Wednesday, 2 December 2009

Lee Seo-jin in “Freeze” (2006)


Synopsis

This is a story involving vampires. It goes back to 350 years + when Baek Jung Won Lee Seo Jin saved the vampire I-Wha Son Tae Young from being burned at the stake in his village. He fell off the cliff while they escaped and I-Wha had to give him her blood in order to save him from dying and thus Baek Jung Won was transformed into an vampire also.

In the modern day Seoul, they opened a bar. One day Baek Jung Won received a letter from his former love who was dying and entrusted him to look after her daughter Jang Ji Yun Park Han Byul. Baek Jung Won fell in love with this woman some 20 yrs ago but broke up without telling her the truth about himself. After her mother's funeral, Jang Ji Yun found a picture that her mother treasured a lot with someone looking like Baek Jung Won in it and she set out to look for him. When she finally found him, she thought he was the son of her mother's long lost lover as Baek Jung Won's appearance didn't change as a vampire. They start to fall in love and I-Wha Son Tae Young has difficulty dealing with that. At the same time a serial killer who sucks blood from the victims is on the loose....


Lee Seo Jin as Baek Jung-won
Park Han Byul as Jang Chae-Yun
Son Tae Young as I-wha


[Special Thanks to loveseojin.com]




Freeze ละครขนาดสั้น (มินิซีรี่ยส์) ที่ลีซอจินแสดงไว้เมื่อปี 2006 เป็นเรื่องราวความรักของแวมไพร์กับมนุษย์ ลีซอจินรับบทเบ๊คจุงวอน ชายผู้มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน เขาบังเอิญเข้าไปช่วยหญิงผู้หนึ่งไม่ให้ถูกชาวบ้านจับเผาทั้งเป็น ระหว่างที่หนีนั้นจุงวอนได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ ยีฮวา (ซอนแทยัง ตอนนี้เป็นภรรยาของควอนซังวู) หญิงที่เขาช่วยมา เธอให้เขาดื่มเลือดของเธอ นั่นทำให้ชีวิตของจุงวอนเปลี่ยนไป เพราะยีฮวาเป็นแวมไพร์ และทำให้จุงวอนกลายเป็นเช่นเดียวกับเธอ

จุงวอนมีชีวิตอยู่ต่อมาหลายร้อยปีโดยไม่แก่ไม่ตาย ชีวิตของเขาเหมือนถูกแช่แข็งไว้นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเลือดที่ยีฮวาหามาให้ แต่จุงวอนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบไร้ชีวิตและจิตใจ ที่จริงแล้วเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป เมื่อ 20 ปีก่อนจุงวอนเคยผูกพันกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ต้องจากมาโดยไม่บอกถึงเหตุผลที่แท้จริงกับเธอ 20 ปีต่อมาเธอส่งจดหมายมาหาเขา ขอฝากลูกสาวไว้กับเขาเพราะเธอกำลังจะตาย แต่จุงวอนไม่อยากผูกพันกับใครอีกแล้ว เขาจึงแค่ไปงานศพของเธอและเอาเงินให้กับจีวู (ปาร์คฮันบยุล) ลูกสาวของเธอ

จีวูบังเอิญไปพบรูปเก่าที่แม่ของเธอเก็บไว้อย่างดี ในนั้นมีภาพของจุงวอนอยู่ด้วย เธอจึงเข้าใจว่าเขาเป็นลูกชายของคนรักเก่าของแม่เธอ จีวูตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนแล้วเข้ามากรุงโซลเพื่อตามหาจุงวอน จีวูได้งานทำให้ร้านทำรอยสัก จุงวอนยอมให้เธอไปพักอยู่ที่บ้านชั่วคราวเพราะไม่อาจทนเห็นเธอระเหเร่ร่อนไปตามถนนได้ ในที่สุดจีวูก็ทลายน้ำแข็งที่ห่อหุ้มจิตใจของจุงวอนได้เช่นเดียวกับที่แม่ของเธอเคยทำ จุงวอนกับจีวูเริ่มผูกพันกันมากขึ้นถึงขั้นที่จุงวอนอยากจะบอกความจริงกับเธอว่าเขาเป็นอะไร แต่ยีฮวาจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้งั้นหรือ

ความรักของจุงวอนกับจีวูจะลงเอยเช่นไร จีวูจะยอมรับได้หรือไม่เมื่อรู้ว่าผู้ชายที่เธอรักเป็นแวมไพร์ที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเลือด แล้วยีฮวาที่เฝ้ารอคอยความรักของจุงวอนมานานหลายร้อยปีจะยอมหลีกทางให้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ ติดตามหาคำตอบเหล่านี้ได้ใน “Freeze”





Freeze ละครขนาดสั้นมากๆ ของลีซอจิน ถึงโทนหนังจะดูอึมครึมสมกับเป็นหนังแวมไพร์ แต่เนื้อหาก็พอดูได้เพลินๆ น่าจะถูกใจสำหรับคนที่ชอบเรื่องราวความรักต่างชนชั้น (ระหว่างคนกับแวมไพร์) แถมต่างวัยซะด้วยสิ (ดูไปดูมาเหมือนคุณชายลีหลอกเด็ก) ละครเรื่องนี้เน้นไปที่เรื่องราวความรักความสัมพันธ์ ไม่ใช่หนังสยองขวัญประเภทเลือดสาดหรือลุกขึ้นมากรี๊ดหวีดแตกอะไรแบบนั้น เพราะจะเห็นเลือดก็ตอนที่คุณแวมไพร์เอามาใส่ขวดไวน์ดื่มกันนั่นแหละ (ดูแล้วแหยงๆ ไม่กล้าดื่มไวน์ไปอีกนาน ร้านของคุณพี่จุงวอนอยู่แถวไหนนะ จะได้ไม่ไปอุดหนุน) ละครสื่อให้เห็นความคับแค้นใจของจุงวอนกับชะตากรรมที่เขาไม่ได้เลือก ถ้าเลือกได้เขาคงไม่อยากให้ยีฮวาช่วยเขาในวันนั้น เหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตของเขาหยุดนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง รวมทั้งหัวใจของเขาด้วย เพราะเขาไม่อาจรักใครได้ เขาจะต้องทนดูคนที่รัก แก่ เจ็บ และตายไปตามวัฏจักร ในขณะที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

มีคนพูดไว้ว่าความรักนั้นทำให้คนเรายอมทำทุกอย่าง และคงไม่มีข้อยกเว้นสำหรับแวมไพร์ นั่นคงเป็นสิ่งที่เกิดกับจุงวอนเมื่อเขาเริ่มรักจีวู มันทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป และมันก็ทำให้เขาอยากจบชีวิตตัวเองลง บางทีจุงวอนอาจรู้อยู่แล้วว่าจะจบชีวิตน่าขยะแขยง (อย่างที่จุงวอนคิดมาตลอด) นี้ยังไง แต่เขาไม่มีความกล้าพอ ความรักมอบความกล้านั้นให้แก่เขา (เห็นได้จากรอยยิ้มของเขาในตอนท้ายเรื่อง เหมือนเขาได้ปลดพันธนาการให้ตัวเองซะที) เช่นเดียวกับจีวูที่กล้าที่จะยอมรับในตัวของชายคนรัก (ว่าอีไม่ใช่คน ถึงแม้ตอนแรกน้องหนูจะเผ่นแน่บเพราะกลัวอีจะกระโดดกัดคอ) และกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขเพื่อผู้ชายที่เธอรัก นี่คงเป็นอีกบทหนึ่งของความรักที่มีพื้นฐานอยู่บนความแตกต่าง ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ได้รัก ดังเช่นจุงวอนที่สุดท้ายเขายังได้รู้จักกับความรัก...บางครั้งความรักก็นำพาความเจ็บปวดมาให้ แต่ในความเจ็บปวดนั้นก็มีความสุขอยู่ด้วย ผู้คนมากมายจึงยินดีที่จะเจ็บปวดเพราะความรัก...


Monday, 30 November 2009

Lee Seo-jin in "Lovers" - 2006

Lovers (연인, Yeon-in) is a 20 episodes drama series broadcast in 2006 by SBS. It stars Kim Jung Eun and Lee Seo-jin. The show is the final installment of famed SBS drama series that was shot in a European country. The first was Lovers in Paris, followed by Lovers in Prague.

Lovers เป็นละครความยาว 20 ตอนของค่าย SBS ออกอากาศในปี 2006 นำแสดงโดยคิมจุงอึนกับลีซอจิน ละครเรื่องนี้เป็นตอนสุดท้ายของละครชุด Lovers ที่โด่งดังของ SBS ซึ่งไปถ่ายทำในยุโรป เรื่องแรกก็คือ Lovers in Paris ตามมาด้วย Lovers in Prague.



Synopsis

Chang-bae, played by actor Kim Roe-ha, vents his anger on Kang-jae, played by actor Lee Seo-jin, after being reprimanded by President Kang. Chang-bae shows Yang-geum, played by actress Yang Geum-seok, a photo of Mi-ju, which leads to Yang-geum's decision to arrange a marriage between her son and Mi-ju. Yang-geum calls Se-yeon, played by actor Jung Chan, to meet Mi-ju on an arranged date. Se-yeon is not interested in meeting someone that his parents have picked out as his future wife so he sends a friend in his place instead. Meanwhile, Mi-ju gets angry with the rude friend that Se-yeon sent to meet her. In a fit of anger, she splashes wine all over Se-yeon's friend. Se-yeon begins to feel interested in Mi-ju as he watches her startling actions. Mi-ju barges into a Japanese restaurant to pick a fight with Kang-jae, who she mistakes for another man who got Jung-hwa pregnant and then dumped her. While roughly clutching Kang-jae's collar, a group of gang members wearing black suits emerge before her...


Mi-ju (actress Kim Jung-eun) is disturbed when she hears the sound of breaking glass from the home of her neighbor where Yu-jin (actress Kim Gyu-ri) lives. Yu-jin is arguing with her boyfriend and tells him that the flowers he sends and the expensive luxury car he bought for him are meaningless. When Yu-jin demands that Kang-jae settle down and live with her, he tells her that he can't. Minister Yoon is faced with problems when the orphanage shelter is seized. Kang-jae is filled with contempt when Mi-ju tell him to buy the land that the orphanage is sitting on. While Mi-ju keeps pressuring him to buy the land since he's rich, Kang-jae is knifed in the back by an unidentified assailant. Mi-ju is shocked to see Kang-jae bleeding and Sang-taek (actor Lee Ki-young) tells her to immediately treat Kang-jae's knife wounds because they won't be able to reach a hospital in time


Cast : Lee Seo-jin as Ha Kang Jae / Kim Jung Eun as Yoon Mi Joo / Jeong Chan as Kang Sae Yeon / Kim Gyoo-ri as Park Yu Jin



Kim Jung Eun as Yoon Mi Joo

Mi Joo is a plastic surgeon. She is a feisty happy-go-lucky character. Her father is a poor country pastor who runs an orphanage. She works to support her family. Her dream is to open a hospital of her own. By chance, she saves Kang Jae's life when he was stabbed in an attack. She finds herself slowly falling for Kang Jae.

"When I pick a role, it is more important for me to choose the people I am going to work with rather than the script. And I had no doubts that I wanted to work with (director) Shin Woo-chul and (scriptwriter) Kim Eun-sook again. I play a plastic surgeon. She’s a pragmatic and cheerful character. It’s a challenge portraying her but I’m enjoying it. It’s my first time working with Lee Seo-jin. He’s serious in his work, really tries his best and makes the filming environment fun. "

คิมจุงอึน แสดงเป็น ยุนมิจู

มิจูเป็นศัลยแพทย์ด้านเสริมความงาม พ่อของเธอเป็นบาทหลวงจนๆ ในชนบทที่เปิดสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอทำงานเพื่อจุนเจือครอบครัว ความฝันของเธอก็คือเปิดโรงพยาบาลของตนเอง เธอได้ช่วยชีวิตคังเจไว้โดยบังเอิญตอนที่เขาถูกแทง แล้วเธอก็เริ่มพบว่าตัวเองตกหลุมรักคังเจเข้าแล้ว

“เวลาที่ฉันเลือกบท การเลือกคนที่จะทำงานด้วยสำคัญสำหรับฉันมากกว่าสคริปต์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันอยากทำงานกับผู้กำกับชินวูชุล และคนเขียนบท คิมอึนซุก อีกครั้ง ฉันรับบทหมอศัลยกรรมพลาสติก เป็นบทที่ค่อนข้างร่าเริง มันท้าทายดีที่ได้แสดงบทนี้ แต่ฉันก็สนุกกับมัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันร่วมงานกับลีซอจิน เขาจริงจังในการทำงาน พยายามทำอย่างดีที่สุด แล้วก็ทำให้บรรยากาศในกองถ่ายสนุกสนาน”




Lee Seo Jin as Ha Kang Jae

Kang Jae is an orphan who was taken in by President Kang (a gangland boss) when he was sixteen. He rose through the ranks in President Kang's organization and is the trusted right-hand man of President Kang. He is a loyal servant and does not crave benefit for himself. As such, the other trusted lieutenants of President Kang are jealous of him and plot to bring about his downfall.

