง แล้วจะเสียเวลาทำไมอีก”
“เสด็จแม่ทรงอภัยด้วยเพคะ”
” เจ้าจะคิดยังไงก็ช่าง ตอนนี้คนที่มาอยู่กับฝ่าบาทคือสนมวอนพิน ข้าจึงอยากให้เจ้าทำใจ ยอมรับนางซักนิด ที่ข้าให้เจ้ามาพบ ก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้นี่แหละ”
“ทราบแล้วเพคะ หม่อมฉันจะทำตามรับสั่ง”
“เดี๋ยวซักพักนางจะมาพบข้า เจ้าจะได้ทำความรู้จักและพูดคุยกับนางหน่อย หรือไม่ก็ ให้โอวาทแก่นางเพื่อจะได้อุ่นใจขึ้น”
“ทราบแล้วเพคะ”
สักพักสนมวอนพินก็มาเข้าเฝ้าพระพันปีเฮคยอง ทรงถามว่า
“ชาวบ้านดูจากปริมาณน้ำฝน กะเกณฑ์การเก็บเกี่ยวในแต่ละปีจริงหรือจ๊ะ”
” จริงเพคะ ช่วงฤดูใบไม้ผลิจะวางตุ่มไว้ใต้ดิน ดูว่ารับน้ำฝนแค่ไหนเป็นสิ่งบอกการเก็บเกี่ยวในปีนั้น ด้วยเหตุนี้ หม่อมฉันจึงให้ฝังตุ่มที่ท้ายตำหนักบ้าง คาดการณ์ว่าปีนี้ น่าจะเก็บเกี่ยวได้มากเพคะ”
“จริงหรือ งั้นก็ช่างเป็นข่าวดีแท้ เพราะมีเจ้าเข้ามา ทำให้ข้าได้รู้ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จะได้วางใจหน่อย”
พระมเหสีโยอึยรับสั่งว่า “หม่อมฉันก็คิดเหมือนเสด็จแม่เพคะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
” เห็นพวกเจ้าคุยกันถูกคอ ข้าค่อยรู้สึกเบาใจหน่อย วอนพินเป็นสนมใหม่ ยังไม่ค่อยรู้อะไรในวัง ชุนจอนต้องคอยชี้แนะ และสองคนก็ต้องรักใคร่ปรองดองด้วยนะ”
“หม่อมฉันเป็นผู้น้อย จะขอเชื่อฟังพระมเหสีทุกอย่างเพคะ” สนมวอนพินกล่าว
พระ มเหสีโยอึยตรัสว่า “เจ้ารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนก็ดีแล้ว แต่ว่า ตอนนี้คงไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าการมีทายาทให้ฝ่าบาท หน้าที่นี้คงต้องหวังพึ่งเจ้าล่ะนะ”
“วอนพิน ทำไมจู่ๆ ไม่พูดซะล่ะ”
“เอ่อ หม่อมฉันขอบังอาจทูลว่า หม่อมฉันก็หวังอย่างงั้นเพคะ แต่ว่า ในสายตาของฝ่าบาท รู้สึกหม่อมฉันยังมีข้อบกพร่องหลายอย่าง”
“พูดแบบนี้หมายความว่าไงน่ะ” สนมวอนพินอึ้งไป ก่อนจะทูลความจริงเรื่องที่พระเจ้าจองโจไม่ได้เสด็จมาในคืนวันส่งตัว
พระมเหสีโยอึยทรงเรียกสนมวอนพินมาคุยตามลำพัง
“ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จไปหาเจ้า ทำไมไปทูลฟ้องเสด็จแม่อย่างงั้น ทำแบบนี้ จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้รู้หรือเปล่า”
“ทรงอภัยเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ เห็นเสด็จแม่รับสั่งถามถึง ก็เลยทูลไปตามความจริงเท่านั้นเพคะ”
“การมาอยู่ในวัง อันดับแรกคือระวังคำพูด อย่าได้หลุดปากง่ายๆ ตอนนี้เจ้าก็เป็นสนมแล้ว แค่นี้ยังไม่รู้จักคิดอีกหรือ”
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