"I’ve wanted to work with Kim Jung-eun for a long time and now that I’ve got the chance, I’m grateful for it. She is always cheerful and happy. I enjoy working with her. In the series, I play a mafia leader who is tough on the outside but vulnerable. Whatever characters I play, there will be some points of resemblance between my character and personality in real life. Among friends, I’m tough but with my girlfriend, I’m more expressive. In the story, Kang-jae is a tough guy in the beginning but Mi-joo brings out the softness in him. "


ลีซอจิน แสดงเป็น ฮาคังเจ

คังเจเป็นเด็กกำพร้าที่ประธานคัง (เจ้าพ่อมาเฟีย) รับมาเลี้ยงตอนที่เขาอายุ 16 เขาไต่เต้าขึ้นมาในองค์กรจนได้กลายเป็นมือขวาของประธานคัง เขาเป็นลูกน้องที่ภักดีและไม่เคยคิดหาประโยชน์ใส่ตัวเอง แต่คนอื่นๆ ในแก๊งค์กลับอิจฉาเขาและหาทางจะโค่นเขาลงให้ได้

“ผมอยากร่วมงานกับคิมจุงอึนมานานแล้ว และตอนนี้ผมมีโอกาสนั้นแล้ว ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ เธอร่าเริงและมีความสุขอยู่เสมอ ผมสนุกที่ได้ทำงานกับเธอ ในละครผมรับบทหัวหน้ามาเฟีย ซึ่งภายนอกอาจดูโหดแต่จริงๆ แล้วภายในอ่อนแอ ไม่ว่าจะเล่นบทไหน มันจะมีบางจุดที่คล้ายคลึงกับตัวผมในชีวิตจริง ในกลุ่มเพื่อนๆ ผมอาจดูนิ่งๆ แต่กับแฟนของผม ผมจะแสดงความรู้สึกมากกว่านี้ ในละคร ตอนแรกคังเจก็เป็นคนห่ามๆ แต่มิจูได้ดึงเอาความอ่อนโยนในตัวเขาออกมา”



[Special Thanks to wikipedia.org / loveseojin.com]



MV from drama series "Lovers" (2006)

Sunday, 29 November 2009

[VOD] Yi San Special & LSJ speaking English

This is the special program for Yi San airing on MBC TV...




And as we all know, Lee Seo-jin graduated from U.S., so his English is so good...you can hear him from this clip video...^^

[Interview] Lee Seo-jin and his feeling as “Yi San”


Yi San is a 77 episodes South Korean historical drama airing on MBC. Yi San had a big success and ending up in MBC Acting Awards with "Top Excellence Acting Award" for Lee Seo-jin and "Best Actress" for Han Ji-min, nominated for also MBC Best Drama but lost to Legend (Korean TV series) 태왕사신기. The drama has bit another historical drama, The King and I (TV series) for its ratings and performances and is reaching very high in ratings, keeping 2nd and 3rd and on some nights, getting 1st.

“ลีซาน” เป็นละครประวัติศาสตร์ความยาว 77 ตอนของค่าย MBC และประสบความสำเร็จอย่างมากจนได้รับรางวัลหลายรางวัลในงาน MBC Awards ทั้งรางวัล "Top Excellence Acting Award" จากบทลีซานของ ลีซอจิน และรางวัล "Best Actress" จากบทซงยอนของ ฮันจีมิน ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล MBC Best Drama แต่น่าเสียดายที่ต้องพ่ายให้กับ Legend หรือ TWSSG (태왕사신기) ของผู้กำกับคิมจองฮัค


Here’s the interview that LSJ shared his feeling about his character of Yi San.
[source: daum.kr
credit:celine/seojin-jungeun.con@chinese translation, ?kz???@english translation, edited by zombie ]

นี่คือบทสัมภาษณ์ที่ลีซอจินพูดถึงบทบาท “ลีซาน” ของเขาเอาไว้ เป็นการสัมภาษณ์ ณ สถานที่ถ่ายทำตอนที่ละครใกล้ถึงบทอวสาน


MBC’s popular series Yi San aired epi.75 on June 3, now there are only two chapters left.

Ranking top firmly among other TV series, it has reached more than 30% of ratings. A super popular and occasionally criticized YS, how does it's lead actor feel about all these?

On June 5, afternoon, at MBC YS film site, I met with Lee Seo Jin, who plays the soul character of Yi San.

This site is the main shooting place and it will also be the site where its last scene ends.

With a haggard face and warm smile, LSJ started this interview by saying: Hope to finish filming soon and rest

Q: How do you feel about the ending?
A: The drama ending, comparing to my personal regrets, it is more regretful that King JJ died without having fulfilled his reform plans. We cannot change the history, but it is really a pity that the King’s death came much earlier than expected. Many historians also say that if he lived 10 years longer it could change the entire dynasty.

Q: The most impressive scene?
A: The time of filming was so long that many scenes couldn't be remembered. Therefore the hardest scene seem to be the most impressive.

Q: Which is the hardest scene?
A: Last week shooting of SY’s death. It was very tough because of the hot weather.
Earlier there were many action scenes which were also hardest. Last week there was again a murderer, at last YS survived like passing a gate of hell.


Q: Is there any parts you think interesting?
A: When YS was crown prince, he often slipped out of the palace. I found that very interesting.

Q: Any regretful part?
A: King JJ saw the deaths of the people close to him: grandfather, HGY, SY, whenever someone dies, I need to think well beforehand how to reveal his sorrow. But when “I” die no one feels sad for me. It would be more touching to have someone grieving together. History records that when King JJ died only the Queen was by his side. She watched him dying slowly, then walked outside to announce his death. She wasn’t sad at all!


Q: Since YS airing, do you feel your popularity is growing?
A: It is not my popularity but the drama itself. I have made a number of series. When a series becomes popular, people will be nice to us. YS is very popular, so when I eat outside many people will recognize me and treat me very nicely.

Q: This is your second historic series, any difference?
A: Big differences. Damo was a mini drama; it's filming time was short. Because there were lots of stories needed to be shown therefore we tried to present a story with great diversities within a very short time period. YS is a long series, so the love story cannot be presented as the main part. Only until the last episodes love story got to be described.


Q: Is there any changes to you since shooting YS?
A: I got to know many people. I have acted with more than 70 people. That seemed to have changed me a lot.

Q: What do you want to do after YS?
A: I feel really tired physically. And I can start the long awaited dating.

Q: You have said in On Air cameo, "I met a pretty person, I want to bring her home!"
A: That wasn’t a script written by me. I did as the script written without even changing a punctuation mark.

Lee Seo Jin said he felt severely exhausted after finishing filming on June 1st, so he checked himself directly into a hospital and stayed there overnight. He came back to the site from the hospital in the morning.

LSJ is putting all his energy into YS, which will extend one more episode. Epi.77 will be the final. What will it bring to the audience?


[Thai Translation by Ladymoon]

ละครยอดนิยมของค่าย MBC “ลีซาน” ออกอากาศไปถึงตอนที่ 75 แล้ว เหลืออีกเพียง 2 ตอนเท่านั้น ละครเรื่องนี้ติดอันดับท๊อปมาตลอด ได้เรตติ้งสูงกว่า 30%

บทบาทลีซานที่ได้รับคำชื่นชมมากมายนี้ ตัวผู้แสดงเองรู้สึกอย่างไรกับบทนี้บ้าง

ตอนบ่ายของวันที่ 5 มิ.ย. ที่กองถ่ายละครเรื่องลีซาน เราได้พบกับลีซอจินผู้สวมบทบาทลีซาน สถานที่นี้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลัก และใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสุดท้ายด้วย ด้วยใบหน้าที่อ่อนเพลียและรอยยิ้มอันอบอุ่น ลีซอจินเริ่มต้นบทสัมภาษณ์ด้วยการกล่าวว่า “หวังว่าจะปิดกล้องได้เร็วๆ นี้ ผมจะได้พักซะที”


Q: คุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับตอนจบของละคร
A: ตอนจบของละครเมื่อเทียบกับความรู้สึกส่วนตัวแล้ว มันน่าเสียดายมากที่พระเจ้าจองโจสวรรคตก่อนที่จะได้ทำสิ่งที่ตั้งพระทัยไว้ให้สัมฤทธิ์ผล เราเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไม่ได้ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ ที่กษัตริย์สวรรคตเร็วเกินไป นักประวัติศาสตร์ต่างพูดกันว่าถ้าทรงมีพระชนม์ชีพยืนนานกว่านั้นอีกสัก 10 ปีอาจพลิกโฉมหน้าของราชวงศ์ไปเลยก็เป็นได้

Q: มีฉากไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษบ้าง
A: เวลาที่ถ่ายทำมันนานมากครับ ทำให้ลืมหลายๆ ฉากไปเลย แต่ฉากที่ยากที่สุดน่าเป็นฉากที่น่าประทับใจที่สุด

Q: แล้วฉากไหนที่ยากที่สุด
A: สัปดาห์ก่อนเราถ่ายทำฉากที่ซงยอนตาย มันลำบากมากครับเพราะอากาศที่ร้อน ก่อนหน้านั้นก็มีฉากบู๊เยอะมากล้วนแต่ยากๆ ทั้งนั้น สัปดาห์ก่อนก็มีการลอบปลงพระชนม์อีก แต่ลีซานก็รอดมาได้เหมือนผ่านพ้นประตูสู่ขุมนรกมาได้

Q: มีตอนไหนบ้างที่คุณคิดว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ
A: ตอนที่ลีซานยังเป็นรัชทายาทครับ เขาชอบแอบหนีออกไปนอกวัง ผมพบว่าตอนนั้นน่าสนใจมากๆ

Q: มีตอนไหนที่รู้สึกสะเทือนใจเป็นพิเศษบ้าง
A: พระเจ้าจองโจทรงเห็นผู้คนใกล้ชิดตายจากไป ทั้งปู่ เลขาฮง ซงยอน เวลาที่มีใครสักคนต้องตาย ผมจะต้องคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะแสดงความเศร้าเสียใจนี้ยังไงดี แต่เมื่อ “ตัวผมเอง” ต้องตายบ้าง ไม่มีใครเสียใจกับผมเลย มันคงน่าซาบซึ้งใจกว่านี้ถ้ามีใครสักคนมาเสียใจไปกับเราด้วย ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ตอนที่พระเจ้าจองโจสวรรคต มีเพียงราชินีที่อยู่ข้างกายพระองค์ พระนางเฝ้ามองพระองค์หมดลมไปอย่างช้าๆ แล้วก็เดินออกไปประกาศการสวรรคต นางไม่มีท่าทีรู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย


Q: ตอนที่ลีซานเริ่มออกอากาศ คุณรู้สึกมั้ยว่าคุณเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น
A: ไม่ใช่ผมมีชื่อเสียงหรอกครับ แต่เป็นที่ละครมากกว่า ผมเล่นละครมาแล้วหลายเรื่อง เวลาที่ละครได้รับความนิยม ผู้คนก็จะปฏิบัติต่อเราอย่างดี ลีซานดังมาก เวลาที่ผมไปกินข้าวนอกบ้าน มีคนเยอะเลยที่จำผมได้แล้วก็จะคอยดูแลผมอย่างดี

Q: นี่เป็นละครประวัติศาสตร์เรื่องที่ 2 ของคุณ มีอะไรแตกต่างกันบ้าง
A: แตกต่างกันเยอะเลยครับ “ดาโม” เป็นละครขนาดสั้น เวลาถ่ายทำก็สั้นมากๆ เพราะมีเรื่องราวมากมายที่ต้องนำเสนอ เราจึงพยายามนำเสนอเรื่องราวที่หลากหลายภายในเวลาที่สั้นมากๆ แต่ “ลีซาน” เป็นละครยาว มีการนำเสนอเรื่องราวความรักไม่มากนัก มีเพียงตอนท้ายๆ ที่มีการนำเสนอเรื่องราวของความรัก


Q: มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างสำหรับคุณนับตั้งแต่เริ่มถ่ายทำ “ลีซาน”
A: ผมได้รู้จักคนมากมาย ผมได้ร่วมแสดงกับผู้คนมากกว่า 70 คน นั่นเปลี่ยนแปลงตัวผมไปเยอะเลยครับ

Q: คุณอยากทำอะไรหลังจากจบ “ลีซาน” แล้ว
A: ผมรู้สึกเหนื่อยมากๆ ผมจะได้พักยาวๆ อย่างที่รอมานานซะที

Q: คุณพูดไว้ตอนเป็นดารารับเชิญใน On Air ว่า “ผมได้พบคนสวยถูกใจแล้ว ผมอยากพาเธอเข้าบ้าน”
A: ผมไม่ได้เขียนสคริปต์เองนี่ครับ ผมพูดตามสคริปต์ที่เขียนไว้แบบไม่ตกหล่นเลยสักคำเดียว

ลีซอจินบอกว่าเขารู้สึกเหนื่อยมากๆ หลังจากเสร็จการถ่ายทำเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. เขาจึงตรงไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายและนอนพักที่นั่น เขาออกจากโรงพยาบาลกลับมาเข้าฉากในเช้าวันรุ่งขึ้น


[Special Thanks to loveseojin.com]

Saturday, 28 November 2009

[News] Lee Seo-jin in Japan


From JAPAN OFFICIAL FAN CLUB
11/27/2009

translation by leegirl / loveseojin.com

Lee Seo-jin is a cosmetic "COLOR PINK MAGIC BB cream"

Now the exclusive model. All models get a performance fee Campaign to send a tree to go in and desertification in Mongolia and the Amazon "Let'sTree". Shall be donated in the environment, Lee Seo-jin's decided this proposal.

Event will be held as follows;

Japan-Korea joint press conference
* Date: November 26, 2009 (Thu) 11:00
Place: Special Event Venue in Ikebukuro Seibu Department Store

Lee So jin fans Committee meeting and shaking hands
* Date: November 27, 2009 (Fri) 11:00
Place: Special Event Venue in Ikebukuro Seibu Department Store



ลีซอจินกับเครื่องสำอาง “Color Pink Magic BB Cream”

เป็นโครงการเพื่อการกุศลอีกงานที่ลีซอจินมีส่วนร่วมในแคมเปญปลูกป่าในมองโกเลียและอเมซอน โดยลีซอจินไปร่วมงานแถลงข่าวในวันที่ 26 พ.ย. 2009 ซึ่งงานี้มีแค่สื่อมวลชนที่ได้เข้าร่วมงาน และปรากฏตัวเพื่อพบปะกับแฟนๆ (แน่นอนที่แฟนๆ ที่มีโอกาสนี้ต้องซื้อสินค้าก่อนนะคะ) ในวันที่ 27 พ.ย. 2009 ทั้งสองงานจัดขึ้นที่ ห้างสรรพสินค้าอิเคบุคุโระ เซบุ

[Special Thanks to loveseojin.com / pantip.com]

Lee Seo-jin in his new drama – Soul (2009) / 혼


Hon (혼) or Soul is 10 episodes korean drama series airing in 2009, starring by Lim Joo-eun and Lee Seo-jin, directing by Oh Gyeong-hun, Kim Sang-ho, and Kang Dae-seon. It’s MBC horror drama series and the come back of Lee Seo-jin after his long rest since wrap up “Yi San”

Soul เป็นละครความยาว 10 ตอนจบที่ออกอากาศในปี 2009 นำแสดงโดย ลิมจูอึนกับลีซอจิน กำกับโดย โอเกียงฮุน คิมซังโฮ และคังแดซอน เป็นละครสยองขวัญของค่าย MBC และเป็นการกลับคืนสู่จอของลีซอจินหลังจากที่หายหน้าไปนานตั้งแต่จบละครเรื่อง “ลีซาน”

Synopsis : A naive and lively high school girl... becomes possessed!

A high school girl, named Hana, discovers her special ability after her sister's wrongful death. She sees ghosts, hears their stories, and even becomes possessed by them to exert extraordinary strength...

Shin Ryu, a criminal psychologist who abhors vice, gets to know Hana and treats her with kindness. As he gains Hana's trust, she begins to fall in love...

When Shin Ryu finds out about Hana's special ability, he begins using her to punish criminals. Then, he plans a scheme to crush Baek Do-sik, a lawyer who defended the murderer of Ryu's mother and sister.

[http://%22http//content.mbc.co.kr/english/drama/09/1746571_31154.html%22]


เด็กสาวมัธยมชื่อฮานะ (ลิมจูอึน) ค้นพบความสามารถพิเศษของเธอหลังการตายของพี่สาวของเธอ เธอมองเห็นผี ได้ยินเรื่องราวที่พวกเขาบอกเล่า แถมยังให้พวกเขาเข้าสิงร่าง เมื่อถูกสิงเธอจะมีพละกำลังมากเป็นพิเศษ...

ชินริว นักจิตวิทยาอาชญากรรม (ลีซอจิน) ผู้ชิงชังความชั่วร้าย เขาได้รู้จักกับฮานะและคอยดูแลเธอด้วยความเอื้ออารี จนกระทั่งฮานะไว้ใจเขาแล้วก็ตกหลุมรักเขา...

เมื่อชินริวค้นพบความสามารถพิเศษของฮานะ เขาเริ่มใช้เธอเพื่อลงโทษบรรดาคนชั่วที่ทำความผิด แล้วเขาก็วางแผนจะเล่นงานเบ๊กดูซิก ทนายความที่คอยปกป้องฆาตกรที่ฆ่าแม่กับน้องสาวของเขา


Yoon Hana / actress: Lim, Joo-Eun

A bright and righteous high school girl with exceptional Taekwondo skills. She always protects her beloved twin sister, who has a slight limp. When her sister dies, Hana gains a special ability; she can see and become possessed by ghosts. Once she becomes possessed, she exerts monstrous strength... Due to Shin Ryu's warmhearted care for Hana, she falls in love with him. However, he begins to use her possessed being to punish criminals. She begins to doubt whether she is doing the right thing.

ยุนฮานะ / แสดงโดย ลิมจูอึน

เด็กสาวมัธยมที่ร่าเริงและมีคุณธรรม มีความสามารถพิเศษด้านเทควันโด เธอมักจะคอยปกป้องพี่สาวฝาแฝดของเธอ เมื่อพี่สาวของเธอตายไป ฮานะจึงได้รับรู้ว่าเธอมีความสามารถพิเศษ เธอมองเห็นผี และให้ผีสิงร่างได้ เมื่อเธอถูกสิงร่างจะมีพละกำลังมหาศาล เพราะความอบอุ่นของชินริวที่คอยดูแลห่วงใยฮานะ เธอจึงตกหลุมรักเขา แต่เขาเริ่มใช้เธอเพื่อลงโทษบรรดาคนชั่วที่ทำความผิด จนเธอเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เธอทำอยู่นั้นมันถูกต้องหรือเปล่า


Shin Ryu / Actor: Lee Seo-Jin

An incredibly gifted criminal profiler. With exceptional intuition and irresistible charisma, he immediately penetrates the minds of criminals. He lost his mother and sister in a horrifying incident at a young age, but the criminal was acquitted due to Baek Do-sik's legal defence. Since then, Ryu has been determined to revenge on vice. When he finds out about Hana's special ability, he begins to use her power to murder criminals. Soon enough, he sees an opportunity to revenge on Baek Do-sik.


ชินริว / แสดงโดย ลีซอจิน

นักพฤติกรรมอาชญากรผู้มีพรสวรรค์ บวกกับเสน่ห์เฉพาะตัวที่เกินจะต้านทาน ทำให้เขาสามารถหยั่งถึงจิตใจของอาชญากร เขาสูญเสียแม่และน้องสาวไปในเหตุการณ์น่ากลัวตั้งแต่เขายังเด็ก แต่คนร้ายยังคงลอยนวลอยู่เพราะมีเบ๊กดูซิกคอยใช้ข้อกฏหมายคุ้มครองคนร้ายไว้ ตั้งแต่นั้นมาริวจึงได้มุ่งมั่นที่จะทำลายล้างพวกคนชั่วให้สิ้นซาก เมื่อเขาค้นพบความสามารถพิเศษของฮานะ เขาจึงเริ่มใช้พลังของเธอในการสังหารพวกอาชญากร ต่อมาเขาจึงมองเห็นโอกาสที่จะแก้แค้นเบ๊กดูซิก


SoulClose-up posters for Lee Seo-jin and Lim Ju-eun
[http://www.mbc24tv.com/?document_srl=7473]

Teaser posters were revealed for MBC's upcoming summer special drama Soul (script by In Eun-ah & Go Eun-nim, directed by Kim Sang-ho & Kang Dae-seon), airing on August 5. The two posters revealed on the 28th are close-ups of the leads Lee Seo-jin and Im Ju-eun, their eyes alone portraying the horror.

With a dark, red background and the title dripping with what looks like blood, the poster revealed the main tagline, "Summer of 2009, the horror within me rears its head." The tagline goes well with the halved faces, emphasizing that this is a summer horror drama already in its own class.

Lee Seo-jin shows the strength in his eyes and has tightly closed lips, portraying well the character of Shin Ryu, 'the man who immerses himself in evil in order to fight for the good.' As for Im Ju-eun, the director Kim Sang-ho had previously commented that 'her brown eyes have a peculiar charm'. Her widened, frightened eyes heighten the level of fear.

MBC's return to a summer horror drama after 14 years is the 10-part miniseries Soul. It's about an unfair death binding the dead girl's soul to her sister, and about a criminal profiler who uses the now supernatural girl to fight evil - only to become the demon he once despised. A teaser was recently released with the title track sung by Yangpa, "Ryeong-hon" (Soul). Also, Im Ju-eun's possessed acting in the teaser drew much attention from the viewers.

Soul is gaining a lot of attention for starring Lee Seo-jin as the profiler who eventually goes evil, Im Ju-eun, Lee Jin, Park Geon-il and Ji-yeon of the singing group T-ara. Amidst the sweltering heat and the monsoon season, Lee Seo-jin says, "It's not easy filming after a period of rest, but I'm doing my best. I hope Soul becomes critically acclaimed and is remembered by the viewers for a long time." Im Ju-eun, having won the lead role by beating out 1058 competitors, is constantly receiving small injuries on set but is okay with it. She says, "I have so much energy whenever I come onto the set."

[Soul] will first air on August 5th.


ในโปสเตอร์เป็นพื้นหลังสีแดงเข้ม มีตัวหนังสือที่ดูเหมือนหยดเลือด ภาพของลีซอจินแสดงถึงดวงตาที่แข็งกร้าว ริมฝีปากที่เม้มสนิท แสดงถึงตัวตนของชินริว “ชายผู้ถลำสู่ความชั่วร้ายเพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม” สำหรับลิมจูอึน ผู้กำกับคิมบอกว่า “ดวงตาสีน้ำตาลของเธอมีเสน่ห์เฉพาะตัว” ดวงตาที่เบิกโพลงของเธอแสดงถึงความหวาดกลัว

MBC หันมาทำละครสยองขวัญอีกครั้งหลังจากห่างหายไปถึง 14 ปี Soul เป็นเรื่องราวของความตายที่ไม่ได้รับความยุติธรรมซึ่งผูกพันดวงวิญญาณของเด็กสาวที่ตายไปกับน้องสาวของเธอ และ นักพฤติกรรมอาชญากรที่ใช้พลังพิเศษของเด็กสาวในการต่อสู้กับความชั่วร้าย จนตัวเองต้องกลับกลายเป็นปีศาจร้ายที่ตัวเองเคยชิงชังนักหนา

ลีซอจินกล่าวถึงการถ่ายทำละครเรื่องนี้ไว้ว่า “มันไม่ง่ายเลยที่จะกลับมาเล่นละครอีกหลังจากหยุดพักไปนาน แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมหวังว่า Soul จะประสบความสำเร็จและเป็นที่จดจำของผู้ชมไปอีกนาน” ลิมจูอึนต้องฝ่าฟันกับคู่แข่งถึง 1,058 คนกว่าจะได้บทนี้มาครอง แถมยังได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ตลอดการถ่ายทำ แต่เธอกล่าวว่า “ฉันมีพลังฮึดมากมายเลยค่ะเวลาที่เข้าฉาก”

Soul เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2009


[Special Thanks to loveseojin.com]

Thursday, 26 November 2009

About Lee Seo-jin / 이서진



Name : Lee Seo Jin @ Lee Suh Jin

Date of birth : 30/1/1973

Marital status : Single

Blood group : A

Weight : 68kg

Height : 178cm

Left dimple size : 2.5cm in length, 0.8cm in width, 0.4cm in depth

Family members : Mother, one older brother and one older sister.

Education level : New York University, majored in Business Management.

Military Service : Served prior to his debut in showbiz

Interest : Movies, computers, rock / mountain climbing

Actor aspired to follow : Jo Jae Hyun

Best friend in showbiz : Yoon Tae Young

Respected sonbae (senior) in showbiz : Cha In Pyo



ชื่อ : ลีซอจิน (อีซอจิน / 이서진)

วันเกิด : 30 ม.ค. พ.ศ. 2516 (1973)

สถานภาพสมรส : โสด

กรุ๊ปเลือด : A

น้ำหนัก : 68 ก.ก.

ส่วนสูง : 178 ซ.ม.