” เรื่องวันนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าไม่รู้ธรรมเนียมและเป็นความผิดครั้งแรก จะยกโทษให้ก่อน แต่ว่า เพื่อไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก ต่อไปให้ระวังการพูดจาหน่อยนะ”
“หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ”
ลีชองฉีกกระดาษทิ้งพลางบ่นไม่หยุด ช่างเขียนตั๊กถามก็ไม่ตอบ ช่างเขียนตั๊กจึงไปถามซองซงยอนว่าลีชองเป็นอะไร
“ไม่รู้สิคะ”
” สงสัยว่า จะเสียใจเพราะไม่ได้เป็นจิตรกรเอก เลยคิดมากจนเพี้ยน โบราณถึงว่า คนที่ปล่อยให้กิเลสครอบงำความคิด สุดท้ายก็จะเป็นแบบนี้ เฮ่ย”
หลังจากไม่มีใครแล้ว ซองซงยอนก็เข้าไปหาลีชอง
“ช่างเขียนลี ขอโทษด้วยนะคะ”
“หา ขอโทษเรื่องอะไรน่ะ”
“เพราะข้าทำให้ท่าน พลาดจากการเป็นช่างเขียนประจำพระองค์ในปีนี้”
” ไม่หรอก ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวเลย ซงยอน ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ หึ ข้ามันไม่เอาไหน เสียชาติเกิดแท้ๆ รูปที่เคยเขียนก็เหมือนเป็นเศษขยะ หาความภูมิใจไม่ได้ซักนิด มีแต่เสียเวลาและเปลืองพลังงาน แล้วจะอยู่เพื่ออะไรอีก ชีวิตข้ายังมีความหมายอะไร เจ้าช่วยบอกหน่อยซิ หึ ซงยอน”
“เอ่อ ว่าไงคะ”
“ฮือๆๆ ซงยอน ซงยอน”
“เอ่อ ช่างเขียนลี” ลีชองเอาแต่ร้องไห้
หลังจากเวลานั้น ลีชองก็ไปพบกับช่างเขียนชางฮงพุก เพื่อขอให้เขารับเป็นลูกศิษย์
“ลูกศิษย์หรือ”
“ใช่ครับ ฮือ”
“ทำไมข้าต้องรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้า รีบกลับไปซะ”
“ฮือ อาจารย์ ถ้าท่านไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่นี่จนวันตาย”
“เอางั้นเลยเรอะ ตามใจเจ้าสิ”
“หา ฮือ อาจารย์ๆ”
“ปล่อยข้าเร็วๆ กางเกงจะหลุดแล้ว”
“ไม่ปล่อย ยังไงก็ไม่ปล่อย”
“ไม่ปล่อยหรือ”
ช่างเขียนชางฮงพุกผลักลีชอง แต่ลีชองก็ยังคงเฝ้าติดตามเขาไม่ห่างจนเช้า
“ตอนเช้าไก่ยังไม่ทันขัน ก็ได้ยินเสียงโขกของเจ้า ทำให้ข้านอนต่อไม่ได้อีก ไหนลองบอกซิ อยากเรียนอะไรจากข้า”
“หึ ข้าเห็นงานของท่าน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเสรีภาพ ได้โปรด ช่วยข้าปลดปล่อย ความอัดอั้นที่อยู่ในใจด้วยเถอะ”
“ลุกขึ้นก่อน”
“หา เอ่อ โอย หึ”
“ถ้าอยากเป็นศิษย์ข้าต้องเสียสละหลายอย่าง เจ้าจะทำได้ไหม”
“อาจารย์ เชิญสั่งมาเถอะครับ ไม่ว่าให้เสียสละอะไร ข้าเสียได้หมด หึ”
“งั้นตามข้ามา”
“เดี๋ยว ท่าน จะไปไหนหรือครับ”
“ไปชะล้างคราบกิเลสที่เกาะตามเนื้อตัวเจ้าให้หมดก่อน”
“หา ชะล้าง คราบกิเลสติดตัว ข้ามีด้วยหรือ”
“คิดอะไรอยู่ ตามมาสิ”
“เอ่อ ครับ อาจารย์ หึ”
0000000000000000000