สมาชิกในครอบครัว : แม่, พี่ชายและพี่สาว (คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว เมื่อปี 2005)

การศึกษา : มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค (New York University's Leonard N. Stern School of Business) วิชาเอก บริหารธุรกิจ

การเกณฑ์ทหาร : ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วก่อนเข้าวงการ

ความสนใจ : ภาพยนตร์, คอมพิวเตอร์, ปีนเขา

นักแสดงในดวงใจ : โจแจฮยุน (ดารารุ่นพี่ (เก๋ามาก) ที่เล่นเรื่อง Damo ด้วยกัน)

เพื่อนที่สนิทในวงการ : ยุนแทยัง (คุณพี่ยอนโฮเกจากเรื่อง The Legend เคยร่วมงานกับลีซอจินในเรื่อง Wang Cho คุณพี่คนนี้เป็นลูกชายรองประธานบริษัทซัมซุง และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์)

รุ่นพี่ในวงการที่เคารพนับถือเป็นพิเศษ : ชาอินพโย (ดารารุ่นเก๋าอีกคนที่เป็นนักร้องด้วย เคยร่วมงานกับลีซอจินในเรื่อง Wang Cho เช่นกัน คุณพี่คนนี้เล่น White Tower ด้วย)





NEW YORK UNIVERSITY STERN SCHOOL WHERE LSJ FINISH HIS COLLEGE

New York University's Leonard N. Stern School of Business is one of the nation's premier management education schools and research centers. From its Greenwich Village campus in the heart of New York City, NYU Stern offers a broad portfolio of academic programs at the graduate and undergraduate levels, all of them informed and enriched by the dynamism, energy and resources of the world's business capital.


"One of the things that impressed me most about Stern was a class I attended as a prospective student. I noticed how interactive it was in the sense that the students weren't afraid to challenge the professor and engage in dialogue. That stimulated me. It was the sort of environment that would really push the boundaries of my knowledge. I didn't get that same sense in the other schools I was considering."





Filmography

HIS SHOWBIZ DEBUT WAS JANUARY 6, 1999 IN THE DRAMA “HOUSE ABOVE THE WAVES”

Drama Series
* Hon/Soul (MBC, 2009)
* On Air (SBS, 2008, cameo)
* Yi San - King Jeongjo (MBC, 2007-2008)
* Lovers (SBS, 2006)
* Freeze (CGV, 2006)
* The Phoenix (MBC, 2004)
* Damo (MBC, 2003)
* Shoot for the Star (SBS, 2002)
* Since We Met (MBC, 2002)
* Her House (MBC, 2001)
* KBS Kindhearted man Li Yung Yu (2001.10)
* MBC Non Stop Jji go ddo Jji go(2001.11)
* Wang Cho (MBC, 1999)
* House above the waves (SBS, 1999) - debut


Movies
* Shadowless Sword (2005)
* I Love You (2001)
* Ghost Taxi (2000)

Awards
•2006 SBS Acting Award: Popularity Award
•2006 SBS Acting Award: Top 10 Popularity Award (chosen by fans)
•2004 MBC Drama Award: Best Couple with Lee Eun Joo in Phoenix
•2003 MBC Drama Award: Outstanding Performance
•2003 MBC Drama Award: Best Couple with Ha Ji Won in Damo
•2001 MBC Drama Award: New Face Actor


Official Website (korean) : www.seojinlee.com

English Fan Site : loveseojin.com


[Source : loveseojin.com / Dramawiki – 26/11/2009]

Wednesday, 25 November 2009

Lee Seo-jin and the work project in Thailand

[VOD] Documentary Lee Seo-jin & the work project in Chaingmai (2009)





ขอยกเรื่องราวของลีซอจินที่มาร่วมโครงการสร้างบ้าน 82 หลัง ในโครงการบ้านเพื่อมนุษยชาติของจิมมี่-โรสลิน คาร์เตอร์ มาไว้ตรงนี้นะคะ พร้อมภาพอิริยาบทน่ารักๆ ของคุณชายลีระหว่างทำงานด้วยค่ะ ดูท่าทางจะมีความสุขเอามากๆ กับการเป็นกรรมกรจำเป็น ต้องขอขอบคุณน้องๆ แฟนคลับของคุณชายลีในพันทิพย์ดอทคอมที่สู้อุตส่าห์เข้าไปร่วมโครงการนี้ (ไปแบกอิฐถือปูนกับเขาด้วย)เพื่อเก็บภาพเหล่านี้มาฝากค่ะ

ในที่สุด โครงการ “จิมมี่ - โรสลิน คาร์เตอร์ สร้างบ้าน” ลุ่มน้ำโขง 2552 ในประเทศไทยก็สำเร็จลงด้วยดี มีคนไทยอีก 82 ครอบครัวที่จะได้มีบ้านอันอบอุ่นไว้หลบลมหนาวที่กำลังคืบคลานเข้ามา ต้องขอขอบคุณอาสาสมัครทุกท่านจากทั่วโลกที่มาช่วยกันสร้างกุศลครั้งใหญ่นี้ ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจที่ได้เห็นผู้คนต่างชาติต่างภาษามารวมตัวกันนับพันคนเพื่อสร้างบ้านให้กับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทุกคนยอมสละเวลาอันมีค่าของตนเอง ยอมทนตากแดดร้อนเปรี้ยง (ของเมืองไทย) ทำงานก่อสร้างกันแบบไม่กลัวเหนื่อย (เพราะมีทั้งดารา อย่างเจ็ท ลี, ลีซอจิน อดีตนักการเมืองอย่างจิมมี่ คาร์เตอร์ หรือแม้แต่คนดังอย่างลูกสาวของประธานาธิบดีอาควิโน่) เป็นการทำกุศลแบบไม่หวังผลตอบแทนจริงๆ เพราะงานนี้ไม่มีค่าแรงจ่ายให้ แถมอาสาสมัครยังต้องควักกระเป๋าเพื่อเข้าร่วมโครงการอีกด้วย และบางคนยังมาเสียตังค์ซื้อข้าวของที่โครงการทำขายหน้างานกันอีก อย่างเช่นคุณชายลี (ลีซอจิน) ที่เสียตังค์ซื้อเสื้อยืดไปอีกหลายตัว (โครงการมีแจกให้คนละ 2 ตัวอยู่แล้ว) งานนี้เหนื่อยกายแถมเสียตังค์ แต่ก็สุขใจกันถ้วนหน้าทั้งผู้ให้และผู้รับ

(อ่านเพิ่มเติมและชมคลิปข่าวลีซอจินกับโครงการนี้ได้ที่ http://www.it-habitatthailand.org/index.php/video-/179-qq-)



มาทำความรู้จักกับโครงการนี้เพิ่มกันอีกสักนิดนะคะ โครงการ “จิมมี่ – โรสลิน คาร์เตอร์ สร้างบ้าน” ซึ่งได้จัดขึ้นในประเทศต่างๆเรื่อยมาและจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 26 ในปี พ.ศ. 2552 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จสูงสุดขององค์การที่อยู่อาศัยฯ ในการสร้างกระแสการรับรู้ การสร้างชุมชน และการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนมากมาย ซึ่งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จิมมี่ คาร์เตอร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และนางโรสลิน ภริยา เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับองค์การที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 โดยการนำทีมอาสาสมัครเดินทางไปนครนิวยอร์ก เพื่อบูรณะตึก 6 ชั้น ให้กับ 19 ครอบครัวเหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงเป็นเสมือนการเพาะเมล็ดแรกเริ่มทำให้เกิดเป็นโครงการคาร์เตอร์ สร้างบ้าน ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลกนับจากนั้นเป็นต้นมา

ทุกปี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จิมมี่ คาร์เตอร์ และ ภริยา จะอุทิศเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อร่วมสร้างบ้าน และสร้างกระแสการรับรู้ถึงความสำคัญและความจำเป็นในการจัดหาที่อยู่อาศัย

โครงการ “จิมมี่ - โรสลิน คาร์เตอร์ สร้างบ้าน” ลุ่มน้ำโขง 2552 นี้ จะดำเนินโครงการ ในระยะเวลา 5 ปี อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง โดยผ่านองค์การที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติ และจะช่วยยกฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวนับพันครอบครัว ให้พ้นจากความยากจน ตลอดจนสร้างกระแสให้คนในสังคมตื่นตัวร่วมเป็นอาสาสมัคร ร่วมสร้างบ้าน ทั้งยังเสริมสร้างความแข็งแรงให้เกิดขึ้นแก่ครอบครัว และชุมชน ต่อไป โดยการย้ายครอบครัวออกจากแหล่งเสื่อมโทรม พัฒนาระบบน้ำดื่ม น้ำใช้ และระบบสุขอนามัย จัดเตรียมแหล่งเงินเชื่อรายย่อย เพิ่มศักยภาพของการใช้ชีวิตที่ดี และทำให้ครอบครัวนับพันครอบครัว เดินหน้าไปสู่ความสว่างและมั่นคงยิ่งขึ้นในอนาคต

ท่านก็สามารถมีส่วนร่วมกับโครงการดีๆ แบบนี้ได้ โดยเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.it-habitatthailand.org/



(News) Update Jimmy & Rosalynn Carter Work Project


Jimmy & Rosalynn Carter Work Project 2009 : Chiang Mai, Thailand


Finally, the last day is coming! The final day of building at this year’s Carter Work Project was exhausting, emotional and rewarding, as volunteers hurried to finish construction and honor the 82 homeowner families with individual house dedication ceremonies. The presence of dozens of homeowners’ children (allowed on site for this special occasion) was a joyful reminder that it is all about the families. “Their hopes and dreams now have a chance to flourish,” said Habitat for Humanity Thailand president Chainarong Monthienvichienchai.

Know more about this project at : http://www.habitat.org/jcwp/2009/thailand/


Habitat for Humanity announced today that its annual Jimmy and Rosalynn Carter Work Project would be coming to Thailand for the first time since its inception in 1984 as a result of its continuing quest to address poverty housing in the Asia-Pacific region. The Jimmy and Rosalynn Carter Work Project event takes place in a different location every year, and has so far provided homes for over 10,000 people in the US, Canada, Mexico, Hungary, South Africa, South Korea, the Philippines and India.

A site at Moo Baan Nong Kan Kru in Chiang Mai, the northern capital of Thailand, has been chosen for the project’s “Mekong Build” initiative, and will serve as the main host and anchor to a five-country event with additional builds taking place in Cambodia, Vietnam, Laos and the Yunnan Province of China. The “Mekong Build” is a 3-year campaign that will enable thousands of needy families in the Mekong region to have decent shelter.

Former US President and Nobel Peace Prize laureate Jimmy Carter and his wife, Rosalynn, joined the Chiang Mai local community, international celebrities and approximately a total of 3,000 volunteers from Thailand and around the world to build 82 homes to commemorate HM the King’s 82nd birthday, which will fall on December 5th. The houses will serve as decent homes for 82 low-income families in the North of Thailand.


“Thailand’s National Housing Authority estimates that about 300,000 families or nearly 8.2 million people live in sub-standard housing. This means their homes are made of flimsy materials, they lack adequate shelter from the rain and sun, they have no proper water and sanitation facilities and they cannot protect themselves from intruders. This affects their health, their children’s education and their abilities to earn a living and improve their quality of life”, revealed Dr. Chainarong Monthienvichienchai, Chairman of Habitat for Humanity Thailand.

As with every other Carter Work Project, the event during November 15 – 20, 2009 is expected to bring more attention to the problem of poverty housing in not only Thailand, but also in the region with the hope that it will serve as a catalyst in influencing more individuals and donors to want to take action in building more homes for the less fortunate.

The registration fee to participate as a building volunteer during the event is US$1,700 for international volunteers and US$1,000 for Thai citizens. This includes accommodation, transportation within Chiang Mai and all meals during the 5-day building event. It also includes a donation to the local program to continue to build more houses in partnership with families in need. The fee for Thai citizens living in Chiang Mai not requiring accommodation will be less. Apart from becoming a build volunteer, anyone can participate in this effort by any amount of donation in cash or kind. And volunteers to assist with logistics and translation to welcome and support the international volunteers are warmly welcomed.

Habitat for Humanity is a non-profit organization, which aims to build homes in partnership with families in need and raise local and global awareness of the issue of poverty housing, working with individual and corporate donors who share the same vision. To date, Habitat has built and rehabilitated more than 300,000 homes. More than one-and-a-half million people live in Habitat homes they helped build and are buying through no-profit mortgages.


And read more news about Lee Seo-jin & the project at :
http://www.it-habitatthailand.org/index.php/video-/179-qq-















Tuesday, 7 July 2009

Jeong Seon Arirang (정선 아리랑) / จองซอน อารีรัง บทเพลงแห่ง "การจากพราก"


Dear Family,

Our family send e-mail to me yesterday. She ask me... Why you opened Arirang Song ?.And she wanted me to explain about Arirang's history...OK...I just explain now...

This song that you hear from yesterday ...on Today is Arirang Paino instrument by Jun Su Yeon Korean's Panist...It's so sad because this music about Jeong Seon Arirang...or Arirang Bypass at Gangwondo. This way was abandon and separated Korean people to North Korea and South Korea...

Here is a beautiful song by one of South Korea's most renowned traditional singers, the gorgeous Kim Young-im. This song is a South Korean local version of the song Arirang, probably the most famous and popular Korean folk song with many versions (this one has been sung in Jeongseon County for more than 600 years). Arirang is an ancient native Korean word with no direct modern meaning.

"Ari" meaning "beautiful" and "Rang" meaning "dear". Because of those words, Arirang could be interpreted to mean "beautiful dear". Arirang is a mountain in Korea. The song performed here comes from the beautiful Korean film "Bom yeoreum gaeul gyeoul geurigo bom" ("Spring, Summer, Fall, Winter... and Spring") from 2004. Listen to the incredibly powerful voice of Kim Young Im and enjoy the beauty of Korean music and culture...

Have a good day !!!

Roytavan



อารีรัง (아리랑): Arirang

อารีรัง (아리랑) : Arirang บทเพลงอันเป็นตัวแทนของประชาชนชาวเกาหลีทั้ง 2 ประเทศ "อารีรัง" เป็นเพลงที่ร้องกันมาแต่สมัยโบราณ และถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวเกาหลี เมื่อใดก็ตามที่มีกิจกรรมร่วมระหว่างประชาชนชาวเกาหลีใต้และประชาชนชาวเกาหลีเหนือ ...เพลงอารีรัง...จะถูกนำขึ้นมาร้องทุกครั้งไป โดยถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติร่วมกันและที่สำคัญจะไม่มีการร้องเพลงชาติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นั่นเป็นการสื่อถึงความหมายการเป็นชนชาติเดียวกัน หากแต่ต้องตัดขาดความเป็นญาติพี่น้อง เพียงเพราะอุดมการณ์ความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน บนเส้นทางถนนซึ่งพาดผ่านช่องแคบภูเขาทอดยาวคดเคี้ยวคู่ขนานไปกับแม่น้ำดองกังแห่งยองวอล ...ทิวทัศน์ที่สวยสดงดงามประดุจสายรุ้งที่ทอดยาวสู่สรวงสวรรค์ของเมืองกังวอนนั้น... กลับกลายเป็นเส้นทางแห่งความเศร้า...สุดแสนพรรณา... เมื่อสิ้นสุดสงครามภายในประเทศเกาหลี เส้นทางประวัติศาสตร์ที่เรารู้จักกันในนาม "Arirang Bypass" กลายเป็นถนนแห่งการพลัดพลาดของญาติพี่น้อง ครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รัก...และสุดท้ายกลายเป็นที่มาของบทเพลง อารีรัง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง




ความหมายของคำว่า อารีรัง (เกาหลี: 아리랑)

อารีรัง เป็นคำโบราณ มีความหมาย คือ สุดที่รัก หรือ ที่รักฉันคิดถึงเธอ เนื่องจาก คำว่า อารี (아리 - Ari) แปลว่า สวยงาม หรือแปลว่า คิดถึง ส่วนคำว่า รัง (랑 - Rang) หมายถึง ที่รัก


อารีรัง (Arirang : 아리랑)

อารีรัง (เกาหลี: 아리랑) เป็นเพลงพื้นบ้านเกาหลีที่รู้จักกันดีที่สุด ทั้งภายในประเทศเกาหลีและต่างประเทศ โดยเนื้อหาของเพลงนั้น จะเกี่ยวกับการเดินทางผ่านช่องแคบแนวเขา และมักจะเกี่ยวกับการจากลาจากคนรัก หรือสงคราม


รูปแบบของเพลงอารีรัง

เพลงอารีรังมีมากมายหลายรูปแบบ ซึ่งมากกว่า 1,000 แบบ แต่สามารถจำแนกกลุ่มออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้โดย ขึ้นอยู่กับเนื้อร้อง สร้อย ทำนองโดยรวม ฯลฯ ชื่อเพลงของอารีรังในแต่ละท้องถิ่น โดยอาจจะใช้ชื่อสถานที่หรืออาจใช้ชื่อสำคัญต่าง ๆมานำหน้าและต่อท้ายด้วยคำว่า อารีรัง...

เพลงอารีรังต้นฉบับดั้งเดิมนั้นคือ จองซอน อารีรัง เป็นเพลงท้องถิ่นโบราณนานกว่า 600 ปีแล้ว แต่บ้างก็กล่าวว่าเกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ.1545 ส่วนอีกเพลง อารีรัง ที่รู้จักกันทั่วโลกนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นในเกิดช่วงหลังสงครามเกาหลีซึ่งนับได้ว่าค่อนข้างใหม่ เพลงนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ตั้งแต่ได้ถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องอารีรัง (1926) บางครั้งเพลงนี้ถูกเรียกว่า บอนโจอารีรัง (อารีรังมาตรฐาน), ซินอารีรัง (อารีรังใหม่), อารีรัง หรือ กยองกีอารีรัง (เนื่องจากมีต้นกำเนิดจากกรุงโซล ซึ่งเคยอยู่ในเขตจังหวัดกยองกี)

เพลงพื้นบ้าน"อารีรัง" แบบอื่น ๆ ที่มีประวัติยาวนาน ได้แก่

- จองซอนอารีรัง จากอำเภอจองซอน จังหวัดกังวอน
- จินโดอารีรัง จากอำเภอจินโด ในจังหวัดจอลลาใต้
- มีเรียงอารีรัง จากมีเรียง ในจังหวัดกยองซังใต้
- ปัลโดอารีรัง เป็นเพลงอารีรังที่รวมลักษณะต่าง ๆ ของเพลงอารีรังจากทุกท้องถิ่นเข้าด้วยกัน จึงเรียกว่าปัลโดอารีรัง
ซึ่งปัลโด แปลว่า 8 (เกาหลีโบราณทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 8 เมือง)

สร้อยเพลงอารีรัง

ท่อนที่ 1

아리랑, 아리랑, 아라리요...
아리랑 고개로 넘어간다.
나를 버리고 가시는 님은
십리도 못가서 발병난다.

Arirang, Arirang, Arariyo...
Arirang gogaero neomeoganda.
Nareul beorigo gasineun nimeun
Simnido motgaseo balbyeongnanda.

สุดที่รัก ฉันคงคิดถึงเธอมากเหลือเกิน
สุดที่รัก ข้ามภูเขาไปแล้ว...
เธอทิ้งฉันไว้ที่นี่ เพียงลำพัง
เธออาจจะเป็นอะไรไหม ? ก่อนที่เธอจะถึงจุดหมาย...

ท่อนที่ 2

청청하늘엔 별도 많고
우리네 가슴엔 꿈도 많다

Cheongcheonghaneuren byeoldo manko
Urine gaseumen kkumdo manta

เช่นเดียวกับดาวมากมายในท้องฟ้า,
หัวใจฉันก็มีความเศร้าโศกมากมายเช่นกัน

ท่อนที่ 3

저기 저 산이 백두산이라지
동지 섣달에도 꽃만 핀다

Jeogi jeo sani Baekdusaniraji
Dongji seotdaredo kkonman pinda

ภูเขาลูกนั้นคือภูเขาแบคตูซัน,
ที่ซึ่งมีดอกไม้ผลิบาน แม้ในวันสุดท้ายของฤดูหนาว



Korean traditional Song Jeong Seon Arirang : Kim Young-im




정선아리랑

강원도 정선 지방의 노래이다. 정선아리랑 가운데는 말을 촘촘히 엮은 엮음아리랑과 엮지 않은 아리랑이 있는데 여기 실은 것은 엮지 않은 것이다.
정선아리랑에 관한 유래전설은 여러 가지가 있다. 첫째는 고려왕조를 섬기던 선비들이 송도에서 은신하면서 지난날 모시던 임금을 사모하고 충절을 맹세하며 가족과 고향에 대한 그리움을 읊은 노래라는 설이 있다.

둘째 기원은 1545(명종1년)을 전후하여 뜻있는 선비들이 난을 피해 낙향하여 과거를 회상하며 읊은 것이 정선아리랑 가락으로 불려지게 되었다고 한다.
셋째는 옛날 정선골에 아직 철이 들지 않은 10살된 신랑에게 시집간 20살 색시가 자살을 결심하고 강가로 나갔다가 물레방아가 빙글빙글 돌고 있는 것을 보고 세월도 물레방아처럼 돌고 돌아 신랑도 자랄 때가 있으리라 깨닫게 되어 집으로 되돌아가면서 부른 노래라는 설도 있다.
정선아리랑이 전국에 퍼진 것은 고종 2년 대원군이 경복궁을 중수하기 위하여 전국에서 장정을 끌어다 부역을 시켰을 때 태백산 나무를 나르던 정선 사람들이 불러 퍼지게 되었다고 전한다.


Jeongseon Arirang (정선아리랑)

강원도, 금강산, 일만 이천봉
팔만 구암자, 유점사 법당 뒤에
칠성단, 도두 뭍고
팔자에 없는, 아들 딸 낳아 딸라고
석달 열흘 노구에
정성을 말구
타관밸리, 외로이 난 사람
니가 괄세를 마라
아리랑, 아리랑, 아라리요
아리랑 고개 고개로
나를 넘겨 주오
강원고, 금강산, 일만 이천봉
팔만 구암자, 유점사 법당 뒤에
촛불을 밝혀 놓고
아들 딸 낳아 달라고
두 손을 모아 비는 구나
어기야 디여차, 어야디야 어기어차
뱃놀이 가잔다
붇딪하는 파도 소리 장을 깨우니
들여오는 노 소리 처량도 하구나
어기야 디여차, 어야디야 어기어차
뱃놀이 가잔다
배 띄워라
배를 띄워라
만경창파에 배를 띄워라
어기야 디여차, 어야디야 어기어차

----------------------

Jeong Seon Arirang : Lyric Romanize


Gangwon-do, geumgang-san, ilman icheonbong
palman gu-amja, yujeomsa beobdang dwi-e
chilseongdan, dodu mutgo
palja-e eobneun, adeul ttal naha dallago
seokdal yeolheul nogu-e
jeongseong-eul malgu
takwanbaelli, oero-i nan saram
niga gwalsereul mara
arirang, arirang, arariyo
arirang gogae gogaero
nareul neomkyeo ju-o
gwangwon-do, geumgang-san, ilman icheonbong
palman gu-amja, yujeomsa beobdang dwi-e
chotbureul balkhyeo noko
adeul ttal naha dallago
du soneul mo-a bineun guna
eogiya diyeocha, eoyadiya eogi-eocha
baetnori gajanda
buttit-haneun pado sori jang-eul kkae-uni
deuryeo-oneun no sori cheoryangdo haguna
eogiya diyeocha, eoyadiya eogi-eocha
baetnori gajanda
bae tteui-weora
baereul tteui-weora
mangyeongpa-e baereul tteui-weora

----------------------





[Article] Jeongseon Arirang by Jin Yong-seon

Jeongseon, the Place Where the Sorrowful Tune of Arirang Echoes in Its Gorges
By Jin Yong-seon (Director of Jeongseon Arirang Research Institute)

"Arirang, Arirang, arariyo..." By far, the most popular folk song in Korea, the beautiful melody of Arirang touches the hearts of those who hear it with a deep sorrow, and Jeongseon is known as the home of Arirang.

Today I am on my way to Jeongseon looking for Arirang on a spring breeze.

Located on southeastern part of Gangwon province, Jeongseon together with Youngwol and Pyeongchang is known as the land of 'the three towns on many mountains'. It is situated to the south of Baekdudaegan, the backbone of the Korean Peninsula, so that the town is surrounded by steep valleys and gorges.

One is struck by rough terrain of Jeongseon on the drive through the district or on the provincial roads. An endless of mountain ridges and steep mountain passes cover up the sky as you drive through.

Anyone who walks into Jeongseon will naturally be reminded of the Arirang melody that echoes in its gorges.

In Jeongseon, where the sun sets as soon as it rises, the people began to wearily unwind from their harsh day-to-day life by singing the melodious tunes of Arirang.
The thousands of lyrics in Jeongseon Arirang contain the joys and sorrow of its people laments on their misery, forever surrounded by endless mountains. Other melodies express longing for love, resentments against or the sadness of being from home, far from loved ones.

Arirang is the song that unravelled the many knots binding in the hearts of these people.

The spring in Jeongseon still seems like winter, as the shady valleys are still frozen and cold.

Oh, ferryman of Auraji, take me to the other side of the river.
Oldongbak of Sarigol are all scattered on the ground.

The fallen gourds are being covered with fallen leaves.
From time to time the thought of my love is unbearable.

Arirang Arirang Arariyo
Pass me over the Arirang hills.

On a spring day when the yellow camellias were in full bloom, two young lovers took a vow of their love in a valley behind Sarigol. When the river rose up, the two could not meet for days. Their longing for each other felt by us when we hear the tunes of Arirang.