การ ประชุมวันนื้ นัมซาโชเฝ้าดักรอบอกฮงกุกยองว่าไม่ต้องเข้า เป็นคำสั่งจากพระเจ้าจองโจ สร้างความแปลกใจให้เขามาก รวมทั้งแชจีคยอมเองก็ไม่เข้าใจ
ทางด้านปาร์คยองมุนก็ติดต่อลีชองไม่ได้
“นี่มันหมายความว่าไง ติดต่อช่างเขียนลีไม่ได้หรือ”
ช่างเขียนตั๊กตอบว่า “ที่บ้านก็ไม่มีใครรู้ข่าว หายเงียบไปหลายวันนครับ”
ปาร์คยองมุนตกใจ ใต้เท้าคังกล่าวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”
“อย่าคิดมากเลย รออีกซักพักเถอะ”
“อ้อ ถ้าอย่างงั้นงานที่ช่างเขียนลีทำค้างไว้ ก็ให้ช่างเขียนตั๊กรับผิดชอบแทน จะให้คนงานช่วยกี่คนก็ได้นะ”
“เอ่อ ครับใต้เท้า” ช่างเขียนตั๊กรับมา
“เข้าไปเถอะครับ”
สนมวอนพินให้แชซังกุงมาตามซองซงยอนที่ศูนย์ศิลปะไปเข้าพบ
“เชิญนั่งลง”
“เพคะพระสนม”
” เหมือนที่เขาว่า หน้าตาดีจริงๆ เจ้าอาจไม่เคยรู้จักข้า แต่ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้ามานาน และรวมถึง เรื่องน่าตลกบางอย่างด้วย ได้ยินว่าพระมเหสี อยากให้เจ้าเป็นพระสนม เป็นความจริงหรือเปล่า”
“เอ่อ พระสนม นั่นเป็นเพราะ”
“ทำไม ไม่สะดวกจะพูดกับข้าหรือไง”
“เอ่อ พระสนม”
” ที่สำคัญ ยังได้ยินอีกว่าวันแรกที่ข้าเข้าวัง ฝ่าบาทเสด็จไปหาเจ้า ไหนบอกซิว่า เป็นความจริงหรือเปล่า ที่ข้าเข้าวังมา ไม่ใช่เพื่อเป็นตัวตลกให้ใครต่อใครพากันนินทาหรอกนะ แต่แล้ว ข้ายังไม่ทันทำอะไร ก็ต้องเสื่อมเสียเพราะผู้หญิงอย่างเจ้า ไม่ว่าจะไปไหน ก็เห็นคนนินทาและมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ เพราะฉะนั้น ข้าเลยต้องสืบว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ ถ้าเจ้าไม่คิดลบหลู่ข้าจริง ก็ขอให้พูดความจริงกับข้ามา เข้าใจหรือเปล่า”
“เอ่อ” ซองซงยอนอึกอัก
พระมเหสีโยอึยเข้ามา “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
“พระมเหสี หึ”
ซองซงยอนคำนับ “พระมเหสี”
“ซงยอน เจ้ากลับไปก่อน”
“พระมเหสี”
“ข้าบอกให้กลับไปก่อนไง”
“ทราบแล้วเพคะ” ซองซงยอนออกไป พระมเหสีโยอึยรับสั่งกับสนมวอนพินว่า
“ผู้หญิงคนนี้ ทำไมมาอยู่ตำหนักของเจ้าได้”
“พระมเหสี”
“ข้าถามว่าทำไมนางมาอยู่ตำหนักของเจ้า”
“ทรงอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมพระมเหสีต้องทรงกริ้วขนาดนี้”
“อะไรนะ”
” พระมเหสีก็ทรงทราบ เกี่ยวกับข่าวลือของนางและฝ่าบาทไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันแค่อยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า เมื่อมาเป็นสนม หม่อมฉันก็มีสิทธิ์จะรู้ว่า”
“ข้าไม่อยากฟัง เจ้ากำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อยู่”
“พระมเหสี”
“ไม่ว่าจะคิดยังไง สิ่งที่เจ้าทำก็เพราะความริษยา”
“ไม่จริงเพคะ หม่อมฉันไม่เคยคิด ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว”
“ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ ข้าอุตส่าห์เอายาบำรุงมาให้ เห็นทีจะไม่ได้การ วันนี้ ข้าต้องลงโทษเจ้าหน่อยแล้ว”
“ฮือ พระมเหสี”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ให้เอาหนังสือ “บัญญัติฝ่ายใน” ไปพบข้า ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับการอบรมที่ดี ข้าจึงต้องสอนด้วยตัวเอง เข้าใจมั้ย”
พระมเหสีโยอึยเสด็จออกมาพบกับฮงกุกยอง
“พระมเหสี”
“ท่านขัดคำสั่งข้ายอมให้น้องสาวมาเป็นสนม ข้ายังนึกว่านางจะเป็นกุลสตรี ที่ไหนได้ สงสัยข้าจะคิดผิดซะแล้ว”
ฮงกุกยองเข้ามาพบสนมวอนพิน
“พระสนม”
” ข้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่ พี่ใหญ่ ฮือ เพราะเห็นว่ามีข่าวลือเลยอยากถามให้รู้ความจริง แค่นี้ก็เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยเชียวหรือ ฮือ ถึงขนาดให้เอาบัญญัติฝ่ายในไปเข้าเฝ้า ทำไมนางทำกับข้าแบบนี้คะ เพียงแค่ให้คนงานมาพบ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรซักหน่อย แค่นี้ก็ต้องให้ข้าอับอายด้วยหรือ”
“พระสนม”
“ฮือ คนที่หึงหวงไม่ใช่ข้า แต่เป็นพระมเหสี นางไม่ชอบให้ข้าเป็นสนมของฝ่าบาทถึงได้คอยหาเรื่องอยู่เรื่อย ฮือ ฮือๆๆ ฮือๆๆ”
ฮงกุกยองพยายามขอเข้าเฝ้าพระเจ้าจองโจจนในที่สุดแชจีคยอมก็ช่วยพูดจนทำให้เขาได้เข้าเฝ้า
“นั่งสิ ว่าไง มีอะไรจะมาพูดกับข้าใช่ไหม”
“หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม ทำไมถึงให้หม่อมฉัน ออกจากท้องพระโรงพ่ะย่ะค่ะ ทำไมไม่ให้หม่อมฉัน เข้าร่วมการประชุมด้วย”
“ท่านไม่รู้หรือว่าทำไมข้าถึงทำแบบนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่เข้าใจจริงๆ”
“ที่หลายวันนี้ ข้าสั่งห้ามไม่ให้ท่านเข้าประชุม ไม่ใช่เป็นการลงโทษ แต่ทำเพื่อปกป้องท่านต่างหาก ยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
“ฝ่าบาท”
” เพราะก่อนหน้านี้ ไปค้นตัวพวกขุนนางหัวเก่า ทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจ ที่จริงเรื่องแบบนี้ จะว่าถูกก็ถูก ว่าผิดก็ผิดได้เหมือนกัน แต่หลังจากนั้น กลับกลายเป็นว่า พอค้นตัวเสร็จ ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้อีก ซึ่งถ้าให้ท่านเข้าประชุม พวกขุนนางเก่าที่ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องพากันประท้วงแน่ ข้าเพียงแต่ ไม่อยากให้ท่านเป็นเป้าโจมตีสำหรับพวกเขา เลยให้หลบไปก่อน”
“อ้อ” ฮงกุกยองเข้าใจ
“เป็นไงล่ะ หลังจากฟังแล้ว เหตุผลที่ข้าไม่ให้เข้าประชุม พอจะรับได้ไหม”