The plain food of this mountain village is a special treat in Jeongseon.
Chongweon Restaurant across the street from Yeoryang Station near Auraji is famous for its 'Kotdeungchiki (nose slapping) noodles.' The name comes from the fact that the thick buckwheat noodle strips hit your nose as you gulp them down. The exquisite flavor and the reasonable price of noodle soup makes the place attractive, but the warm heart of the proprietress makes it even more charming.

You can reach Dongmyeon by driving along the left side of the Auraji River and a stream, passing through Jeongseon-up, where you meet the provincial road 424.

You can feel the winter breeze amidst the spring of Jeongseon which leaves as soon as it comes through the mountain shades.

After a ten-minute drive from Jeongseon-up, the road takes you to Dukwu intersection where it splits in two forks: one to take you to Tongmyeon and the other to Nam-myeon. Stopping over at the stone such, found only in the mountains of Gyulamri of Jeongseon-up, are processes and turned into beautiful works of art such as flower vases and many others. One can purchase such items at a bargain price at the complex.

'Arari Shimteo' next to the stone processing complex is renowned for 'Hwanggibaeksuk' (chicken broiled with rice and milk vetch). It is a dish made of home-grown chicken and milk vetch, a special herb used in Oriental medicine. About a five-Minute drive from 'Arear Shipmate to Tongmyeon', you can find 'Halmeoni Hoegip (grandmother's Sashimi house) where you can try 'Hyangeobaeksook'(rice broiled with fish). The dish of rice, juju and bamboo shoots broiled in water with Hyangawe, can be enjoyed throughout the year for its nutritional value.

Wherever you go in Jeongseon, the scenic beauty befits the fame of Arirang. One of such places is 'Hwaampalkyung' situated in Dong-myeon, Hwaam-ri. As the name 'Hwaam-ri' tells us, the picturesque rocks form a cliff from which crystal-clear water rapidly flows, the spring brushoff of the snows in Jeongseon.

As soon as you enter Hwaam-ri, you will immediately behold the Hwaam Grotto. Unlike other lime grottos in Korea, it is a huge grotto of 2,88 meters long shaped like a plaza where you can see majestic sights as a yellow stalactite wall, and grotto painting in the Orient, a statue of the Virgin Mary and many more. This is typical of grottos in Korea where the stalactite is still forming.

The next place you can stop as you follow the stream from the grotto is the Hwaam Mineral Spring. Eighty-seven years ago. as a villager found the spring by was digging here that was marked by a mountain god in his dream. The water from this spring is so rich in iron that it feels like rust water when you drink it. Nevertheless, it is well known for its effectiveness, it is well known for its effectiveness in healing stomach problems and skin diseases.

After quenching the thrist with this pungent mineral water, you can feel hunger in your stomach. What you don't want to miss in Jeongseon is the culinary specialties of 'Gonderae Restaurant,'namely fried Champiri and Champiri sashimi. Champiri is a finger-sized fish found in the clean valley streams nearby. The unique taste of Champiri comes from the deft preparation by the talented restaurant owner. Another speciality of this region is 'Pyogojuk', a rice gruel made of Shiitake mushroom boiled in beef broth. 'Hwaam-ri Refectory' is where you can taste the best Pyogojuk.

Even the scenery of Mount Geumkang cannot impress those who are hungry. Sogeumgang is known as the small Mount Geumkang of Jeongseon. Upon entering the Sokeumgang, one automatically slows down the car to 30km per hour in order to enjoy the scenic beauty of Naksibawi(a rock) said to be where the gods enjoyed fishing and was later sanctified by the local residents. On top of that, the odd-shaped rocks and palisades along the Sogeumgang are like the beautiful paintings on a folding screen.

As you leave the Soaked River behind, you are greeted by Gogaemaroo where Molundae is lined up in a row. Molundae is said to be a cliff where the clouds stopped to rest. It is made up of stone layers piled up several kilometers high under which a stream of crystal-clear water flows by. Numerous poets and artists must have been in awe with the mysterious harmony os nature during their stay here.

The next cliff you encounter is called Gwandaegok, a steep valley where the sky, the clouds and the land meet amidst the sounds of the waterfall and cool breeze. Passing through this breathtaking scenery, you can follow the winding road and cross over a mountain to reach Sabuk-eup. This dark gray town brings out distant memory of the 'Sabuk Crisis in 1980' and reminds us of a past so quickly forgotten.

At one point in Jeongseon, the development of smokeless coal in Gohan, Sabuk and Hambaek increased the population to 130,000 in 1983. As the coal industry deteriorated, so did its population which is currently less than 50,000.
In recent times, the people are becoming more optimistic about their future as casino developments are currently under progress thanks to the special law on closed mine areas passed by the National Assembly. Even so, there are many who suffer painfully from disease caused by coal dust.

Jeongseon, the land of Arirang. Although Jeongseon should inspire pride, there still may be people who try to fill the inherent void and loneliness by singing Arirang as a song of hope for a better world.



Jeongsun Arirang & Kangwondo Arirang
(정선 아리랑 & 강원도 아리랑)


Jeong Seon Arirang
Intangible Cultural Properties number 1
Established : 1971
Location : Jeong Seon - gun

History :

Jeong Seon Arirang, also Known as A Ra Ri. This local falk song has been handed down for generations. It gained popularity in Eastern Korea when it first began to be sung 600 years ago. At that time Korea was in a transitional phase, moving a from the GoRyeo Dynasty to the ChoSeon Dynasty. Many scholars from the old GoRyeo Dynasty swore their allegiance to their former King and went into hiding. At firstthey hid in Song Do, then they moved to Jeong Su. While in exile they ate wild edible plants and kept reminding themselves to love their former king and remain loyal to him. Naturally they thought about their homes and families that they had left behind. So they began to write Chinese poetry, as a means of expressing their feelings. The scholars knew that their poetry was a good means to mark other people know and understand their ideas. People sung the poems and passed them on. Jeong Seon Arirang was one such poem. Later, other poems were written about such to pics as the massacre of the scholars, war and other unforturnate sitiations in life. During colonization, the Japanses suppressed all kinds of Korean ideology, but the Korea people were still able to express themselves though songs.


Jeong Seon Arirang's Distinguishing Features

1. The original titale of the song was " A Ra Ri ". the lyrics are very sad
2. The Lyrics and melody are typical of the time period
3. They composed the lyrics from their life, feelings and nuture the lyrics were often long
4. Most of the time the singers would take turns each singing a solo verse in turn then they would sing the refrain in unison
5. Many songs are from Chinese poetry
6. However the songs weren't exact Chinese poetry readings instead the lyrics were explained in an easy way
7. Some songs are sexual
8. No record
9. Every town has their own style of Jeong Seon Arirang

The records of a book a book are as follows:

Life Songs 317
Relationsship Songs 347
Lover Songs 136
Nature Songs 157
Other Songs 185

There are a total of 1,200 songs in existense, the Jeong Seon local poeple pass the tradition downn to the youths every Wednesday at Jeong Seon Culture Center.

Source :
http://www.arirang.re.kr/arboard/read.cgi?board=ar_s1&y_number=6&nnew=1

http://twssg.blogspot.com/2008/11/blog-post_06.html

http://www.jeongseon.go.kr/Jstour_EN/html/sub06_01_01.html



Roytavan@Copyright


Thursday, 11 June 2009

ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนอวสาน



ลีซาน จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน ตอนอวสาน

ปีที่ยี่สิบสี่แห่งรัชสมัยพระเจ้าจองโจ เทซูดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้ทูลเสนอแผนการปฏิรูปกองทัพต่อพระเจ้าจองโจ
ชองยายงทูลองค์ชายซุนโจ ซึ่งเป็นพระโอรสในพระสนมวาพินว่า
“องค์ชาย นี่เป็นวันที่สามแล้วนะ เสวยอะไรหน่อยเถอะพะยะค่ะ”
“ข้าจะไม่กินข้าว จนกว่าจะหาคำตอบที่เสด็จพ่อทรงตั้งคำถามให้ข้าตอบได้ซะก่อน”
“เอ่อ งั้นหม่อมฉันขอถาม ฝ่าบาททรงตั้งคำถามอะไรหรือพะยะค่ะ”
“ข้าไม่บอกท่านหรอก เพราะคำตอบนี้ ข้าจะหาด้วยตัวเอง”
องค์ชายซุนโจหาคำตอบได้ก็รีบเสด็จไปเฝ้าพระเจ้าจองโจ
“นั่งลง มาก็ดีแล้ว ว่าไง ได้คำตอบแล้วใช่ไหม”
“พะยะค่ะ”
“งั้นจงตอบข้ามา การเป็นพระราชาที่ดี เหนือสิ่งอื่นใด อะไรคือคุณสมบัติเบื้องต้น”
“นั่นก็คือ ต้องเข้าใจและเข้าถึงราษฎรพะยะค่ะ”
“เข้าใจราษฎรหรือ ถ้าอย่างงั้น ทำยังไงถึงเรียกว่าเข้าใจราษฎรน่ะ”
“ก็คือ ทุกคนต้องการความเป็นอยู่ที่ดี”
“งั้นหรือ ถ้าอย่างงั้น เราต้องทำไงบ้าง ถ้าจะให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดี พระราชาต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก”
“ถ้าจะช่วยคนอื่น ก็ต้องหมั่นหาความรู้ใส่ตัว” องค์ชายซุนโจทูลตอบ
“ไม่ใช่”



“งั้นก็คือ ลดการเก็บภาษี ไม่ให้มีการทุจริต”
” นี่ก็ไม่ถูกอีก สิ่งที่เจ้าพูด เป็นหน้าที่พระราชาก็จริง แต่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น เจ้าจงกลับไปคิดใหม่ อย่ารีบร้อนหาคำตอบ โดยไม่ตั้งใจคิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง หาเหตุผลรองรับที่ดี แล้วค่อยมาหาข้าอีกที เข้าใจมั้ย”
“พะยะค่ะเสด็จพ่อ”
พระเจ้าจองโจทรงคิดถึงพระเจ้ายองโจที่ทรงตั้งคำถามนี้กับพระองค์ และทรงตอบไว้ว่า
“ห่วงใยและรู้จักฟังเสียงของราษฎร ก็คือพระราชาที่ดี”
พระเจ้ายองโจตรัสถามต่อว่า “เสียงของราษฎรมีอะไรบ้าง”
“พ้นจากความยากไร้ ได้กินดีอยู่ดี”
“ถ้าเจ้าเป็นพระราชา สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร”
“ลดภาษีและการส่งส่วย จัดระเบียบสังคมให้มีแบบแผน”
“ผิดแล้ว ตอบใหม่ซิ”
“เอ่อ คือ ไม่ให้ขุนนางรังแกราษฎรตามใจชอบ เข้มงวดต่อพวกเขา”
“ผิดอีก”
“ถ้า ถ้าอย่างงั้น ก็ต้องเป็น ให้ทหารบางส่วนปลดระวาง ไปทำการค้าเลี้ยงดูครอบครัว”
“ตอบผิดทั้งนั้น สิ่งแรกที่พระราชาควรทำคืออะไรยังไม่รู้ แล้วยังคู่ควรเป็นหลานข้าอีกหรือ”
นัมซาโชทูลพระเจ้าจองโจว่า “กว่าองค์ชายจะหาคำตอบได้ เห็นทีจะนานนะพะยะค่ะ”
“แต่ว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องค้นพบคำตอบ รีบไปเถอะ วันนี้ยังมีงานต้องทำอีกมาก”
“พะยะค่ะ”



แผนการปฏิรูปกองทัพเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าจองโจยิ่งนัก
พระเจ้าจองโจทรงงานอย่างหนัก ทำให้พระองค์ทรงหน้ามืด ทุกคนตกใจ
“ฝ่าบาท”
“ทรงเป็นไรหรือเปล่า”
“หม่อมฉันจะตามหมอมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ไม่ต้องตาม”
“แต่ว่าฝ่าบาท”
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง อาการแบบนี้ใช่ว่าเพิ่งเกิดครั้งแรก เฮ่อ หึๆ ไปกันเถอะ”
ใกล้วันเซ่นไหว้พระสนมซองซงยอน เหล่าซังกุงเตรียมเครื่องเซ่น พระมเหสีโยอึยมาเฝ้าพระพันปีเฮคยอง
“ของเซ่นไหว้เตรียมพร้อมหมดแล้วใช่ไหม” พระพันปีเฮคยองตรัสถาม
“พร้อมแล้วเพคะ พรุ่งนี้เช้าทุกคนจะออกเดินทางทันที”
“ฝ่าบาทก็คงไปด้วยสิ”
“เพคะ”
“หมู่นี้ได้ยินว่าฝ่าบาทสุขภาพไม่สู้ดีนัก คงเพราะโหมงานจนลืมดูแลตัวเองเป็นแน่แท้”
วันนี้พระเจ้าจองโจเสด็จนำพระพันปีเฮคยอง พระมเหสีโยอึยไปเซ่นไหวพระสนมซองซงยอน เสร็จแล้วพระองค์ตรัสถามเทซูว่า
“เทซู เจ้าพูดอะไรกับซงยอนบ้าง เมื่อกี้เห็นยืนตั้งนานไม่ยอมถอยมา คงจะพูดเรื่องสำคัญล่ะสิ”
” หม่อมฉันขอให้พระสนม ช่วยคุ้มครองให้ฝ่าบาททรงแข็งแรง เพราะไม่ว่าเราจะทูลยังไง ฝ่าบาทก็ไม่เคยดูแลพระองค์เอง เลยต้องให้พระสนมทรงช่วยบ้าง”
“งั้นหรือ เฮ่อๆๆ งั้นก็แย่สิ สงสัยคืนนี้ นางต้องมาเข้าฝันและบ่นข้าแน่ เฮ่อๆๆ ทุกครั้งที่มาเยี่ยมนาง ข้าชอบขึ้นมาอยู่บนเนินเขานี้ ยืนอยู่ที่นี่ จะมองเห็นทิวทัศน์ทั้งเมือง แทบอยู่ในสายตาหมด เจ้าเห็นยังไงบ้าง ภาพข้างหน้า ดูเป็นเมืองที่สงบ และน่าอยู่หรือเปล่า”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันก็คิดอย่างงั้น”



“ข้าน่ะ ตั้งใจมานาน ที่จะเป็นพระราชาที่ดีแห่งโชซอน ให้ชาวประชาที่มาอาศัย แม้จะต่างชนชั้นอาชีพ แต่ก็มีชีวิตที่ร่มเย็น พอมีพอกิน มีความสุขไปตามอัตภาพ”
“ฝ่าบาท ทุกวันนี้ก็ทรงทำได้แล้วพะยะค่ะ หม่อมฉันเชื่อว่าโชซอน ไม่เคยมียุคไหนที่รุ่งเรืองเท่ากับสมัยนี้”
“ไม่หรอก ยังไม่ถึงขนาดนั้น สิ่งที่ข้าจะทำ ยังมีอีกหลายอย่าง และสิ่งที่ควรทำ ก็ไม่จบไม่สิ้นซะที”
พวกพ่อค้าโวยวายไม่อยากใช้เงินชิง จะมาขอแลกคืน พระเจ้าจองโจทรงปรึกษากับชองยายง
“นี่คือเงินชิงที่เราซื้อมา ส่วนนี่คือ เงินปลอมที่กำลังระบาดอยู่พะยะค่ะ”
“ดูด้วยตาเปล่าแทบไม่ต่างเลย”
” นั่นสิพะยะค่ะ เนื่องจากไม่ค่อยมีลวดลาย อีกทั้งวัสดุหาง่าย จึงง่ายต่อการปลอมแปลง ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีเงินปลอมใช้กันเกลื่อนในตัวเมืองพะยะค่ะ”
“และที่ชาวบ้านชุมนุมประท้วงก็เพราะเรื่องนี้ เพราะมีเงินปลอมแพร่ระบาด จึงขอให้เลิกใช้เงินชิงซะ” เชกาทูล
“แล้วยังไง ตอนนี้รุนแรงมากมั้ย”
” ที่เราใช้เงินต้าชิงเพื่อจะแก้ปัญหาเงินฝืด แต่กลายเป็นพ่อค้าไม่ยอมรับ ทำให้ปัญหายิ่งลุกลาม โดยเฉพาะร้านค้าใหญ่ ต่างทยอยปิดตัวเพราะไม่กล้ารับความเสี่ยงพะยะค่ะ”
“ก่อนอื่นคงต้องเก็บเงินปลอมคืนมา และจับกุมพวกที่ผลิตเงินปลอม ถึงจะแก้ปัญหาได้พะยะค่ะ”
พระเจ้าจองโจทรงงานอย่างหนัก นัมซาโชต้องคอยทูลเตือนให้บรรทม
“ฝ่าบาท ทรงเข้าบรรทมเถอะพะยะค่ะ นี่ตั้ง 4 วันแล้ว ที่ไม่ได้บรรทมอย่างเพียงพอ”
“ปัญหาเรื่องเงินปลอมลุกลามไปหลายเมือง ข้าอยากจะ ตรวจฎีกาทั้งหมดให้จบก่อน”
“แต่ว่าฝ่าบาท”



“ไม่ต้องห่วง ข้าน่ะ รู้ว่าตัวเองยังทนไหว เฮ่อ”
นัมซาโชให้ซังกุงรีบตามหมอหลวงมาดูอาการของพระเจ้าจองโจ ระหว่างที่รอชองยายงมาขอเข้าเฝ้า นัมซาโชถามว่า
“เรื่องด่วนหรือเปล่า
“จะว่าด่วนก็ไม่เชิง เกี่ยวกับคนที่ผลิตเงินปลอม จะมาถวายรายงานน่ะครับ”
“หึ ถ้าอย่างงั้น ไว้วันหลังค่อยมาได้ไหม หลายวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ได้บรรทมเลย ข้ากะว่าคืนนี้ อยากให้ทรงพักผ่อนให้มากที่สุด”
วันต่อมาพอพระเจ้าจองโจทรงทราบจากชองยายงก็ถอนพระทัย
“อะไรนะ ทั้งพ่อค้ารายใหญ่รายย่อย ยังไม่ยอมเปิดกิจการอีกหรือ”
“พะยะค่ะ แม้ทางการจะกวาดล้างพวกผลิตเงินปลอมอย่างหนัก แต่พ่อค้าก็ไม่ไว้ใจเงินต้าชิงอยู่ดี”
พระเจ้าจองโจมองหน้า “หึ”
“เป็นปัญหาทางจิตวิทยาพะยะค่ะ ถ้าคนไม่เชื่อมั่นในเงินตรา เราจะยากจะบังคับได้”
“แต่ถ้าขืนปล่อยไว้ เศรษฐกิจของเราต้องพังแน่ สุดท้าย บ้านเมืองก็จะสั่นคลอนเพราะเรื่องนี้”
“หม่อมฉันเห็นว่า ถ้าไงมีประกาศ ให้เลิกใช้เงินชิงชั่วคราวดีไหมพะยะค่ะ”
” ทำไมคิดอย่างงั้น ให้เลิกใช้เงินชิงหรือ ฝ่าบาท ไม่ได้นะพะยะค่ะ เราเสียงบประมาณส่วนใหญ่ไปกับเงินชิง และตอนนี้ เงินชิงก็กำลังจะส่งมาอีกระลอกหนึ่ง แล้วจะทำไงดี”
ชองยายงถอนใจ “เฮ่ย”



“บอกกับตอนนี้ ไม่มีทางอื่นจะแก้ปัญหาเงินฝืดได้ ถ้าระงับการใช้ เกรงว่าปัญหาจะยิ่งเลวร้ายลง”
“แล้วเราจะพูดกับพวกพ่อค้ายังไง ถึงออกมาตรการบังคับ พวกเขาก็ไม่ยอมรับเงินต้าชิงอยู่ดี”
“หึ งั้นข้าจะไปคุยเอง ข้าจะออกหน้าด้วยตัวเอง คุยกับบรรดาพ่อค้าทั้งหลาย ให้เข้าใจสถานการณ์” พระเจ้าจองโจตรัส
เช กามาทูลพระเจ้าจองโจว่าพวกชาวบ้านพากันเครียดมากเกี่ยวกับเงินปลอม พระเจ้าจองโจทรงมีรับสั่งให้เรียกประชุมเหล่าขุนนางทันที เชกาทูลพระเจ้าจองโจอีกว่า
“ฝ่าบาท ทรงรับสั่งว่า ให้ทางการรับคืนเงินชิงทั้งหมดหรือพะยะค่ะ”
” ใช่ ข้าตัดสินใจแบบนี้ รู้ว่าทุกท่านมีความกังวลอะไรบ้าง ถ้าทางการรับคืนเงิน ความเสียหายจะเกิดอย่างมหาศาล และหนทางที่จะแก้ปัญหาเงินฝืด ก็ยิ่งยากเย็นไปอีก แต่ถึงอย่างงั้น ข้าก็เชื่อว่านี่คือหนทางที่ดี เพราะการค้า เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราจะให้คนค้าขาย ไม่เชื่อมั่นในเงินตราได้ยังไง”
“ทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ เพราะความผิดพลาดของหม่อมฉัน ทำให้ฝ่าบาทและราชสำนักเดือดร้อน”
” ไม่หรอก นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ตอนเราเอาเงินชิงเข้ามา ไม่นึกว่าจะเกิดปัญหาเงินปลอม ถือว่าข้าผิดเอง ที่ไม่ทันคิดรอบคอบ แต่สำคัญคือนับแต่นี้ ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจ หาวิธีแก้ปัญหาเงินฝืดให้ได้ ข้าเชื่อว่าถ้าเรามีสติ ไม่มีอะไรที่แก้ไม่ได้ ข้าจะเคี่ยวเข็ญให้ทุกคนช่วยกันคิด เข้าใจมั้ย”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
ชองยายงทูลพระเจ้าจองโจว่าจะหาแร่อื่นมาแทนทองแดง พระเจ้าจองโจทรงอึ้งไป
“ว่าไงนะ จะหาแร่อื่นมาแทนทองแดงงั้นหรือ”
“พะยะค่ะ ถูกต้องแล้ว การผลิตเหรียญต้องใช้ทุนสำรองที่สูง สาเหตุหลักก็เพราะทองแดงมีราคาสูงมาก”
“แต่ถ้าเงินเหรียญไม่ผสมทองแดง เนื้อจะอ่อน กลายเป็นเศษเงินที่ไร้ค่า แล้วจะมีแร่ชนิดอื่นที่แข็งพอมาแทนที่ได้หรือ”
“หม่อมฉันจะพยายามหาดู”
หมอ หลวงจะมาตรวจพระอาการของพระเจ้าจองโจ นัมซาโชบอกว่าเสด็จไปโรงกษาปณ์ หมอหลวงเลยดุนัมซาโชที่ให้เสด็จไปทรงงานหนัก ทั้งที่ทรงประชวรหนักไม่น้อย นัมซาโชรีบไปตามพระเจ้าจองโจทันที
ที่โรงกษาปณ์ ชองยายงนำเหรียญที่ผลิตแล้วมาให้พระเจ้าจองโจทอดพระเนตร
“พวกนี้ ก็คือเหรียญที่ผลิตจากแร่หินชาชอนพะยะค่ะ ฝ่าบาท พระพักตร์ไม่สู้ดีนัก หรือจะกลับวังดีมั้ย”
“ไม่ ข้าไม่เป็นไร พวกนี้ ต้องเอาไปเทียบกับเหรียญที่เราใช้อยู่”



“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะไปเอามาเดี๋ยวนี้”
ชอง ยายงออกไป พระเจ้าจองโจรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที กว่าเทซูกับชองยายงจะกลับมาเห็นพระเจ้าจองโจก็ทรงหมดสติไปแล้ว ทั้งสองรีบพาพระเจ้าจองโจกลับวังหลวง พระมเหสีโยอึยทรงทราบก็รีบเสด็จไปดูแลพร้อมเจอกับพระพันปีเฮคยอง
“เสด็จแม่”
“ชุงจอน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฝ่าบาท อยู่ดีๆ เกิดไม่สบายได้ล่ะ หา”
พระมเหสีโยอึยทรงอึกอักเพราะยังไม่ทราบเหมือนกัน
คังซกกีกับซอจังบูรีบมาถามเทซูทันที
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ฝ่าบาท ทรงเป็นไงบ้างรู้มั้ย”
“เพราะข้าเลินเล่อ ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของข้าเอง”
พระพันปีเฮคยองกับพระมเหสีโยอึยทรงถามพระอาการของพระเจ้าจองโจจากหมอหลวง
“ท่านบอกว่าอาการของฝ่าบาทน่าเป็นห่วง นี่มันหมายความว่าไงน่ะ”
“ท่านหมอ รีบพูดมาเร็วเข้า”
“ทรงมีฝีในพระวรกาย จนเกินจะเยียวยา บวกกับเชื้อกระจายไปทั่ว ทำให้ทรงมีไข้ และสุดท้ายจึงได้หมดสติพะยะค่ะ”