” หึ ฮือ ทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฮือ หม่อมฉัน ไม่เข้าใจถึงความหวังดีของฝ่าบาท ยังแสดงกิริยาลบหลู่เบื้องสูง ช่างเป็นความโง่สิ้นดี ขอฝ่าบาททรงอภัย ให้กับความโง่เขลาของหม่อมฉันด้วยเถอะ”
“ไม่เป็นไร ที่จริงข้าน่าจะบอกก่อน ท่านจะได้ไม่เกิดความน้อยใจ แต่คิดว่าคนฉลาดอย่างท่าน น่าจะรู้เจตนาที่แท้จริงของข้า เพราะข้าไม่ทันคิดรอบคอบ เชิญลุกขึ้นเถอะ”
“ฝ่าบาท”
“เร็วสิ ไหนๆ พูดถึงขนาดนี้แล้ว ขอเพิ่มอีกหน่อยเถอะ ท่านน่ะ เป็นคนสนิทที่ข้าไว้ใจที่สุด ถึงบางครั้งไม่พูดอะไร ก็หวังว่าท่านจะรู้ใจข้าดี เพราะความที่เป็นห่วง เลยไม่อยากให้ท่านตกเป็นข้อครหาของคนอื่น ไม่ว่าทำอะไรก็ขอให้ซื่อสัตย์และเปิดเผย เป็นที่ยกย่องของราษฎรมากกว่าข้าซะอีก”
“ฝ่าบาท”
“ตอนนี้ไม่เพียง เหล่าขุนนาง แม้แต่ชาวบ้านข้างนอกก็จับตาดูท่านอยู่ ถ้าจะให้เป็นที่นับถือ ก็ต้องวางตัวให้ดี ทำอะไรรอบคอบเข้าไว้ เข้าใจหรือเปล่า”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน จะไม่ลืมรับสั่งของฝ่าบาทเลย”
” งั้นก็ดีแล้ว แต่พูดก็พูด หลายวันนี้ข้าตั้งใจจะให้ท่านพักผ่อน ท่านก็ยังดึงดันจะมาอีก ไหนๆ มาแล้ว ข้าก็อดไม่ไหวจะให้ทำงานต่อ หึๆๆ อ้า เอานี่ไปดู”
“นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องสำคัญที่จะให้ประกาศในเดือนหน้า”
“เอ่อ ฝ่า ฝ่าบาท นี่คือ ราชโองการให้เลิกระบบทาสในโชซอนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
” ใช่ หลังจากบ้านเมืองสงบแล้ว ข้าคิดว่า จะให้มีการเลิกทาสอย่างจริงจังซะที ทุกวันนี้ข้างนอก มีทาสมากมายที่ทนกดขี่ไม่ไหว ยอมหนีไปตายดาบหน้า ที่สำคัญ ชนชั้นสูงนอกจากจะกดขี่พวกเขาแล้ว ยังไปรีดไถถึงญาติพี่น้องของทาสอีก แล้วข้าจะอยู่เฉยได้ยังไง”
“เอ่อ ฝ่าบาท”
” ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงจะให้เลิกระบบค้าทาส ยังจะให้มีการปลดแอก เลื่อนฐานะให้เป็นพลเมืองทั่วไป เมื่อเราออกเป็นกฎ ฐานะก็จะมีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะไม่ถูกกดขี่ราวกับไม่ใช่คนอีก จากนั้น บ้านเมืองถึงจะเจริญได้”
“เอ่อ แต่ว่า ทาสเป็นสมบัติของชนชั้นสูง พวกเขาคงไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ง่ายๆ”
” สิ่งที่เราทำ เคยมีอะไรที่ง่ายหรือเปล่า ถ้ามัวแต่กลัวโน่นกลัวนี่ ชาตินี้คงไม่ต้องริเริ่มอะไรซักอย่างแล้วมั้ง ชาวบ้านที่น่าสงสาร เกิดมาพร้อมกับพันธนาการของระบบชนชั้น พวกเขาก็มีสิทธิ์ได้รับการดูแลจากทางการ”
ทางด้านมินจูซีก็เปล่าหูพวกขุนนางว่า
“ได้ข่าวว่ามีงานหลายอย่างที่พวกลูกอนุฯ ไม่อาจสะสางได้ เป็นความจริงหรือเปล่า”
” พูดแล้วก็น่าโมโห พวกเขาพยายามจะก้าวก่ายทุกเรื่อง เพราะถือว่ามีฝ่าบาทให้ท้ายเลยยิ่งฮึกเหิมได้ใจ เห็นแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด”
“นั่นยังไม่เท่าไหร่ เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น พวกท่านก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ ไม่เพียงแต่ให้ลูกอนุฯ เข้ามา ฝ่าบาทยังจะใช้วิธีอื่นมาจำกัดอำนาจของพวกเราด้วย”
“ถ้าอย่างงั้น เราจะทำไงดีล่ะ”
” พวกที่ไม่เจียมตัว เราต้องสั่งสอนให้รู้ซะบ้าง ว่านี่เป็นรากฐานที่พวกเราสร้างมาอย่างยากเย็น ก่อนที่พวกมันจะปีกกล้าขาแข็งกว่านี้ เราต้องถอนรากถอนโคนให้หมด หึ”
ซอง ซงยอนพาโชบีมาเก็บงานสีในวัง แต่โชบีลืมเอาผงทองมาจึงต้องออกไปขอที่หอศิลปะในวัง พระเจ้าจองโจทรงเสด็จมาทอดพระเนตร ซึ่งมีเพียงซองซงยอนอยู่ลำพัง
“ไม่กี่วัน เจ้าก็ลงสีเสร็จแล้วหรือ” พระเจ้าจองโจตรัส
“เอ่อ เพคะ ถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง คิดว่าน่าจะเสร็จวันนี้ แล้วเดือนหน้า ก็จะถวายพระรูปให้ทอดพระเนตรได้”
” งั้นหรือ ไม่รู้เพราะข้าหรือเปล่า ทำให้เจ้าอยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ ไม่มีอะไรหรอก เห็นเสร็จเร็วกว่าที่คิดเลยถามไปอย่างงั้น เพราะต้องมาเข้าวังบ่อยๆ ทำให้รู้สึกอึดอัดใช่ไหม”
“เอ่อ หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างงั้นเพคะ”
” ถ้าหาก เป็นเพราะเรื่องวันก่อน ทำให้เจ้าเสียสมาธิละก้อ ขอบอกว่าไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ เมื่อข้ารู้สิ่งที่เจ้าต้องการ เราก็จะ ถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเหมือนเดิม และหวังว่า เจ้าจะคิดอย่างงั้นกับข้าด้วย”
จากนั้นทรงให้ซองซงยอนเขียนภาพพระองค์
พระพันปีเฮคยองทรงมาเฝ้าพระเจ้าจองโจด้วยเรื่องของสนมวอนพิน
” ฝ่าบาท ทำไมเจ้าถึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลายวันนี้แทบไม่ไปหา สนมวอนพินที่ตำหนักเลย ที่เรามีสนมเพื่ออะไร เจ้ายังไม่รู้เหตุผลอีกหรือ หึ และเท่าที่ข้ารู้ ยังมีเรื่องเหลวไหลกว่านั้นอีก คืนส่งตัว เจ้าไม่ไปหาสนมวอนพิน แต่กลับไปศูนย์ศิลปะ”
“เสด็จแม่ หม่อมฉัน รู้ว่าเสด็จแม่จะรับสั่งอะไรต่อไป แต่ขอให้หยุดก่อน หม่อมฉันให้สัญญา ต่อไปจะไม่ทำอะไรให้เสด็จแม่ทรงเป็นห่วงอีก ขอทรงวางพระทัยได้ คืนนี้หม่อมฉัน จะไปหาสนมวอนพินที่ตำหนัก มันเป็นสิ่งที่ หม่อมฉันจำเป็นต้องทำในฐานะพระราชา หม่อมฉันก็รู้ เพราะฉะนั้น ขอทรงเห็นใจ และอย่ารับสั่งอะไรกับหม่อมฉันอีกได้ไหม”

จบตอนที่ 52

No comments:

Post a Comment