พระพันปีเฮคยองทรงตกพระทัยมาก “หา หึ”
พระมเหสีโยอึยทรงตั้งสติและถามต่อ “แล้วยังไงอีก ข้าอยากรู้วิธีรักษา พอจะทำให้หายได้ไหม”
“แม้จะใช้ยา “ยกจี” และ “ซงตัน” แต่ยังทรงมีไข้สูง ทำให้ยากจะคาดเดาผลได้ หม่อมฉันไร้สามารถ ทรงประหารหม่อมฉันเถอะพะยะค่ะ”
ทั้งสองพระองค์พากันตกพระทัยมาก พระพันปีเฮคยองถึงกับทรงหมดเรี่ยวแรง ซังกุงรีบประคอง
“พระพันปี”
พระพันปีเฮคยองทรงกรรแสง “ฮือ ฮือ ฮือ”
พระเจ้าจองโจทรงปวดมากและร้องออกมา หมอหลวงตรวจพระอาการอย่างใกล้ชิด
” หม่อมฉันจะถวายยา “กาคัง” เสริมให้อีก ที่จริงฝ่าบาทน่าจะเสวยตั้งแต่แรกเริ่มที่มีอาการ แต่เพราะหมออื่นคัดค้าน หม่อมฉันเลยไม่กล้าถวายอีก”
พระมเหสีโยอึยตรัสถาม “เพราะอะไร”
” เพราะว่ายานี้ ไม่ได้รักษาเกี่ยวกับโรคฝี แต่มีผลดีต่ออาการไข้พะยะค่ะ เนื่องจากฝ่าบาททรงมีไข้สูงมาหลายวัน หม่อมฉันจึงจะหยุดรักษาเกี่ยวกับโรคฝีก่อน แต่ใช้ยากาคังบรรเทาไข้ให้ลดลง แต่ถ้าโชคร้าย ในสามวันนี้ ไข้ยังไม่ลดอีก หม่อมฉันก็เห็นจะจนปัญญาแล้วพะยะค่ะพระมเหสี”
“ฮือ ฝ่าบาททรงทราบมั้ยเพคะ ฮือ แค่สามวันเท่านั้น ในระหว่างนี้ ฮือ ยังไงก็ต้องทรงรู้สึกพระองค์นะเพคะ”
เสียงพระเจ้าจองโจทรงร้องโอดครวญดังมา ทำให้คิมซังกุงกับโชบีถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา พระมเหสีโยอึยทรงปลอบ
“อย่าร้องไห้อีกเลย ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทต้องหายดี ฉะนั้น อย่าให้ข้าเห็นน้ำตาของใครอีก”
เท ซูอยู่ลำพังก็ได้แต่ภาวนา “ตอนนี้ยังไม่ได้ นี่ยังไม่ใช่เวลานะพะยะค่ะ ฝ่าบาท ยังไม่ควรเสด็จไปตอนนี้ หม่อมฉัน จะไม่ให้ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แบบนี้ ฮือ ฉะนั้น พระสนมได้โปรด ช่วยคุ้มครองฝ่าบาทด้วย ช่วยให้ฝ่าบาททรงปลอดภัย อย่าได้ทรงประชวรอีกเลย พระสนม ฮือๆๆ ฮือๆๆ”



พระพันปีเฮคยองทรงไหว้พระและคิด “โปรดช่วยคุ้มครองฝ่าบาทด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองฝ่าบาทด้วยเถอะ”
ขณะ ที่พระหมื่นปีจองซุนเองก็ทรงรู้สึกหดหู่ “ฝ่าบาททรงทราบอะไรมั้ยเพคะ เป็นเรื่องที่น่าแปลกไม่น้อย ทันทีที่รู้ว่านัดดาของพระองค์ซึ่งเป็นคู่อริกำลังป่วยหนัก หม่อมฉันกลับไม่รู้สึกดีใจ ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของหม่อมฉัน กลับรู้สึกเฉยๆ”
พระเจ้าจองโจทรงฝันเห็นซองซงยอนมาร้องไห้อยู่ข้างๆ
” ฮือ ฝ่าบาท ฮือ ทำไมทรงกลายเป็นแบบนี้ ฮือ ทำไมถึงได้ ทรุดโทรมลงไปมากถึงขนาดนี้ ฮือ ฮือ ฝ่าบาทต้องทรงเข้มแข็งไว้ ฮือ ฝ่าบาทต้องทรง เห็นแก่บ้านเมือง อดทนให้มากนะเพคะ ฮือ หม่อมฉันขอร้อง ขอให้ฝ่าบาท ทรงอดทนอีกนิด”
“โอย โอย” พระเจ้าจองโจครางและลืมตา “ซงยอน”
“หึ ฝ่าบาท”
“ฮือๆๆ เจ้าจริงหรือ คนที่อยู่กับข้าตอนนี้ คือเจ้าจริงหรือซงยอน”
“ฮือ จริงเพคะ ฮือ หม่อมฉันมาเฝ้าแล้ว ฮือ หม่อมฉันมาอยู่กับฝ่าบาท”
“ฮือๆๆๆ”
“ฝ่าบาททรงเข้มแข็งไว้นะ ฮือ ต้องทรงเอาชนะโรคภัยให้ได้ ฮือ หม่อมฉันเชื่อว่า ฝ่าบาทเป็นคนเข้มแข็งเสมอ”
“ฮือๆๆๆ”
“ฝ่าบาทยังทรงมีงาน ต้องทำอีกมากไม่ใช่หรือเพคะ ฮือ ยังทรงมีพระดำริ อีกหลายอย่าง ที่ยังไม่ได้เป็นจริงเลย”
“หึ หึ ซงยอน”
“ฝ่าบาท”



“ตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่ข้าจะไป เพราะข้ายังไม่ได้ ทำงานทุกอย่างให้เสร็จจริงมั้ยซงยอน”
พระมเหสีโยอึยเสด็จมา และตรัสถามนัมซาโชว่า
“พระอาการ ยังไม่ดีขึ้นอีกหรือ”
“พะยะค่ะ ยังไม่ดีขึ้นเลย”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหมอหลวงกับซังกุงร้องเรียกพระเจ้าจองโจ พระมเหสีโยอึยรีบเสด็จเข้าไปทันที
“หึ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“เอ่อ ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วพะยะค่ะ ทรงรู้สึกพระองค์แล้ว”
“หา หึ ฝ่าบาท ฮือ ฝ่าบาท หม่อมฉันเองเพคะ ทรงจำหม่อมฉันได้ไหม”
“ชุงจอน”
“ฮือ ฝ่าบาท”
นัมซาโชออกไป เทซูรู้ข่าวก็ดีใจมาก นัมซาโชสั่งให้ซังกุงนำโจ๊กมาถวายเร็วๆ
“พูดแบบนี้หมายความว่าไงครับ ท่านบอกว่าฝ่าบาทไม่ได้ทรงหายดีหรอกหรือ ใต้เท้า” เทซูถามนัมซาโช
“หมอหลวงบอกว่าอาการยังหนักอยู่ คิดว่าคงอยู่ได้ไม่นานนัก ที่ทรงรู้สึกพระองค์ ก็เหมือนปาฏิหาริย์แล้ว”
เทซูตกใจมาก “หา”
“แต่ว่าเทซู ข้าเชื่อพระทัยฝ่าบาท ทรงเข้มแข็งยิ่งกว่าใคร คงไม่ยอมแพ้โรคภัยง่ายๆ แน่”
นัมซาโชเข้ามาทูลพระเจ้าจองโจ
“ฝ่าบาท แม่ทัพปาร์คมาขอเฝ้าพะยะค่ะ”
“หึ มาแล้วหรือ”



“ทำไมยังทรงงานอยู่ล่ะพะยะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเคยบอกทุกคนแล้วว่า ถ้าทำงานไหวก็จะทำไปเรื่อยๆ”
” ฝ่าบาท ถือว่าเห็นแก่หม่อมฉันซักครั้ง ตอนนี้สิ่งสำคัญคือพระวรกายของพระองค์ ฉะนั้น ให้ทรงลืมราชกิจไปก่อน ดูแลพระอนามัยให้ทรงแข็งแรงดีกว่า”
“หึ ข้าว่าเจ้า คงรู้ว่าอาการของข้า ไม่มีทางหายได้ง่ายๆ เทซู เข้าใจใช่ไหม เพราะอย่างงี้ข้าเลยยิ่งต้องทำงาน เพราะเป็นโรคที่หมดทางเยียวยา ข้าจึงเหลือเวลาไม่มากนัก ต้องรีบทำงานทุกอย่างให้จบ”
“หึ ฝ่าบาท”
” หึ ต่อไปคงต้องฝากรัชทายาทไว้ ตอนนี้เขายังเด็กนัก ถ้าครองราชย์หลังจากข้าตายไป เขาต้องมีปัญหาเยอะแน่ ฉะนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย ตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่งนี้ เจ้าต้องคอยปกป้องดูแล เหมือนที่ทำกับข้า ซื่อสัตย์ ต่อเขาต่อไป”
“ฮือ พะยะค่ะ หม่อมฉันขอถวายสัญญา หม่อมฉัน จะทำตามรับสั่งของฝ่าบาท”
” หึ หึ สำหรับ การเป็นเพื่อนที่ดีของข้า ข้ายังต้องขอบใจเจ้า เกิดมาชาติหนึ่ง ข้าได้มีเพื่อนที่รู้ใจอย่างเจ้า แค่นี้ก็อุ่นใจมากแล้ว”
“ฮือ ฮือ ฝ่า ฝ่าบาท ฮือ ฮือ”
ทันใดนั้น พระเจ้าจองโจก็ทรงหมดสติไป หรือนี่คือการสิ้นสุดความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์จองโจ จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน
วันเวลาผ่านไป เทซูมาเข้าเฝ้าพระเจ้าซุนโจ
“รับสั่งให้หาหรือพะยะค่ะ”
“หึ ได้ยินว่า ท่านเป็นสหายกับเสด็จพ่อตั้งแต่ยังเด็กหรือ”
“พะยะค่ะฝ่าบาท ถูกต้องแล้ว”
“เจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่”



“ดูเหมือนว่า หม่อมฉันซัก 11 ขวบได้ ตอนนั้นอดีตพระราชายังเป็นแค่องค์ชาย และหม่อมฉันก็เจอพระองค์ที่ตำหนักซีมินตังพะยะค่ะ”
“อายุพอกับข้าตอนนี้หรือเปล่า”
“เอ่อ ใช่พะยะค่ะ”
” ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อตรัสถึงท่านบ่อยๆ รับสั่งว่าเป็นสหายที่รู้พระทัยและมีความซื่อสัตย์อย่างมาก หึ แต่ข้ารู้สึกกลัว ข้าไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้จะเจริญรอยตามเสด็จพ่อได้หรือเปล่า”
“เอ่อ ฝ่าบาท หึ เรื่องนี้อย่าทรงกังวลเลยพะยะค่ะ ยังมีหม่อมฉันที่จะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทเสมอ หม่อมฉัน จะขอถวายอารักขา แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าดีหรือร้าย ขอให้ฝ่าบาททรงเข้มแข็ง เป็นพระราชาที่ทำนุบำรุงบ้านเมืองเหมือนเสด็จพ่อนะพะยะค่ะ”
“อึม” พระเจ้าซุนโจดีพระทัย
เทซูนึกถึงพระเจ้าจองโจ “หึ ฝ่าบาท ทรงสำราญดีมั้ยพะยะค่ะ อยู่บนสวรรค์ ได้พบพระสนมแล้วหรือยัง หึ”
พระเจ้าจองโจทรงพาเทซูไปที่เมืองหนึ่งและตรัสว่า
“เจ้าเห็นยังไงบ้าง ภาพข้างหน้า ดูเป็นเมืองที่สงบ และน่าอยู่หรือเปล่า”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันก็คิดอย่างงั้น”
” ข้าน่ะ ตั้งใจมานาน ที่จะเป็นพระราชาที่ดีแห่งโชซอน ให้ชาวประชาที่มาอาศัย แม้จะต่างชนชั้นอาชีพ แต่ก็มีชีวิตที่ร่มเย็น พอมีพอกิน มีความสุขไปตามอัตภาพ ข้าอยากให้เกิดความเสมอภาค ไม่มีใครถูกกดขี่ข่มเหง อยู่ในโลกที่ ไม่มีความหิวโหย ไม่มีการแบ่งชนชั้น ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไพร่ฟ้าหน้าใสทั่วหล้า อะไรที่ทำเพื่อพวกเขาได้ ข้า พร้อมจะเสียสละความสุขส่วนตัว โดยไม่รีรอ เพื่อให้ทุกคนมีความสุขอย่างแท้จริง”
“ฝ่าบาททรงทราบมั้ยพะยะค่ะ จนถึงวันนี้ หม่อมฉันยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นรับสั่ง ที่ทำให้เกิดความปลาบปลื้มนัก แสงแดดอันแรงกล้ายังไม่เท่าแววพระเนตรอันมุ่งมั่นของพระองค์ ที่ต้องการส่องสว่าง ให้อนาคตของโชซอนมีแต่ความรุ่งเรือง นับแต่นี้ หม่อมฉันจะสานต่อเจตนารมณ์ของพระองค์เอง แนวคิดของฝ่าบาทจะมีราษฎรเป็นผู้เจริญรอยตาม ฉะนั้นทุกอย่างยังไม่จบลง และไม่มีวันจบด้วย ซักวันความหวังของฝ่าบาท จะสัมฤทธิ์ผลไปทั่วแดน ถึงตอนนั้นราษฎรของพระองค์จะมีชีวิตที่ดีขึ้น สมกับความทุ่มเทมาตลอดพระชนม์ชีพ”

...อวสาน...